คืนลมพัดต้องเหมยงาม
ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2
เสิ่นไทเฮายิ้มบางๆ พยักหน้าเห็นพ้อง สายตามองไปยังเซวียนหยางอ๋องที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “เช่นนี้ดียิ่งนัก เซวียนหยางอ๋องคิดเห็นอย่างไร”
เซวียนหยางอ๋องทอดถอนใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยไม่ตรงกับใจ “ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีได้ยินว่าท่านโหวกับฮูหยินกำลังจัดการเรื่องงานแต่งของอวิ๋นอิ่น แต่อวิ๋นอิ่นล้วนปฏิเสธไป วันนี้กระหม่อมถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เขามีใจให้แม่ทัพเสิ่นมานาน วันนี้นับว่าเมฆกระจ่างมองเห็นแสงจันทร์ กระหม่อมยินดีแทนเขาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ความสามารถในการเอ่ยคำพูดกลวงเปล่าแสนไร้สาระนี้แต่ละคนล้วนเหนือกว่าอีกคน หางตาเซี่ยจิ่นกระตุกน้อยๆ ขณะกำลังจะปฏิเสธ เซี่ยจี่กลับลอบดึงแขนเสื้อเขาและส่งสายตามาให้
เซี่ยจิ่นจนใจ ประคองถ้วยชาขึ้นมาบดบังสีหน้าอันไม่น่ามอง พร้อมกับลอบส่งสายตาคมกริบไปทางเสิ่นเฉียนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เสิ่นเฉียนกลับยิ้มให้เขาน้อยๆ รอยยิ้มนั้นเจือแววหาเรื่องและหยิ่งผยองอยู่ในที เขาคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น ในหูคล้ายได้ยินนางกำลังกล่าวว่า ‘มีปัญญาเจ้าก็ปฏิเสธสิ! ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับโดยปริยาย เป็นอย่างไร ยอมรับแล้วกระมัง!’
เซี่ยจิ่นจุกในลำคอ กลืนชาไม่ลงสักคำ
ฮ่องเต้เซวียนเจายิ้มกล่าวอย่างยินดี “ราชบัณฑิตฟู่ยอมเป็นพ่อสื่อให้ ไทเฮากับเราย่อมยินดี ก็ไม่รู้ว่านายท่านผู้เฒ่าเสิ่นกับท่านโหวเซี่ยมีความเห็นอย่างไร”
นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นมองประเมินเซี่ยจิ่นเล็กน้อย มีประกายวาบผ่านในดวงตาก่อนจะหลุบตาลง ส่งเสียงฮึเอ่ยว่า “พอฝืนได้”
เซี่ยจี่ใบหน้าแย้มยิ้ม น้ำเสียงจริงใจ “สามารถแต่งแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วเข้ามาได้ เป็นโชคดีของสกุลเซี่ยและบุตรชายของข้า”
เสิ่นไทเฮายิ้มมีเมตตา นัยน์ตาซ่อนแววคมกริบมองไปทางเซี่ยจิ่น “ยังคงต้องถามความเห็นของเจ้าตัวด้วยถึงจะได้”
เซี่ยจิ่นนวดหว่างคิ้วเบาๆ สูดหายใจลึกคราหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน แล้วคารวะไปทางไทเฮาและฮ่องเต้ “ขอบพระทัยพระเมตตาของไทเฮาและฝ่าบาท ขอบคุณราชบัณฑิตฟู่…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเน้นทีละคำ “กระหม่อม…น้อมรับด้วยความยินดี”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้ไม่ยินยอมปานใดเขาก็ได้แต่ต้องยอมรับในโชคชะตาแล้ว บางทีชาตินี้ชีวิตนี้เขาคงไม่อาจสลัดเสิ่นเฉียนไปได้ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสองตระกูลก็แค่การเปลี่ยนจากการเป็นปฏิปักษ์มาร่วมมือกันต่อไป
เพียงแต่เมื่อคิดว่าหลังจากนี้ต้องอยู่ร่วมกับเสิ่นเฉียนทุกเช้าค่ำ เขาก็รู้สึกประหลาดและไม่สบอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก ความเสียใจ ความเดือดดาล และความไม่ยินยอมพลุ่งพล่านออกมา เขานั่งลงแล้วกรอกสุราคำโต หมายกดความรู้สึกในใจเหล่านี้ลงไปอย่างจนใจ
ครั้นได้ยินคำตอบของเซี่ยจิ่น ทุกคนล้วนเบิกบานและยิ้มอย่างแฝงนัย นางกำนัลยกอาหารเลิศรสเข้ามาเพิ่มในเวลานี้พอดี บนเรือกลางทะเลสาบมีเสียงพิณลอยแว่วละล่องมาดุจน้ำไหล ไพเราะน่าฟังยิ่ง เป็นบทเพลง ‘หงส์วอนรัก’
ดอกกุ้ยส่งกลิ่นหอม ลมราตรีเย็นสบาย จันทร์เต็มดวงกลางฟ้าดั่งคันฉ่องใสส่องแสงสุกสกาว แสงจันทร์ผสานไปในทะเลสาบ คลื่นน้ำล้วนถูกย้อมด้วยแสงเงินยวงตัดสลับกับโคมไฟพร่างพราว งดงามเรืองรองยิ่งยวด
ทั้งที่บนหอซื่ออวี่เปี่ยมชีวิตชีวา กษัตริย์ขุนนางกลมเกลียว แต่เสิ่นเฉียนกลับรู้สึกอึดอัด นางเก็บรอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้าลง อ้างว่าจะไปเปลี่ยนชุดแล้วหนีออกจากงานเลี้ยง
นางเดินเนิบๆ เลียบไปตามทางที่มีต้นหลิวพุ่มดอกไม้ เลี้ยวในมุมหนึ่งเข้าไปในศาลาริมน้ำ ก่อนนั่งพิงเสาระเบียงต้นหนึ่ง มองดูโคมชาววังที่ส่ายไหวบนระเบียงยาวนั้นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
ระเบียงยาวมืดมิด โคมชาววังขยับน้อยๆ รั้วแกะสลักไกลๆ ส่องแสงคลุมเครือมองเห็นไม่ชัด
มีขันทีเดินผ่านระเบียงเข้ามาค้อมกายคารวะเบื้องหน้านาง “แม่ทัพเสิ่นต้องการชมทิวทัศน์ที่นี่หรือขอรับ ข้าน้อยจะให้คนนำของว่างมาให้ท่านแม่ทัพ”
เสิ่นเฉียนรีบลุกขึ้น ปัดสาบเสื้อเบาๆ ยิ้มกล่าว “ไม่ต้อง ข้าจะไปแล้ว”
นางออกจากระเบียงยาว เลียบไปตามทางเล็กด้านหลังหินไท่หู มุ่งหน้าไปทางหอซื่ออวี่ แต่กลับถูกคนคว้าข้อมือลากมาใต้ระแนงดอกสายน้ำผึ้งข้างภูเขาจำลอง
ร่มเงาและไม้เลื้อยโอบล้อมดั่งม่านบัง มีเพียงแสงเงินไม่กี่เสี้ยวแทรกผ่านร่องระแนงเข้ามา
คนตรงหน้าคิ้วตาเย็นชา เขาปล่อยฝ่ามือนางออกแล้วถอยไปข้างหลังเล็กน้อย เพียงกักนางไว้ในมุม ปิดทางหนีของนาง
ภายใต้เงาดอกไม้ลายพร้อย กลิ่นหอมกรุ่นของดอกสายน้ำผึ้งกับกลิ่นสุราจางๆ บนร่างเซี่ยจิ่นปะทะเข้ามา เสิ่นเฉียนหยัดหลังตรง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพเซี่ยมีสิ่งใดอยากพูดหรือ”
เซี่ยจิ่นสีหน้าอึมครึม “เจ้ารู้มานานแล้วหรือ เหตุใดไม่บอกข้า”
“ข้าเองก็เพิ่งรู้เจตนานี้ของไทเฮาเมื่อคืน” เสิ่นเฉียนจ้องมองเขา “อีกอย่าง บอกเจ้าก่อนแล้วมีประโยชน์อันใด เจ้าปฏิเสธได้หรือ”
“ข้าปฏิเสธไม่ได้” เซี่ยจิ่นก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว เงาร่างปกคลุมลงมา กล่าวเสียงเย็น “แต่เจ้าทำได้ หากเจ้าบอกว่าไม่อยากแต่งเสียอย่าง ไทเฮาย่อมไม่บีบบังคับเจ้า งานแต่งนี้เดิมก็สามารถ…”
เสิ่นเฉียนตัดบทเขา รอยยิ้มยังคงประดับริมฝีปาก “ข้าสามารถปฏิเสธได้ก็จริง แต่ข้าไม่ได้ทำ และไม่คิดปฏิเสธด้วย”
แววตาเซี่ยจิ่นพร่าเลือนเล็กน้อย จ้องมองนางภายใต้แสงเงาสลัวราง
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใบหน้าของเซี่ยจิ่นอยู่เหนือนาง ลมหายใจยาวอุ่นร้อน ทำให้ข้างแก้มที่เงยขึ้นของนางรู้สึกจั๊กจี้น้อยๆ
ไกลออกไปเสียงพูดคุยหัวเราะเลือนรางจากบนหอสูงแว่วมา บนเรือสำราญกลางทะเลสาบมีผ้าปลิวพลิ้วสะบัด บทเพลงเนิบช้า คนร่ายรำแช่มช้อย ดนตรีบรรเลงเปลี่ยนเป็นพิณผีผา ไพเราะน่าฟัง ประเดี๋ยวคล้ายสาลิกาขับขาน ประเดี๋ยวดั่งฝนตกบนภูเขา
เซี่ยจิ่นเงียบไปนานค่อยเอ่ยเสียงเบาเจือแววยั่วเย้าน้อยๆ “เจ้าอย่าบอกนะว่าเพราะเจ้าชอบข้าถึงไม่ได้ปฏิเสธ”
“หากข้าบอกว่าใช่เล่า” เสิ่นเฉียนยื่นมือออกมา ปลายนิ้วไล้ดิ้นลายเมฆสีเงินบนคอเสื้อสีน้ำทะเลสาบของเขาวนเป็นวงกลมเบาๆ ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “แม่ทัพเซี่ยงามดั่งหลิววสันต์ สง่าดุจสนเหมันต์ ข้า…มีใจให้นานมากแล้ว”
“ฮึ คิดจะหลอกใครกัน” เซี่ยจิ่นส่งเสียงเยาะหยันออกมา คว้ามือนางแล้วสะบัดออก “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเป้าหมายอะไร ข้าขอถามเจ้าแค่ว่า…” แววตาเขามืดดำ จ้องตานางนิ่งพลางเอ่ยถามสืบเสาะ “มอบทัพเขตตะวันตกให้ผู้อื่น เจ้ายอมได้หรือ”
เสิ่นเฉียนไม่ตอบ ชูมือขึ้นมาอีกครั้ง รีดสาบเสื้อที่พลิกเลิกเป็นรอยจีบจากการถูกเขาสะบัดออกเมื่อครู่ให้เรียบแล้วเอ่ยเสียงเบา “เชิญคนมาดูดวงจากวันเดือนปีเกิดของพวกเราสองคนแล้ว เห็นว่าเหมาะสมกันยิ่ง”
เซี่ยจิ่นขมวดคิ้วแล้ว ฉวยข้อมือนางอย่างหงุดหงิด “พูดดีๆ อย่าขยับมือขยับเท้า”
เสิ่นเฉียนหลุดหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพเซี่ยยังกลัวถูกข้าล่วงเกิน”
“เสิ่นเฉียน!” ร่างเซี่ยจิ่นแข็งทื่อ ใบหน้าบึ้งตึงเอ่ยว่า “เจ้าต้องพูดเช่นนี้ให้ได้หรือไร”
เสิ่นเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่ข้าพูดคือเรื่องจริงจัง แลกเทียบเวลาตกฟากเป็นเรื่องในวันสองวันนี้แล้ว คิดว่าไทเฮากับฝ่าบาทคงอยากเห็นพวกเราแต่งงานกันโดยเร็ว เจ้าอย่าได้ถ่วงเวลา”
