คืนลมพัดต้องเหมยงาม
ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4
บทที่ 3 หงหลวนแต่งงาน
ลมราตรีพัดกรู แสงจันทร์สาดส่อง
ภายในหอตั้นเสวี่ยของจวนสกุลเซี่ยเวลานี้ เซี่ยจิ่นสองมือไพล่หลัง ฟังน้องชายตัวน้อยเซี่ยซือที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะท่อง ‘ยุทธศาสตร์ความรู้ บทป้องแคว้น’ ใน ‘หกยุทธศาสตร์ไท่กง’
เซี่ยซือโคลงศีรษะไปมา เอ่ยท่องอย่างลื่นไหล “ฟ้ากำเนิดสี่ฤดู ดินกำเนิดสรรพสิ่ง ใต้ฟ้ามีประชา ประชาปกครองด้วยกษัตริย์ กฎวสันต์คือก่อเกิด สรรพสิ่งงอกเงย กฎคิมหันต์คือเติบโต สรรพสิ่งเฟื่องฟู…”
จู่ๆ ไม้ลงโทษ ด้ามหนึ่งก็หวดใส่โต๊ะ เซี่ยจิ่นเอ่ยเสียงดุ “นั่งตัวตรง!”
เซี่ยซือตกใจจนเหยียดหลังตรง ศีรษะนิ่ง ลูกตาไม่กล้าล่อกแล่ก
เซี่ยจิ่นถึงค่อยเอ่ยว่า “นั่งดุจระฆัง ยืนดั่งต้นสน ลุกนั่งเดินหยุดล้วนต้องมีสง่าราศี! เอาล่ะ ต่อได้แล้ว”
เซี่ยซือท่องตำราต่ออย่างว่าง่าย “…ดังนั้นใต้หล้ามั่นคง กษัตริย์เก็บงำ ใต้หล้าปั่นป่วน กษัตริย์แก้ไข นี่คือหลักการ…”
บนใบหน้าเซี่ยจิ่นมองอารมณ์ใดไม่ออก “หมายความว่าอย่างไร”
เซี่ยซือยืดอกกล่าว “นักปราชญ์อิงกฎการโคจรของสรรพสิ่ง เลียนอย่างกฎแห่งธรรมชาติ นำมาเป็นหลักในการปกครองใต้หล้า ดังนั้นยามใต้หล้าสงบสุข กษัตริย์ต้องเก็บงำไม่เผยตน ยามใต้หล้าปั่นป่วน กษัตริย์ต้องออกหน้าแก้ไขให้กลับคืนดังเดิม สร้างความผาสุก…”
เซี่ยจิ่นเพียงพยักหน้าน้อยๆ “ยังนับว่าจดจำได้ เจ้าท่อง ‘ยุทธศาสตร์มังกร บทกำลังทัพ’ มาอีก”
เซี่ยซือแทบกระโดดขึ้นมา เขาเอ่ยว่า “อาจารย์ยังสอนไม่ถึงตรงนี้!”
