คืนลมพัดต้องเหมยงาม
ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4
เสิ่นเฉียนพลิกหน้าต่อไปอย่างทนไม่ไหว แต่บันทึกหน้านั้นกลับถูกฉีกไป
พูดเช่นนี้สตรีที่เขาพบโดยบังเอิญก็คือคนในใจเขาหรือ คำนวณเวลาดูแล้วห่างจากตอนนี้สามปี เหตุใดเขาไม่ไปสู่ขอสตรีผู้นั้นเล่า หรือว่าคนผู้นั้นเป็นศัตรูในราชสำนักของสกุลเซี่ย
อ่อนโยนดุจสายน้ำ? เปี่ยมเสน่ห์น่าลุ่มหลง?
เจอกันครั้งแรกก็ทำให้เซี่ยจิ่นคะนึงหาเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูบ้านใด
เสิ่นเฉียนคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยก่อนจะสลัดเรื่องนี้ทิ้งไป และวางหนังสือคืนตำแหน่งเดิม
นางค้นในห้องหนังสือของเซี่ยจิ่นต่อ สุดท้ายเดินไปยังกล่องลิ้นชักสองช่องเหนือชั้นวางของ ลิ้นชักไม่ได้ลงกลอน นางเปิดออกดูเป็นของที่ต้องการพอดี พลิกดูคร่าวๆ ก่อนหยิบม้วนหนึ่งออกมา นำเอกสารข้างในออกมานั่งลงอ่านหน้าโต๊ะอย่างละเอียด
เวลานี้กลับมีคนเคาะประตู เสิ่นเฉียนรีบเก็บของกลับที่เดิม ปิดลิ้นชักแล้วถึงค่อยเอ่ยว่า “เข้ามา”
ผู้ที่เข้ามาเป็นจูเฉิน เสิ่นเฉียนแต่งเข้าสกุลเซี่ยแล้ว เจียงหมิงกับจูเฉินย่อมต้องย้ายเข้าสกุลเซี่ยตามนางมาด้วย
เสิ่นเฉียนกวาดตามองบนแขนจูเฉินครู่หนึ่งแล้วยิ้มกล่าว “บาดแผลเป็นอย่างไร เหตุใดไม่พักมากสักหน่อย”
“ไม่เป็นไรนานแล้วเจ้าค่ะ” จูเฉินส่ายหน้า เอียงตัวเข้ามากระซิบเบาๆ ข้างหูเสิ่นเฉียน
ดวงตาสงบนิ่งของเสิ่นเฉียนเผยแววใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ากล่าว “รู้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปด้วยตนเอง”
จูเฉินคล้ายอยากพูดแต่หยุดเอาไว้ สุดท้ายเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพเพิ่งแต่งงาน เกรงว่าคงไม่สะดวก หรือไม่ก็ให้ข้าไปเองเถิด”
เสิ่นเฉียนส่ายหน้า “บาดแผลของเจ้ากับเจียงหมิงหนักกว่าข้า หากเผยร่องรอยจะแย่เอา อีกทั้งตอนนี้อยู่ในเมืองหลวง ข้าเชื่อใจเพียงเจ้ากับเจียงหมิง ให้ผู้อื่นไปก็ไม่สะดวกใจ ข้าจะระวังการเคลื่อนไหว”
เซี่ยจิ่นกลับมาถึงจวนแล้วไปที่ห้องหนังสือก่อน
เขาเปิดกล่องลิ้นชักบนชั้นวางของ เปิดดูม้วนเอกสารสองสามม้วนในนั้น ตรวจสอบอย่างละเอียดครู่หนึ่งถึงค่อยลงกลอนลิ้นชัก
คืนเดือนหงายลมสงบ น้ำค้างสารทแผ่คลุม ตอนเขากลับมาถึงเรือนเล็กซงยวน เสิ่นเฉียนอาบน้ำหวีผมเสร็จแล้ว สวมชุดนอนที่ย้อมด้วยสีดอกเหมย เอนร่างพิงเก้าอี้กุ้ยเฟย* ที่อยู่ริมหน้าต่างในห้องชั้นนอกพลางพลิกอ่านหนังสือ
