คืนลมพัดต้องเหมยงาม
ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 3-4
เทียนแดงเผาไหม้เงียบๆ ไกลออกไปมีเสียงเคาะโมงยามดังมารางๆ หน้าต่างที่ไม่ได้ปิดสนิทมีลมพัดผ่าน พัดจนดอกชบาสองสามกิ่งที่ปักอยู่ในแจกันตรงริมหน้าต่างส่ายไหว
ยามดึกอันเงียบสงัด เงาเทียนแดงวูบไหว
มือของเสิ่นเฉียนนิ่งมาก ทาไปพลางพูดไปด้วย “ดึกมากแล้ว ทายาเสร็จก็นอนเถอะ พูดไว้ก่อนนะ ข้าคุ้นกับการนอนด้านนอก เจ้าก็นอนด้านในเถิด”
เซี่ยจิ่นไม่ส่งเสียง เสิ่นเฉียนเก็บขวดยาแล้วเหลือบมองเขา กล่าวอย่างคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “พวกเราก็ไม่ใช่ว่าร่วมหอไม่ได้เสียหน่อย เจ้าไม่ต้องรู้สึกรับผิดชอบอะไร อย่างไรข้าแต่งให้เจ้าก็ไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้”
คิ้วยาวของเซี่ยจิ่นเลิกขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นเจ้าทำเพื่ออะไร”
เสิ่นเฉียนหาว “ในใจเจ้าไม่ใช่มีคำตอบอยู่หรือ เหตุใดต้องถามข้า”
เซี่ยจิ่นกดมือนาง ดวงตาดำทั้งคู่กระจ่างชัด สายตาราวตาข่ายจับจ้องนางนิ่ง “จับตากับควบคุมสกุลเซี่ยของข้าก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรพวกเราตัวตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียง แต่ถ้าเจ้าหมายตาทัพเขตเหนือแปดหมื่น ข้าขอบอกให้เจ้าตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า”
เสิ่นเฉียนทำเสียงจุๆ ยื่นมือไปกดหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆ ของเขา “ดูเจ้าสิ หัวคิ้วขมวดแน่นขนาดนี้ไปไย วางใจเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก” นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเสริมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ว่าเรื่องใด”
เซี่ยจิ่นโมโหจนกัดฟันกรอด แต่ในสถานการณ์นี้เวลานี้ไม่อาจระเบิดอารมณ์ออกมาได้ จึงได้แต่ส่งเสียงหยันคราหนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินไปข้างเตียง เข้าไปนอนด้านในตามคำพูดก่อนหน้าของนาง
ไม่นานเสิ่นเฉียนก็ตามขึ้นมาแล้ว ห้อม้าตะบึงมาหลายวันติดต่อกันนางน่าจะเหนื่อยมากแล้ว ไม่ทันไรก็หลับลึกไป
เซี่ยจิ่นได้ยินเสียงลมหายใจนางที่ทั้งเบาและยาวก็พลิกตัวหันมาหานาง
เทียนแดงเผาไปครึ่งหนึ่ง ยามนี้แสงไฟสว่างไสวเป็นพิเศษ ส่องผ่านม่านโปร่งวาดเค้าโครงของคนตรงข้ามออกมาอย่างเด่นชัด นางนอนตะแคงหลับไป เส้นโค้งเว้าช่วงเอวงดงาม มือหนึ่งอยู่ใต้หมอน แขนอีกข้างพาดอยู่นอกผ้าห่มไหมปักลายสีแดง แขนเสื้อม้วนขึ้นเผยปลายแขน
เซี่ยจิ่นถอนหายใจคราหนึ่ง ดึงมือที่อยู่ใต้หมอนของนางออกมาและยัดแขนทั้งสองข้างเข้าไปในผ้าห่ม
วันต่อมาหญิงรับใช้ที่เข้าเวรในเรือนเล็กซงยวนนำสาวใช้มาเคาะประตู ข้างในเงียบเชียบ เดิมคิดว่าต้องเคาะอีกครู่ ไหนเลยจะคิดว่าเพิ่งเคาะไปครั้งเดียวประตูก็เปิดออกแล้ว
คนเปิดประตูคือฮูหยินคุณชายใหญ่ที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลเซี่ยเมื่อวาน บนร่างนางสวมชุดเรียบร้อย ผมกลับยุ่งสยาย เห็นคนมาแล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมลง “เหตุใดเพิ่งมาเวลานี้”
หญิงรับใช้ที่ได้รับการกำชับจากเซี่ยฮูหยินให้มาช้าสักหน่อยรวมถึงสาวใช้ทั้งคู่ล้วนไม่กล้าส่งเสียง
เสิ่นเฉียนก็ไม่ได้พูดมากความอะไร เพียงเอ่ยประโยคหนึ่ง “ตั้งแต่พรุ่งนี้ถ้าข้าไม่ประชุมขุนนาง ทุกวันยามเหม่า ให้มาปรนนิบัติ” ว่าพลางก็เรียกบ่าวรับใช้เข้าไป “ช่วยข้าหวีผม”
ตอนเซี่ยจิ่นกลับมาจากลานฝึกยุทธ์สกุลเซี่ยก็เห็นเสิ่นเฉียนกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งหน้าคันฉ่อง นางสวมเสื้อนอกตัวสั้นสีแดงเข้มทับด้วยเสื้อสั้นครึ่งแขนสีเทาอมฟ้า จับคู่กับกระโปรงหกจีบสีขาวอมเหลือง สาวใช้เกล้าผมทรงเมฆาเคลื่อน บนมวยผมเสียบปิ่นหงส์คาบมุกเคลือบทองอันหนึ่ง
เซี่ยจิ่นที่กำลังเดินไปห้องอาบน้ำเห็นนางยามนี้ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมา เดินไปเบื้องหน้านางและเหลือบดูบริเวณติ่งหูเล็กน้อย
ติ่งหูกระจุ๋มกระจิ๋มห้อยตะขอเงินเล็กบาง ด้านล่างแขวนตุ้มเล็กโมรา เพียงมองดูก็รู้ว่าด้านบนไม่ใช่ต่างหูหนีบ
เซี่ยจิ่นหลุบตาลงหัวเราะหยันตนเอง ก่อนไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดในห้องอาบน้ำ
สองสามีภรรยาเตรียมตัวเรียบร้อยก็ไปคารวะน้ำชาเซี่ยจี่กับเซี่ยฮูหยินที่เรือนหลัก
เซี่ยฮูหยินรับน้ำชาคารวะจากลูกสะใภ้อย่างเบิกบานยินดี ในใจให้พอใจเป็นพิเศษ
บุตรชายคนโตของนางผู้นี้ตั้งแต่เด็กก็รอบคอบความคิดความอ่านโตเกินวัย ในแต่ละวันทำหน้าเย็นชา สุขุมก็สุขุมอยู่ คนนอกก็ล้วนชื่นชมยิ่ง แต่นางกลับรู้สึกว่าลูกคนนี้ไม่ว่าดูอย่างไรล้วนไม่เหมือนผู้เยาว์ มืดมนอึมครึมตลอดเวลา ทำเอานางผู้เป็นมารดามองแล้วไม่ชอบใจ
ดังนั้นไม่แปลกที่นางจะชอบเสิ่นเฉียน เนื่องจากบุตรชายของตนมีเพียงเวลาอยู่ต่อหน้าแม่นางผู้นี้ถึงจะมีท่าทางที่ผู้เยาว์ควรมี ดังคำกล่าวว่าไม่ใช่ศัตรูไม่พบหน้า** นางสังเกตเห็นนานมากแล้วว่าบุตรชายยามอยู่ต่อหน้าเสิ่นเฉียน ความรู้สึกและอารมณ์บนสีหน้าจะเด่นชัดเป็นพิเศษ ดูมีชีวิตชีวายิ่ง ต่อให้โกรธเกรี้ยวเพียงใดก็ยังสดใสขึ้นมาก
ทว่าเพราะสกุลเสิ่นกับสกุลเซี่ยเป็นศัตรูกันมาแต่ไหนแต่ไร เป็นไปได้ยากที่บุตรชายจะแต่งแม่นางผู้นี้เข้าบ้าน เซี่ยฮูหยินเสียดายยิ่งนัก ลอบเคียดแค้นอยู่หลายปี พอได้ยินว่าไทเฮากับฮ่องเต้หมายจะจับคู่สองคนนี้ แรกเริ่มนางยังไม่กล้าเชื่อ หลังจากยืนยันหลายครั้งก็อดดีใจจนออกนอกหน้าไม่ได้
นี่ไม่ใช่บุพเพที่สวรรค์ลิขิตไว้แต่โบราณ เฒ่าจันทรากำหนดไว้อย่างดีหรอกหรือ
แน่นอนว่าท่านโหวเซี่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นางอาจจะไม่คิดเช่นนี้ แต่ใครสนเขากันเล่า อย่างไรนางก็พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นพิเศษ กระทั่งมองดูบุตรชายยังสบายตาขึ้นมาก
นางมอบของขวัญพบหน้าหนักอึ้งกล่องหนึ่งให้ลูกสะใภ้อย่างสนิทสนมพลางกำชับบุตรชายว่า “วันนี้อากาศดี เจ้าพาเฉียนเอ๋อร์ไปเดินเล่นที่เขาเฟิงลู่นอกเมืองเถิด ได้ยินว่าใบเฟิง บนเขาล้วนแดงแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าก็ต้องไปจากเมืองหลวง ควรฉวยช่วงเวลานี้พักผ่อนหย่อนใจดีๆ”
เซี่ยจิ่นกลับกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “ท่านแม่ ลูกเกรงว่ายังต้องไปสนามฝึกตะวันตกอีก ทหารใหม่คราวนี้ต้องฝึกให้เข้าที่ถึงจะเหมาะพาไปเขตเหนือ เวลานี้อากาศหนาวเย็น ทางเหนืออีกไม่นานจะมีหิมะตก หากหิมะตกหนักปิดเส้นทางบนเขา คงเดินทางลำบาก”
ได้ยินดังนี้เซี่ยจี่ก็เคลื่อนสายตาที่จับจ้องบนแก้มข้างหนึ่งซึ่งแดงน้อยๆ ของเซี่ยจิ่นมาถลึงตาใส่เซี่ยฮูหยินคราหนึ่ง “ทำตัวเหลวไหลอะไร หน้าที่การงานต้องเร่งด่วนกว่าสิ” ว่าพลางหันไปถามเสิ่นเฉียนอย่างอ่อนโยน “เฉียนเอ๋อร์ไม่มีความเห็นอะไรกระมัง”
เสิ่นเฉียนรีบตอบ “กองทัพย่อมเป็นเรื่องสำคัญ”
เซี่ยฮูหยินจนใจ ได้แต่จูงมือเสิ่นเฉียนแล้วยิ้มกล่าว “ข้าเตรียมห้องหนังสือไว้ให้เจ้าแล้วห้องหนึ่งที่หอตั้นเสวี่ย อยู่ข้างๆ ห้องหนังสือของอวิ๋นอิ่น อีกเดี๋ยวข้าพาเจ้าไปชมดู”