เซี่ยจิ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ไม่สอน ตัวเจ้าก็ไม่สามารถอ่านก่อนล่วงหน้าหรือ สกุลเซี่ยเราสร้างตัวมาด้วยวิชาทางทหาร ‘หกยุทธศาสตร์ไท่กง’ นี่ยังเป็นพื้นฐาน เหนือหกยุทธศาสตร์ยังมีสามกลยุทธ์ พี่รองของเจ้าตอนนางอายุเท่าเจ้าไม่ต้องพูดถึงหกยุทธศาสตร์เลย กระทั่งสามกลยุทธ์หวงสือกงล้วนจดจำได้แม่น…”
เซี่ยซือกลอกตาใส่ “เอาพี่รองมาข่มทับข้าอีกแล้ว เหตุใดพี่ใหญ่ไม่เทียบกับตัวท่านเองเล่า”
เซี่ยจิ่นหัวเราะเสียงเย็น พูดอย่างไร้ยางอาย “ข้าไม่พูดถึงตัวข้าเพราะห่างชั้นเกินไป เกรงว่าจะกระเทือนความมั่นใจของเจ้า”
“ชิ” เซี่ยซือส่งเสียงคำหนึ่ง ลูกตากลอกไปมา ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์กล่าว “พี่ใหญ่ย่ามใจอะไรกัน ข้าเคยได้ยินพี่รองบอกว่าไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก เพราะมีคนหนึ่งที่ท่านไม่เคยกดข่มได้ แม่ทัพเสิ่นนั่น…”
คิ้วเซี่ยจิ่นเลิกขึ้นอีกครา ฟาดไม้ลงโทษลงบนโต๊ะแรงๆ ดังเพียะ “ยามจื่อ แล้ว พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย รีบอ่านบทกำลังทัพซะ”
ครั้งนี้เซี่ยซือกลับไม่กลัวเขา ใบหน้าเล็กย่นยู่ร้องว่า “พี่ใหญ่ก็รู้ว่ายามจื่อผ่านไปแล้วกลับยังไม่ปล่อยข้าอีก ข้ารู้ว่าท่านจวนจะแต่งแม่ทัพเสิ่นเข้ามาแล้วจึงหงุดหงิด ดังนั้นถึงได้มาหงุดหงิดใส่ข้า!”
“ว่าอะไรนะ!” เซี่ยจิ่นสีหน้าอึมครึม แววหนาวยะเยือกสองสายพุ่งผ่านในดวงตาประหนึ่งลูกธนู
เซี่ยซือแลบลิ้นน้อยๆ กระโดดผลุงลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
เขาวิ่งไปพลางยังหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้ออย่างไม่กลัวตาย โบกเบาๆ เบื้องหน้าพี่ชายตน
“วันนี้สะดุดของสิ่งนี้ในห้องหนังสือของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ยังคงคิดถึงเจ้าของต่างหูนี้ใช่หรือไม่”
เมื่อเซี่ยจิ่นมองเห็นชัดเจนก็ยิ่งโมโห โยนไม้ลงโทษออกไปแล้วหยิบกระบี่ที่แขวนตรงผนังมาถือไว้ ม้วนแขนเสื้อพลางตะคอกว่า “คืนมา!”
เซี่ยซือทำหน้าทะเล้นก่อนโยนต่างหูนั่นมาบนโต๊ะ “ท่านจะแต่งกับแม่ทัพเสิ่นอยู่แล้ว ของเช่นนี้ฉวยโอกาสทิ้งไปโดยเร็วดีกว่า แม่ทัพเสิ่นแต่งเข้ามาไม่ใช่เพื่อดูท่านเห็นของแล้วคิดถึงผู้อื่นนะ”
เซี่ยจิ่นอึ้งตะลึงไปทันใด ความโกรธค่อยๆ สลายลง เขาลูบกระบี่ยาวครู่ใหญ่ก่อนกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
เซี่ยซือได้ยินน้ำเสียงของพี่ใหญ่แฝงไว้ด้วยความขมขื่นอยู่บางส่วน ทั้งเห็นสีหน้าของเขาก็ให้รู้สึกเสียใจทั้งยังร้อนตัวขึ้นมา รีบคว้าตำราทางทหารมาบังเบื้องหน้าตน ศีรษะแทบจะมุดเข้าไปในหน้าตำราที่พลิกเปิดแล้ว
