คืนลมพัดต้องเหมยงาม
ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 1-2
ชื่อของเสิ่นเฉียนแทบจะไม่มีใครในต้าเซวียนไม่รู้จัก
แปดปีก่อนด่านชายแดนเขตตะวันตกสถานการณ์วิกฤต ควันสงครามต่อเนื่องสิบกว่าวัน ติ้งหย่วนโหวเสิ่นฮ่วนกับฮูหยินเหลียงอวี้เข้าสู่สนามรบและสิ้นชีพภายใต้กำแพงด่านจี้อวิ๋น
ยามที่ทุกคนคิดว่าเขตตะวันตกคงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว ทัพเขตตะวันตกจะต้องถอยไปที่เมืองอู๋โจว เสิ่นเฉียนในวัยสิบเจ็ดปีบุตรสาวคนเดียวของทั้งคู่ก็ชูดาบยาวที่บิดาทิ้งไว้ขึ้นมา ภายใต้การช่วยเหลือของนายทัพที่เหลืออยู่ของทัพเขตตะวันตกจึงฝืนรักษากำแพงด่านเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด สังหารทัพหน้าของทัพซีเหลียงที่โจมตีกำแพงเมืองระลอกแล้วระลอกเล่าให้ล่าถอยออกไป ยืนหยัดมาตลอดจนกระทั่งทัพหนุนเขตเหนือเร่งมาถึงในอีกสิบวันให้หลัง
ตลอดสิบวันสิบคืนไม่มีวิธีใดที่ทัพซีเหลียงไม่ใช้ มีทั้งโจมตีด้วยไฟ โจมตีทางน้ำ เครื่องเหวี่ยงหิน ขุดอุโมงค์ สารพัดบันไดเพื่อปีนกำแพง และรถโจมตีเมืองที่ปรับให้ดีขึ้น สลับสับเปลี่ยนเข้าโจมตีไม่หยุด แต่ล้วนถูกเสิ่นเฉียนคลี่คลายไปได้ทั้งหมด ว่ากันว่าตอนทัพหนุนเขตเหนือมาถึง ทัพเขตตะวันตกก็กระสุนหมดเสบียงเกลี้ยง ทหารบนกำแพงเมืองทุกนายล้วนเหมือนชโลมร่างด้วยเลือดอย่างไรอย่างนั้น ทั่วร่างไม่มีผิวหนังที่ยังดีอยู่แม้แต่น้อย
หลังทัพหนุนมาถึงเสิ่นเฉียนก็พักไปสองวัน วันที่สามนางระดมกำลังทหารม้าหนึ่งหมื่นนายที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน พุ่งออกจากประตูเมืองไล่โจมตีทัพซีเหลียงที่ถอยร่น ไล่ตามไปจนถึงกลางเขาเหมิงจย่าที่นอกด่านจี้อวิ๋น ตัดเส้นทางถอยกลับชายแดนแคว้นซีเหลียงของทัพซีเหลียง ล้อมกรอบไว้ที่ใต้ผาต้วนฉางซึ่งเป็นปราการธรรมชาติของเขาเหมิงจย่า แล้วฟันหัวของผู้บัญชาการทัพซีเหลียงลงมาในดาบเดียว
หลังสงครามสงบ อดีตฮ่องเต้ไม่ฟังเสียงส่วนใหญ่ ปฏิเสธข้อเสนอที่ให้ส่งผู้อื่นไปรับช่วงต่อทัพเขตตะวันตก และให้เสิ่นเฉียนบัญชาการทัพเขตตะวันตกอย่างเป็นทางการ
ราชสำนักทั้งบนล่างรู้ดีแก่ใจว่านี่ต้องเป็นเพราะเสิ่นฮองเฮาในสมัยนั้น หรือก็คือเสิ่นไทเฮาในปัจจุบันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของอดีตฮ่องเต้ แต่ไม่นานเสิ่นเฉียนก็อุดปากผู้ที่รอชมดูเรื่องขบขันได้ทั้งหมด ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีนางก็จัดระเบียบทัพเขตตะวันตกสิบหมื่นใหม่ทั้งหมด ทั้งในหกเจ็ดปีหลังจากนั้นยังไม่เคยให้พวกซีเหลียงรุกล้ำเข้าชายแดนได้แม้แต่ครึ่งก้าว
ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนศึกเขตตะวันตกปะทุขึ้นอีกครั้ง ซีเหลียงอ๋องระดมทัพใหญ่สิบห้าหมื่นบุกมาถึงนอกด่านจี้อวิ๋น เสิ่นเฉียนนำทัพอย่างสุขุมรอบคอบ ผสานทหารราบที่วินัยครัดเคร่งและทหารม้าที่มีฝีมือขี่ม้ายอดเยี่ยมกล้าหาญดุดัน พลิกสถานการณ์เอาชนะได้ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วง ท้ายที่สุดก็บีบจนซีเหลียงอ๋องต้องก้มหัวขอสงบศึก
