คืนลมพัดต้องเหมยงาม
ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4
เมื่อคืนเขาพลิกตัวไปมาตลอด กระทั่งเกือบสว่างถึงได้สะลึมสะลือหลับไป ยามตื่นมาพบว่าขาข้างหนึ่งของนางมาก่ายอยู่บนตัวเขา และที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือน่องนางกำลังกดทับบนตำแหน่งที่สุ่มเสี่ยง อีกทั้งผู้ที่สร้างเรื่องตื่นแล้ว กำลังจ้องมองเขาอย่างแฝงความนัยมากมาย
‘ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ’ นางยกขาออก ทว่ามุมปากกลับโค้งเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายเล็กๆ
รอยยิ้มนี้ทำเอาเขายิ่งกระดากอาย ความร้อนพวยพุ่งมาที่แก้ม กระทั่งใบหูยังแดงเถือกแล้ว เขาจำต้องข่มความอายและความโกรธลงไป อธิบายให้นางฟังอย่างหมดท่า ‘ตอนเช้าๆ ก็เป็นเช่นนี้ ไม่นานก็จะผ่านพ้นไป นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า’
‘ข้าเข้าใจ’ นางพูดด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ‘ข้าไม่แปลกใจแล้วที่มีคนบอกว่าถ้าจะใช้กำลังกับบุรุษ ให้ลงมือตอนเช้าตรู่’
‘เจ้า…’ ขมับของเขากระตุกเล็กน้อย ความร้อนพุ่งขึ้นแก้ม จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง ‘ขยับออกไปหน่อย ข้าจะลงจากเตียง’
นางยิ้มพร้อมกับขยับตัวเปิดทางให้ ‘เจ้าโกรธอะไรกัน ข้ายังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะใช้กำลังกับเจ้า’
คิดถึงตรงนี้มุมปากเซี่ยจิ่นก็เผยรอยยิ้มหนึ่ง พยายามเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลายเป็นที่สุด “มีอันใด กลัวข้าทนไม่ไหวหรือ”
เสิ่นเฉียนเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ ข้ากลัวตนเองจะทนไม่ไหวแล้วใช้กำลังกับเจ้าต่างหาก”
เซี่ยจิ่นอับจนต่อถ้อยคำ ครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยว่า “เจ้าช่างน่าประหลาดใจจริงๆ พวกเราตอนนี้เป็นสามีภรรยาแล้ว…” เขาหยุดไปไม่เอ่ยต่อ ความหมายในคำพูดรู้ได้โดยไม่ต้องกล่าว
เสิ่นเฉียนกลับใคร่ครวญอย่างจริงจัง “ไม่ดีกระมัง ในเมื่อเจ้ามีคนในใจ ข้าทำเช่นนี้ดูเหมือนไม่ใคร่เหมาะสม”
“ข้าบอกเจ้าอย่างชัดเจนแล้วหรือว่าข้ามีคนในใจ” เซี่ยจิ่นพันผ้าพันแผลเสร็จก็วางขานางลง จ้องมองนาง
เสิ่นเฉียนอดกลั้นแต่ในที่สุดก็กลั้นไม่ไหว มองเขาอย่างยากคาดเดา เอ่ยช้าๆ ออกมาไม่กี่คำ “อ่อนโยนดุจสายน้ำ เปี่ยมเสน่ห์น่าลุ่มหลง”
เซี่ยจิ่นราวกับถูกผึ้งต่อยอย่างไรอย่างนั้น กระโดดพรวดขึ้นมา “เจ้าอ่านบันทึกข้าหรือ”
“ใช่แล้ว” เสิ่นเฉียนขยับโคมออกแล้วหยิบกรรไกรเงินเล็กไปตัดไส้เทียน เติมน้ำมันลงไปพลางกล่าว “ภายหลังข้ามาคิดดู นั่นดุจดั่งความฝัน…เฮ้อ การพบกันโดยบังเอิญที่เหมือนดั่งฝันดุจมายาเช่นนี้ กลับไม่ได้อ่านต่อ น่าเสียดายจริงๆ เหตุใดเจ้าต้องฉีกหน้านั้นด้วยเล่า”
สีหน้าของเซี่ยจิ่นมีความอับอายและความโกรธกรุ่นของคนที่ถูกผู้อื่นมองทะลุเรื่องลับในใจ เขาไม่ตอบกลับย้อนถาม “เจ้ายังอ่านอะไรอีก”