เซี่ยจิ่นเดินกลับมาหน้าโต๊ะ หยิบต่างหูชิ้นนั้นมาไว้ในมือ มองเซี่ยซือแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็ต้องกลับไปเขตเหนือแล้ว ที่ช่วงนี้ทดสอบเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้ารีบโตไวๆ ตอนนี้แม้เขตเหนือจะสงบสุขชั่วคราว แต่บอกไม่ได้ว่าเมื่อไรจะเกิดคลื่นลมอีก…ท่านพ่ออายุมากแล้ว ความมั่นคงของเขตเหนืออย่างไรก็ต้องพึ่งพวกเราสามพี่น้อง”
“ไม่ใช่ว่าตอนนี้มีแม่ทัพเสิ่นแล้วหรือ” เซี่ยซือถามอย่างไม่เข้าใจ
เซี่ยจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ปิดตาแล้วนวดหว่างคิ้วเบาๆ ถึงค่อยลืมตากล่าวเสียงขรึม “ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจ”
เซี่ยซือโผล่ศีรษะออกมาหลังตำรา ลอบมองพี่ใหญ่อย่างระมัดระวัง
เซี่ยจิ่นกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองดวงจันทร์กลมข้างนอก สรรพสิ่งสงัดเงียบ ลมราตรีพัดผ่านช่องหน้าต่าง กระทบเสื้อสีขาวบางของเขาเบาๆ ยิ่งขับเน้นรูปร่างสูงเด่น งามสง่าหล่อเหลาขึ้นไปอีก
เซี่ยซือทำเสียงจุปาก เอ่ยงึมงำกับตนเองว่า “เมื่อใดข้าจึงจะสูงแบบพี่ใหญ่นะ”
เซี่ยจิ่นได้ยินก็หันกลับมามองเขายิ้มๆ “ต้องมีวันนั้นแน่ เจ้าจะสูงยิ่งกว่าข้า…เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าจะสอนเจ้าอีกนิดหน่อย เจ้าจะได้กลับห้องไปพักผ่อน”
เซี่ยซือว่าง่ายแล้ว ตอบรับเสียงกังวานใส “ดีเลย พี่ใหญ่”
เซี่ยจิ่นเว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าว่า เจ้าเปิด…‘ยุทธศาสตร์การศึก’ บทเคลื่อนไหวหน้าที่แปด”
เซี่ยซือเปิดตำราไปหน้าดังกล่าว ได้ยินเพียงเสียงท่องกังวานของเซี่ยจิ่น “นกร้ายจู่โจม เก็บงำสองปีก สัตว์ร้ายออกล่า หูแนบหมอบดิน คนฉลาดเคลื่อนไหว ต้องเผยความโง่…ความหมายของคำพูดนี้คือการบอกว่า ก่อนนกที่ซุ่มอยู่จะออกโจมตี มักเลือกบินต่ำเก็บปีกทั้งคู่” เซี่ยจิ่นก้าวช้าๆ แขวนกระบี่ยาวกลับไปบนผนัง “ก่อนสัตว์ป่าดุร้ายจะออกล่า มักยกหูตั้งขึ้น จากนั้นเลือกคู้ตัวหมอบกับพื้นดิน ยามคนฉลาดจะออกเคลื่อนไหว ต้องเผยท่าทีของคนโง่งมออกมาต่อหน้าผู้อื่นก่อน…”
เขาเดินกลับมาข้างหน้าต่างแล้วแบมือออกใต้แสงจันทร์ จับจ้องต่างหูทรงหยดน้ำสีเขียวโปร่งแสงกลางฝ่ามือนั้นแล้วเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นจากท่าทางที่ผิดปกติบางอย่างของศัตรู สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวบางอย่างในก้าวต่อไปได้ ยกตัวอย่างเช่นมีปีหนึ่งแคว้นฝานเจอภัยหิมะ พี่รองของเจ้าสืบรู้ที่นอกด่านว่าอ๋องแคว้นฝานกักตุนเกลือหยาบจำนวนมากผ่านแคว้นซีเหลียง ปัญหาก็คือถ้าเป็นชาวบ้านใช้ย่อมใช้มากขนาดนี้ไม่ไหว…”
เซี่ยซือร้องตะโกน “ข้ารู้! เกลือหยาบสามารถสลายน้ำแข็งบางที่เกาะตัวบนถนนได้ ทำให้เดินทัพสะดวก…”
เซี่ยจิ่นยิ้มกล่าวพลางพยักหน้า “ไม่เลว ดังนั้นปีนั้น…”
ขณะสองพี่น้องกำลังพูดคุยกัน ที่ประตูมีเสียงเคาะซ้ำๆ ดังมา ไม่รอให้เซี่ยจิ่นเอ่ยปากประตูก็ถูกผลักเปิดแล้ว เซี่ยฮูหยินที่ใบหน้าเปรมปรีดิ์พาหญิงรับใช้กลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา