หลังกินอาหารเช้า เซี่ยจิ่นพาฉีหมิงเยวี่ยขี่ม้าไปสนามฝึกตะวันตก เซี่ยฮูหยินเนื่องจากต้องจัดการงานในจวน หลังพาเสิ่นเฉียนมาถึงหอตั้นเสวี่ยและนั่งลงครู่หนึ่งก็จากไปแล้ว เสิ่นเฉียนเขียนจดหมายสองฉบับในห้องหนังสือตนเอง คิดๆ แล้วก็เข้าไปในห้องหนังสือด้านข้างของเซี่ยจิ่น
ห้องหนังสือของเขาน่าจะเพิ่งปรับปรุงได้ไม่นาน หน้าต่างใสสะอาดไม่เปื้อนฝุ่น โต๊ะหนังสือและชั้นหนังสือก็เหมือนกับในห้องหนังสือของนาง ยังคงส่งกลิ่นหอมจางๆ ของไม้พะยูงหอม
มุมห้องฝั่งตะวันออกวางกระบะทรายสูงครึ่งตัวคน เสิ่นเฉียนเดินเข้าไปดู ภายในคือหุ่นจำลองขนาดเล็กที่แสดงสภาพพื้นที่แนวหน้าเขตเหนือ ด่านที่อยู่ตรงกลางคือด่านวั่งหลง รอบด้านภูเขาทอดเรียงตัวคดเคี้ยว เหนือด่านขึ้นไปคืออาณาเขตของแคว้นฝาน ใต้ด่านวั่งหลงคือเมืองจิ้งโจว ล้วนทำออกมาได้อย่างประณีตเป็นพิเศษ
บนผนังเหนือกระบะทรายแขวนแผนที่เขตเหนือใหม่เอี่ยมภาพหนึ่ง เสิ่นเฉียนเหลือบดูคร่าวๆ ก็รู้ว่าเพิ่งมีการวาดซ้ำไม่นานมานี้ สนามรบที่เปิดศึกใหม่กับแคว้นฝานในหลายๆ ครั้งล้วนถูกทำเครื่องหมายเด่นออกมา
ผนังฝั่งตะวันตกแขวนภาพอักษรสองผืน ล้วนเป็นฝีมือจรดพู่กันของเซี่ยจิ่น
ภาพด้านขวาคือ ‘ภาพเขาวสันต์ปล่อยสัตว์กลางฝน’ ป่าเขาในภาพเขียวขจี หมอกเมฆบางเบา ไอน้ำในร่องธาราลอยหนาภายใต้สายฝนปรอย มองเห็นคนเลี้ยงสัตว์ขี่วัวไปมา ฝีแปรงของเขาเดี๋ยวลงหมึกหนัก เดี๋ยวแต้มบางเบา หนาบางสอดรับ ดูมีสุนทรียะอย่างยิ่ง
ข้อความที่มุมขวาล่างคือกลอนห้าพยางค์บทหนึ่ง
‘หมอกอวลกว้างชุ่มไม้ ใบเขียวสุขสงัด
แตกใบโศกอีกวรรษ นำฝนพัดคืนไพร’
เซี่ยจิ่นผู้นี้ฝีมือวาดภาพแต่งกลอนล้วนนับว่าไม่เลว บางคราวยังให้อารมณ์สันโดษของปัญญาชนผู้รอบรู้
สายตาเสิ่นเฉียนเคลื่อนไปทางภาพอีกผืน
‘เรื่องด่านวั่งหลง’ ที่อยู่ด้านซ้าย เป็นภาพด่านวั่งหลงในเทือกเขาวั่งหลงของเขตเหนือ จรดฝีแปรงสาดหมึกเขียนคำเพียงไม่กี่ครา ทางยาวด่านแน่นหนา เขาสูงเหวมาก ความรู้สึกเข้มงวดครัดเคร่งพุ่งปะทะเข้ามา
ข้อความที่มุมซ้ายคือกลอนเจ็ดพยางค์
‘ด่านเขาจันทร์ส่องห่านโทนโจม เพลิงศึกโหมพุ่งกลองเร่งก้อง
บินเหินแจ้งข่าวออกป่าหนาว ควบม้าขวางหอกในพันเขา’
ความรู้สึกของเสิ่นเฉียนพวยพุ่ง จับจ้องภาพ ‘เรื่องด่านวั่งหลง’ นั่น ก่อนจะหลุบตาที่มีขนตายาวลง ครู่หนึ่งถึงค่อยยิ้มบางๆ ไปดูหนังสือมากมายบนชั้นหนังสือต่อ
นิ้วของนางไล้ผ่านหนังสือไปทีละเล่ม และหยุดลงบนหนังสือที่เย็บเล่มไว้เรียบๆ เล่มหนึ่ง นางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา
เซี่ยจิ่นมีนิสัยชอบจดบันทึกเรื่อยเปื่อย ในหนังสือที่เย็บเล่มนี้ก็คือบันทึกสัพเพเหระของเขา ในวัยเยาว์เขาเคยให้นางอ่าน ตอนนี้ยังวางบนชั้นหนังสืออย่างเปิดเผยเช่นนี้ คิดว่าคงรู้สึกว่าไม่มีอะไรจำเป็นต้องปิดบัง นางลังเลเล็กน้อยแล้วหยิบหนังสือออกมาพลิกอ่าน
นางอ่านอย่างสนุกสนานยิ่ง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ อยู่บ่อยๆ คิ้วตาอ่อนโยน
บางทีตัวคนจดบันทึกคงไม่ทันสังเกต แต่ในหนังสือเล่มนี้ทุกที่ล้วนสามารถเจอร่องรอยของคนผู้หนึ่งซ่อนอยู่ในระหว่างบรรทัด แอบอยู่ในจุดต่างๆ ของทุกช่วงเวลา
‘…ฤดูหนาวรัชศกหงอู่ปีที่ยี่สิบเจ็ด หิมะหนาปิดเขา เส้นทางลำเลียงถูกตัดขาดมาสามเดือนเศษ เสบียงที่เก็บไว้ถูกใช้เกือบหมด สามทัพหิวโหยหนาวเหน็บ ข้าให้คนยิงธนูล่าสัตว์ ทว่าในพื้นที่เหน็บหนาวยากจะหาร่องรอย ข้ากังวลยิ่ง ราตรีไม่อาจข่มตา ทว่ายังไม่ทันถึงวันจบสิ้น เฉียนให้คนตัดเขาบดหิมะ ส่งเสบียง เครื่องกันหนาว ชุดทหารมาถึง บุญคุณที่มอบส่งถ่านกลางหิมะ เช่นนี้ล้ำค่ายิ่ง หลังวสันต์ก่อนน้ำแข็งละลาย ข้าส่งจดหมายไปขอบคุณ เฉียนตอบเพียงว่า ‘ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง’ ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง’
‘…ฤดูสารทเดือนเก้า ชัยชนะใหญ่ที่ธารเอ๋าหลง เฉียนนำนายทหารกองหรงเช่อมาร่วมพบปะกับทัพข้า ราตรีคบเพลิงสว่างจ้า เฉียนกับแม่ทัพซ้ายประชันสุรา เมามายยิ่งยวด ถึงขั้นทำอันธพาลยึดกระโจมข้า ข้าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ไปนอนร่วมกระโจมแม่ทัพซ้าย เขากลิ่นสุราคลุ้ง เสียงกรนดั่งฟ้าผ่า ข้านอนตาโพลงจนรุ่งเช้า…’
‘…เจาซิ่งแรกฤดูวสันต์ เบื้องบนหมายจับคู่เฉียนกับหงเอินป๋อซื่อจื่อ ข้ากลับเมืองหลวงเพื่อรายงานผลงาน เฉียนเชิญล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ ยามนั้นหงเอินป๋อซื่อจื่อร่วมทางไปด้วย ไม่ทันไรดันหันหลังจากไปเสียแล้ว ข้าเร่งม้าตามถาม ซื่อจื่อกล่าว ‘เฉียนมีใจให้เจ้า เจ้าไม่รู้หรือ’ ข้าอึ้งงันหลุดหัวเราะ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดครั้งใหญ่! ควรรู้ว่าเฉียนมองข้าเป็นคู่ต่อสู้ หมายชนะข้าจึงจะเบิกบาน ดังนั้นถึงพนันล่าสัตว์กับข้า หาใช่คิดชิดใกล้ เฮอะ! ข้าได้ยินข่าวนานแล้วว่าหงเอินป๋อซื่อจื่อมีผู้อื่นในใจ จึงอาศัยคำอ้างน่าหัวร่อนี้…’
“เจ้าโง่งมนี่!” เสิ่นเฉียนอ่านถึงตรงนี้แล้วยิ้มพลางบริภาษประโยคหนึ่งอย่างไม่จริงจัง
นางเปิดหน้าต่อไป อ่านไปรอบหนึ่งมือที่ถือหนังสืออยู่พลันชะงักน้อยๆ
‘…ราตรีสารทในเมืองหลวง ข้าพบสตรีผู้หนึ่งโดยบังเอิญในราตรีจันทร์กระจ่าง นางอ่อนโยนดุจสายน้ำ เปี่ยมเสน่ห์น่าลุ่มหลง ภายหลังข้ามาคิดดู นั่นดุจดั่งความฝัน…’