เซี่ยจิ่นถอดเกราะออก แล้วล้างมือในอ่างน้ำ ถามเบาๆ ว่า “เจ้าดูเอกสารราชการในห้องหนังสือข้าหรือ”
เสิ่นเฉียนปิดหนังสือมองดูเขาคราหนึ่ง พูดอย่างบอกไม่ถูกว่าอารมณ์ดีหรือไม่ “แม่ทัพเซี่ยนี่ช่างน่าเบื่อจริงเชียว ประตูห้องหนังสือไม่ลงดาล ทั้งไม่มีคนเฝ้า ของสำคัญเช่นนี้วางอยู่ในกล่องลิ้นชักโดยไม่ลงกลอน ไม่ใช่คิดรอให้ข้าอ่านหรือ”
เซี่ยจิ่นทั้งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ คลุมเสื้อตัวนอกที่สะอาดไว้ แล้วก้าวมานั่งลงข้างกายนาง ถกขากางเกงนางขึ้น “วันนี้แผลที่ขาเป็นอย่างไร”
เสิ่นเฉียนหดขากลับ เอ่ยว่า “ดีขึ้นมากแล้ว” นางเอ่ยเสริมว่า “ชายหญิงไม่พึงชิดใกล้ อย่าขยับมือขยับเท้ารุ่มร่าม”
เซี่ยจิ่นยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “แปลกจริง แต่ไรมาแม่ทัพเสิ่นไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่หรือ” พูดพลางดึงขานางออกมาแก้ผ้าพันแผล
บาดแผลใส่ยาใหม่แล้ว เขาตรวจดูรอบหนึ่งแล้ววางขานางบนเบาะรอง “เย็นสักหน่อย”
เขาเงยหน้าเห็นเสิ่นเฉียนจ้องมองตนอยู่ก็เอ่ยอย่างแยกจริงเท็จไม่ออก “เจ้าแต่งเข้าสกุลเซี่ยแล้ว ข้าย่อมต้องดูแลอย่างจริงใจ หากขนเจ้าพร่องไปสักเส้นเกรงว่าไทเฮาคงมาเล่นงานข้า”
เสิ่นเฉียนหน้าบึ้งตึง ผินหน้าออกไปไม่เอ่ยคำ
เซี่ยจิ่นเหลือบมองนางเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “เจ้าดูแผนที่จัดวางกำลังป้องกันแนวหน้าช่องเขาฉีหลงไปเพื่ออะไร”
เสิ่นเฉียนหันกลับมาแล้วหยิบหนังสือด้านข้างมาเปิด ท่าทางเหมือนไม่คิดสนทนากับเขา ปากกลับเอ่ยว่า “ข้าบอกไปนานแล้ว เจ้าทำเช่นนี้สนุกนักหรือ อยากรู้อะไรก็ถามข้ามาตรงๆ ก็พอ พูดอ้อมไปมาเช่นนี้เจ้าไม่เหนื่อยหรือไร”
เซี่ยจิ่นดึงหนังสือในมือนางออกมา โยนไปข้างๆ “ข้าถามแล้วเจ้าจะพูดหรือ”
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง เสิ่นเฉียนพลันยิ้มออกมา นั่งตัวตรงกล่าว “เอาเถอะ เจ้าก็ไม่ต้องเดาไปมาแล้ว เจ้ายกช่องเขาฉีหลงให้ข้าเถอะ ข้าจะไปเฝ้าที่นั่น”
เซี่ยจิ่นจ้องมองนางพลางเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ช่องเขาฉีหลงเป็นจุดเชื่อมต่อของเขตตะวันตกกับเขตเหนือพอดี เหนือขึ้นไปยังเป็นพื้นที่ติดกับแคว้นซีเหลียงกับแคว้นฝาน บริเวณนั้นคือปราการธรรมชาติ น้อยคนจะโจมตีเส้นทางนั้น ปกป้องนั้นง่าย แต่คนของเจ้าก็จะสร้างผลงานได้ยากเพราะเหตุนี้เช่นกัน เจ้าจะเอาตรงนั้นไปทำอะไร”
เสิ่นเฉียนเหลือบมองหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา ดวงตางามริมฝีปากแดงอยู่ใกล้เพียงคืบ ผิวดูเปล่งปลั่งแววตาเป็นประกายระยิบระยับยิ่ง เห็นแล้วอยากบีบแก้มเขานัก นิ้วมือนางขยับเล็กน้อยแต่ยังอดทนอดกลั้นไว้
“ข้าไปที่นั่นไม่ใช่ตรงใจเจ้าหรือ ข้าไปเฝ้าช่องเขาฉีหลง มีงานที่ได้รับมอบหมายแล้วก็ไปอธิบายกับทางไทเฮาได้สะดวก ทั้งไม่แย่งความชอบของสกุลเซี่ยเจ้า อีกอย่างที่นั่นห่างจากด่านวั่งหลงมาก เลี่ยงการไปปรากฏตัวบ่อยๆ ต่อหน้าเจ้าได้ จะได้ไม่เป็นที่ขัดตาเจ้าด้วย”
เซี่ยจิ่นส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ยังคงไม่พูดความจริง”
“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าเอาธารเอ๋าหลงมาให้ข้า แล้วย้ายน้องสาวเจ้าไปช่องเขาฉีหลงแทน” เสิ่นเฉียนกล่าว เห็นคิ้วของเซี่ยจิ่นขมวดเข้าหากันแล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ยื่นนิ้วออกไปกดหัวคิ้วเขา “ดูเจ้าสิ นี่ก็เผยร่างจริงออกมาแล้วนี่ วางใจได้ ธารเอ๋าหลงเป็นพื้นที่ที่น้องเซี่ยอี๋เฝ้าอยู่ ข้าไม่แย่งนางหรอก”
เซี่ยจิ่นกุมข้อมือนาง “เมื่อครู่ใครพูดว่าชายหญิงไม่พึงชิดใกล้ อย่าขยับมือขยับเท้ารุ่มร่ามสิ”
เสิ่นเฉียนหัวเราะออกมา “คำพูดข้าเจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังด้วยหรือ”
เซี่ยจิ่นกัดฟันกล่าวอย่างขุ่นแค้น “คิดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีคำพูดจริงๆ เลยสักประโยค”
ทั้งสองคุยกันครู่หนึ่งเซี่ยจิ่นก็เข้าไปห้องด้านในเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เสิ่นเฉียนยังคงเอนกายบนเก้าอี้กุ้ยเฟย มือถือหนังสือ ทว่ากลับจ้องมองเสื้อเกราะที่เขาแขวนไว้บนเก้าอี้อย่างเหม่อลอย
สองเค่อให้หลังเซี่ยจิ่นในชุดนอนคลุมด้วยเสื้อคลุมไหมสีฟ้านวลก็เดินออกมาแล้ว ในมือถือผ้าพันแผลม้วนใหม่ออกมาด้วย เขานั่งลงแล้วเอาน่องนางมาวางบนตักตนเอง
ผมของเขายังชื้นอยู่ เพียงมัดผมข้างขมับทั้งสองไว้ด้านหลัง ผมยาวแผ่สยาย ไอน้ำกับกลิ่นหอมเจ้าเจี่ยว ปะทะเข้ามา
เสิ่นเฉียนเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างไม่มีหัวมีหาง “ไม่สู้แยกห้องนอนกันเถิด”
เซี่ยจิ่นที่กำลังพันแผลที่ขานางชะงักมือ ก่อนนึกถึงสภาพตอนตื่นนอนเมื่อเช้าของทั้งคู่