เซี่ยจิ่นรู้สึกพ่ายแพ้ ไม่อยากพูดอะไรกับนางอีก เขาส่งเสียงฮึคราหนึ่งก่อนถอยหลังออกไปสองก้าวแล้วผินหน้าจากไป
เสิ่นเฉียนยิ้มกล่าวผ่านเงาหลังของเขา “สินเดิมของข้าท่านย่าก็เตรียมไว้ให้ข้าเรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์ยิ่ง สินสอดของบ้านเจ้าจะส่งมาเมื่อไร อย่าให้น้อยหน้าเล่า…”
เท้าที่ก้าวเดินของเซี่ยจิ่นหยุดลง เพียงเอ่ยกลับมาประโยคหนึ่งอย่างเย็นชาโดยไม่ได้หันศีรษะมา “วางใจ ไม่มีทางน้อยกว่าสินเดิมของเจ้าแน่”
เสิ่นเฉียนมองส่งเขาจากไปไกลแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าถึงหุบลงช้าๆ นางเด็ดดอกสายน้ำผึ้งดอกหนึ่งบนระแนงมาดมน้อยๆ พลางหลุบตาลงแล้วถอนหายใจ
งานเลี้ยงในวังสิ้นสุดลงเร็ว ตอนเสิ่นเฉียนกับท่านปู่กลับมาถึงจวนสกุลเสิ่นก็พบว่าท่านย่ายังไม่นอน
นางกับท่านผู้เฒ่าทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่งถึงค่อยกลับเรือนตนเอง นั่งลงบนระเบียงมองแสงจันทร์ยวงพลางนวดหน้าผาก
จูเฉินนำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา และให้นางดูแบบต่างหูที่ร้านเงินวาดออกมาใต้แสงโคมระเบียง
เสิ่นเฉียนเพียงเหลือบมองคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ทั้งนั้น เจ้าจัดการไปก็พอ”
จูเฉินเก็บกระดาษมาแต่ไม่ได้ออกจากห้อง เพียงนั่งอยู่ข้างหลังนาง ช่วยนางถอดเกี้ยวประดับทั้งปล่อยผมสยายลงมา หวีผมยาวของนางเป็นครั้งคราว
“ท่านแม่ทัพ ในเมื่ออีกไม่นานก็ต้องแต่งเข้าจวนสกุลเซี่ยแล้ว คิดว่าน่าจะต้องสวมชุดสตรีสักระยะหนึ่ง ไม่สู้เจาะหูอีกครั้งดีหรือไม่ วันนี้ข้าลองดูแล้ว ต่างหูหนีบนี้สวมนานไปจะหนีบจนเจ็บหูจริงๆ”
“อะไรนะ” เสิ่นเฉียนหันมามองอย่างมึนงง คล้ายไม่ได้ฟังคำพูดก่อนหน้า
จูเฉินที่จู่ๆ ได้เห็นความกังวลและเศร้าโศกในดวงตาทั้งคู่ของนางให้รู้สึกสงสารไปด้วย เสียงที่เอ่ยเบาลงกว่าเดิม “ท่านแม่ทัพ เจาะหูเถิดเจ้าค่ะ จะยุ่งยากก็แค่ชั่วครู่เดียว”
เสิ่นเฉียนเอ่ยเนิบๆ “ก็ดี”
“ท่านแม่ทัพวางใจเถิด” จูเฉินเอ่ยเกลี้ยกล่อม “นิสัยของแม่ทัพเซี่ยท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ อีกอย่างสกุลเซี่ยก็ไม่ใช่พวกจิตใจคับแคบ”
“ข้ามีหรือจะกังวลด้วยเรื่องนี้” เสิ่นเฉียนยิ้มออกมา หมุนตัวมาตบหลังมือนางเบาๆ อย่างปลอบโยน พลางเอ่ยทอดถอนใจว่า “ข้าเพียงชังที่ตนเองไม่เอาไหน จินเฟิ่งตอนนี้…” นางหยุดไปไม่ได้เอ่ยต่อ รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหาย นางเงยหน้ามองไปยังจันทรากลางฟ้าแล้วเอ่ยพึมพำ “ถ้าให้เวลาข้าอีกนิดก็คงดี…”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ธ.ค. 67