ซีเหลียงกับต้าเซวียนลงนามในข้อตกลง เขตตะวันตกเปิดตลาดชายแดนอีกครั้ง ซีเหลียงอ๋องส่งหลานสาวท่านหญิงหลันเจิงมาแต่งงานที่แคว้นต้าเซวียน
ศึกนี้แม้ทั้งสองฝ่ายจะเสียหายหนัก แต่หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายเพิ่มเติม ชายแดนเขตตะวันตกจะสงบสุขไปอย่างน้อยห้าถึงสิบปี คนส่วนใหญ่มาถึงตอนนี้ล้วนเลื่อมใสเสิ่นเฉียนทั้งวาจาและใจ
ระหว่างเสิ่นเฉียนยกทัพกลับเมือง ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างเคยมามองดูความองอาจของแม่ทัพหญิงอายุน้อยผู้นี้ทั้งใกล้และไกล
วันนั้นเสิ่นเฉียนสวมชุดเกราะทั้งตัว ศีรษะสวมหมวกทองประดับขนนก หลังสะพายดาบยาว นั่งอยู่บนม้าดำตัวใหญ่อาจหาญ สีหน้าเคร่งขรึม แผ่นหลังเหยียดตรง บนดวงหน้านั้นไม่ใช่ความชดช้อยและออดอ้อน หากแต่เป็นความหนักแน่นและสุขุมที่ต่างจากสตรีทั่วไป
บนม้าพันธุ์ดีสีแดงพุทราด้านข้างนางคือท่านหญิงหลันเจิงที่เดินทางมาแต่งงาน ท่านหญิงงามดั่งบงกช ดูไร้เดียงสามีชีวิตชีวา นั่งบนหลังม้าด้วยสีหน้าใคร่รู้ มองไปรอบๆ พลางกระซิบกับคนข้างกายอย่างตื่นเต้นอยู่บ่อยครั้ง เกิดเป็นการเปรียบเทียบอย่างเด่นชัดกับเสิ่นเฉียนที่วางตัวสงบนิ่งมั่นคง ทำเอาชาวเมืองหลวงยกมาพูดถึงอยู่หลายวัน
แต่วันนี้แม่ทัพหญิงที่นั่งอยู่บนแท่นยกฝั่งตะวันออกของสนามฝึกคล้ายดูต่างออกไปอยู่บ้าง
บนใบหน้าสะอาดตาเจือรอยยิ้มอบอุ่น พูดคุยผ่อนคลายกับรองเสนาบดีเซวียที่อยู่ข้างกาย เกราะอ่อนสีเงินขาวบนร่างทำให้มองเห็นรูปร่างแข็งแกร่งมีพลังได้สัดส่วนอยู่รำไร ทั้งนางไม่ได้สวมหมวกเกราะ เพียงมัดผมง่ายๆ ไว้เหนือศีรษะ ยิ่งเผยลำคอเรียวยาวงดงาม เส้นผมที่ปรกหน้าผากกับเชือกมัดผมสีแดงบนมวยผมพลิ้วไหวเบาๆ ตามสายลมไปด้วยกัน เพิ่มความอ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบลมวสันต์
การต่อสู้ในสนามฝึกเข้าใกล้ช่วงดุเดือดเลือดพล่านที่สุด เสิ่นเฉียนชมจนเพลิดเพลิน เซี่ยจิ่นกลับคิ้วขมวดลึกขึ้นทุกที
หากเสิ่นเฉียนไม่มา เขายังสามารถดูการประลองนี้จนจบได้อย่างผ่อนคลาย และให้คำแนะนำนิดๆ หน่อยๆ หลังจบการประลองได้ แต่ตอนนี้ผู้ช่ำชองการใช้ดาบนั่งอยู่ข้างกายตน เขาจึงรู้สึกว่าวิชาดาบของผู้ใต้บังคับบัญชาพวกนี้เบาหวิวไร้น้ำหนัก ไม่อาจทนดูแม้สักนิด มีแต่จะดึงให้บารมีของตนต่ำเตี้ยลงไปช่วงหนึ่งด้วย
ในสนามฝึกเสียงตะโกนอึงอล การประลองมาถึงช่วงท้ายแล้ว ทหารนายหนึ่งกระถดตัวถอยหลัง ดาบยาวสกัดการโจมตีของอีกคน คนผู้นั้นฟันดาบยาวตามขวาง คมดาบหมุนกดลงมา ขณะกำลังจะออกแรงกลับคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะงอขาซ้าย ร่างกายท่อนล่างของเขาเสียสมดุลจนซวนเซ อีกฝ่ายพลิกมือตวัดดาบ บิดอาวุธในมือตนแล้วกระโดดขึ้นไปด้านบน ดาบยาวหลุดมือกระเด็นออกไป เขาพ่ายแพ้แล้ว
“เยี่ยม!” ทหารที่ชมอยู่รอบๆ โห่ร้องเสียงดัง
คิ้วเซี่ยจิ่นขมวดไม่คลาย ส่ายหน้าน้อยๆ ตะคอกอย่างเยียบเย็นว่า “เยี่ยมอะไรกัน ดูมีฝีมือเช่นนี้ แค่เพราะอยู่ในหมู่พวกไม่ได้ความเท่านั้น”
พอทุกคนถูกเขากวาดตามองคราหนึ่งก็พลันเงียบปานจักจั่นในวันหนาว บื้อใบ้ไร้เสียง ผู้ชนะคนนั้นกำดาบยาวแน่นอย่างกระอักกระอ่วน รู้สึกไปเองว่าใบหน้าไร้รัศมี ความยินดีในชัยชนะหายเกลี้ยงทันใด