“ไม่มีอะไร แค่อ่านบันทึกเล่มหนึ่งของเจ้ากับแผนที่จัดวางกำลังป้องกันของช่องเขาฉีหลงเท่านั้น” เสิ่นเฉียนมองมา “โมโหขนาดนี้ไปทำไม อ่านบันทึกของเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าถือเป็นความผิดของข้า แต่ถ้าเจ้าไม่อยากให้ผู้อื่นมาเห็นก็ควรวางไว้ในที่ลับลงกลอนให้ดี วางอยู่บนชั้นหนังสือเช่นนี้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอ่านไม่ได้เล่า เมื่อก่อนเจ้าเองก็เคยเอามาให้ข้าอ่าน”
“พูดเช่นนี้ยังเป็นความผิดของข้า?” จุดไท่หยางของเซี่ยจิ่นเต้นตุบๆ แล้ว แค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินเข้าห้องด้านใน
เขาสงสัยอยู่บ้าง เป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันตนจะต้องถูกนางทำให้โมโหอกแตกตายเป็นแน่ เมื่อก่อนเจอหน้ากันไม่นับว่าบ่อยก็ช่างเถอะ นี่ฟ้าดินยังกราบไหว้แล้ว ไม่เจอเช้าก็ต้องเจอเย็น ตกกลางคืนยังนอนร่วมเตียง หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตอย่างไรแล้ว
เสิ่นเฉียนปัดลูกผมตรงขมับเบาๆ ฉวยหนังสือด้านข้างขึ้นมาเปิดอ่าน
กาน้ำหยด* บนชั้นหนังสือไหลร่วงลงมาเรื่อยๆ
เทียนไขในเชิงเทียนก้านบัวบนโต๊ะเตี้ยไหม้หมดแล้ว นางลุกขึ้นเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่
ขณะกลับมานั่งอีกครั้ง นางได้ยินเสียงเซี่ยจิ่นดังมาจากหลังฉากบังลมว่า “เลยยามจื่อแล้ว เจ้าคิดจะนั่งอ่านหนังสือทั้งคืนหรือไร”
เสิ่นเฉียนมองหนังสือในมือแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่กำลังโกรธข้าหรือ ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย เวลานี้ไปอยู่ตรงหน้าเจ้าไม่ใช่ยิ่งทำให้เจ้าหงุดหงิดกว่าเดิมหรือ”
นางกล่าวจบก็หูตั้งคอยฟัง ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจเนิบๆ ดังมาจากห้องด้านใน จากนั้นเซี่ยจิ่นก็เดินอ้อมฉากบังลมมา เลิกชุดขึ้นนั่งหน้าโต๊ะ รินชาถ้วยหนึ่งทว่าไม่ได้ดื่ม เพียงหันมาจ้องมองนาง
หนังสือในมือเสิ่นเฉียนบังอยู่เบื้องหน้านาง เหนือขอบหนังสือกลับมีดวงตาดำขาวตัดกันชัดเจนคู่หนึ่งโผล่ออกมา กะพริบคราหนึ่ง ก่อนกะพริบอีกครั้ง เซี่ยจิ่นปั้นหน้านิ่งไว้ไม่อยู่ หลุดยิ้มออกมาแล้ว
รอยยิ้มนี้คล้ายมีสายลมพัดความอึมครึมออกไป กระทั่งแสงเทียนบนเชิงเทียนยังส่ายรับ เสิ่นเฉียนโยนหนังสือในมือออกไปแล้วยิ้มกล่าว “ดีแล้วที่ไม่โกรธ เช่นนี้สิที่ควรเป็น ยิ้มน่ามองออกปานนี้ เหตุใดเอาแต่ปั้นหน้าเป็นก้อนน้ำแข็งอยู่ทั้งวัน”
“นี่ไม่ใช่เพราะถูกเจ้าทำให้โมโหหรือ” เซี่ยจิ่นเหลือบมองหนังสือที่ถูกนางโยนไปข้างๆ “ข้าว่าเจ้าอย่าอ่านเลย นานขนาดนี้แล้วเจ้าอ่านไปได้แค่สองหน้าเท่านั้นหรือ”
เสิ่นเฉียนบ่นงึมงำ “ยุ่งน่า”
เซี่ยจิ่นดื่มชาคำหนึ่ง นิ้วมือลูบไล้ไปตามลวดลายบนขอบถ้วยเบาๆ ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าฉีกหน้านั้นไป เป็นเพราะรู้สึกว่านั่นคือเรื่องในอดีต นับแต่นี้ไปจะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก”
เสิ่นเฉียนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้กุ้ยเฟย จัดสาบเสื้อตนเองเล็กน้อยมานั่งตรงข้ามเขา ก่อนรินชาให้ตนเองเช่นกัน
“หลังจากนั้นเหตุใดเจ้าไม่ไปตามหาแม่นางคนนั้น” นางถือถ้วยชา ทอดถอนใจเอ่ยด้วยท่าทีคลุมเครือ “หากเจ้าแต่งนางไปก่อน ตอนนี้ก็คงไม่มีเรื่องเช่นนี้ของพวกเราแล้ว”
เซี่ยจิ่นมองดูนาง “ที่สนามฝึกวันนั้นข้าไม่ใช่พูดไปแล้วหรือ ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร”
“ไม่รู้ว่านางเป็นใครหรือ ด้วยความสามารถของเจ้าถึงกับสืบหาไม่พบ? เหตุใดเจ้าไม่บอกข้า ข้าจะได้ช่วยเจ้าสืบหา”
“ไมตรีของพวกเราสองคนไม่ได้ดีถึงขั้นนั้นกระมัง อีกอย่าง…” เซี่ยจิ่นพูดอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าหรือจะใจดีช่วยข้า ไม่เอามาล้อข้าก็นับว่าดีถมเถแล้ว”
ในน้ำเสียงเขาเจือแววต่อว่าอยู่บ้างโดยไม่รู้ตัว “มีครั้งใดบ้างที่เจ้าไม่หาเรื่องข้า ชอบเห็นข้าขายหน้าต่อหน้าเจ้าถึงจะเบิกบาน”
“ข้าน่ะหรือ” เสิ่นเฉียนหัวเราะเบาๆ พลางลูบแก้มตนเอง “เป็นเจ้าคิดเล็กคิดน้อยเอง”
เซี่ยจิ่นพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ “ใช่ ข้าใจแคบ ส่วนแม่ทัพเสิ่นใจกว้าง ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย พอใจหรือยัง เรื่องในอดีตล้วนผ่านไปแล้ว พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้วได้หรือไม่”
“ไม่พูดก็ไม่พูดสิ” เสิ่นเฉียนดื่มชาในถ้วยจนหมดแล้วลุกขึ้นกลับไปนั่งยังเก้าอี้กุ้ยเฟย “เจ้าจะให้ข้าไปช่องเขาฉีหลงหรือไม่”
“เจ้าอยากไปที่นั่นก็ไปเถอะ” เซี่ยจิ่นคิดๆ แล้วถามหยั่งเชิงนาง “กองหรงเช่อที่เจ้าควบคุมโดยตรง ไทเฮาน่าจะอนุญาตให้ตามเจ้ามาด้วยกระมัง”
เสิ่นเฉียนมองเชิงเทียนก้านบัวบนโต๊ะเตี้ย ในดวงตาปรากฏแววชิงชังเสี้ยวหนึ่ง น้ำเสียงกลับเฉยเมย “กองหรงเช่อ…ไม่มีแล้ว”
เซี่ยจิ่นตกใจ รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงโดยพลัน ถามว่า “เหตุใดถึงไม่มีแล้ว ไม่ใช่ยังอยู่หรือ แค่ได้ยินว่าแม่ทัพซุนกระทำความผิด แต่แม่ทัพเฝิงยังอยู่ไม่ใช่หรือ”
เสิ่นเฉียนหันไปมองนอกหน้าต่าง “เปลือกยังอยู่ แต่ไส้ในล้วนเปลี่ยนไปแล้ว”
“ไทเฮาจะอนุญาตให้เสิ่นยวนทำเรื่องพรรค์นี้หรือ” เซี่ยจิ่นเอ่ยถามพลางมองนาง “ทหารของกองหรงเช่อเป็นเจ้าฟูมฟักมาเองกับมือ ซื่อสัตย์ต่อเจ้ายิ่ง แม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นมือขวามือซ้ายของเจ้า ตามเจ้ามาเขตเหนือสามารถช่วยเจ้าควบคุมสกุลเซี่ยได้พอดี ตัดแขนของเจ้าไปแล้วเจ้ายังจะทำการใดได้”
เสิ่นเฉียนหัวเราะเสียงเย็น “หากไม่มีคำบัญชาจากไทเฮา เสิ่นยวนหรือจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ วันนั้นเบื้องหน้าข้าถูกเรียกตัวด่วนกลับเมืองหลวง เบื้องหลังเสิ่นยวนก็ใช้อำนาจบังคับคนในค่าย อ้างความผิดเลื่อนลอยจับซุนจินเฟิ่ง เฝิงเจินแม้ยังอยู่ แต่ผู้บังคับกองสองคนล้วนถูกโยกย้าย รองผู้บังคับกองกับพลทหารลงไปก็เปลี่ยนส่งเดชไปหมด…ดังนั้นกองหรงเช่อตอนนี้แม้ยังอยู่ แต่ไม่ใช่กองหรงเช่อเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถึงให้ข้า ข้าก็ไม่เอา”
เซี่ยจิ่นไม่ได้เอ่ยคำ เพียงจ้องมองนางอย่างสืบเสาะคล้ายอยากค้นหาความจริง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ธ.ค. 67