คืนลมพัดต้องเหมยงาม
ทดลองอ่าน คืนลมพัดต้องเหมยงาม บทที่ 5-6
เสิ่นเฉียนเคลื่อนสายตาหนี “ถ้าอีกเดี๋ยวเจ้าเตะข้าอีกจะทำอย่างไร”
เซี่ยจิ่นพันแผลเสร็จก็ผูกปมให้ดีก่อนมองนางปราดหนึ่ง “เจ้านอนให้สบายเถอะ ข้าไปนอนบนตั่งห้องด้านนอกคืนหนึ่งแล้วกัน”
เสิ่นเฉียนหาวแล้ว ขยิบตายิ้มกล่าว “หรือไม่พรุ่งนี้ให้คนเก็บกวาดห้องข้างฝั่งตะวันออกให้เจ้าเป็นอย่างไร”
เซี่ยจิ่นลังเลเล็กน้อย “หากท่านแม่รู้เข้าจะอธิบายอย่างไร ช่างเถอะ อย่างไรอีกไม่นานก็ไปเขตเหนือแล้ว หรือไม่ตั้งแต่พรุ่งนี้ข้านอนในค่ายตลอด ท่านแม่ถามขึ้นมาก็บอกว่าในค่ายมีกิจทหารมาก”
“ตามใจเจ้า” เสิ่นเฉียนดึงผ้าห่มเบาๆ แล้วเอนตัวลงนอน
เซี่ยจิ่นปลดม่านเตียงลงแล้วเป่าเทียนอีกครั้ง เขาหยิบเสื้อคลุมสองตัวบนเก้าอี้ติดมือมาเป็นผ้าห่มและออกไปห้องด้านนอก
วันรุ่งขึ้นเสิ่นเฉียนพาจูเฉินขี่ม้าออกจากจวนสกุลเซี่ย ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดเป่าติ่งนอกเมือง
เตร็ดเตร่อยู่ทั้งเช้านางถึงกลับเข้าเมืองอย่างเชื่องช้า ทว่าไม่ได้มุ่งหน้าไปจวนสกุลเซี่ย กลับลัดเลาะไปมา อ้อมตรอกเล็กเปลี่ยวสายหนึ่งเข้าไปในเรือนเล็กหลังหนึ่งกับจูเฉิน
ในเวลาหนึ่งก้านธูป ทั้งสองผลัดเปลี่ยนชุดแล้วผลักประตูออกมา ควบม้ามุ่งหน้าไปถึงหอเฟยเยวี่ยฝั่งตะวันตกของเมือง และจองห้องรับรองที่เห็นทะเลสาบบนชั้นสามห้องหนึ่ง
จูเฉินเปิดหน้าต่างออก ด้านนอกเป็นภาพภูเขาทะเลสาบ ทิวทัศน์งดงาม แสงอาทิตย์ส่องบนผิวทะเลสาบ ย้อมคลื่นน้ำเป็นสีทองอร่าม นอกหน้าต่างไม่ไกลมีต้นดอกกุ้ยสูงใหญ่ต้นหนึ่ง ยามนี้แม้ดอกกุ้ยโรยรา แต่กิ่งใบยังคงเขียวชอุ่ม บดบังสายตาของผู้ที่สัญจรอยู่ข้างทะเลสาบและบนทะเลสาบ มอบความสงบเงียบและสันโดษให้ห้องรับรอง
“เป็นห้องชั้นล่างนี้จริงๆ ใช่หรือไม่” เสิ่นเฉียนถาม
จูเฉินพยักหน้าน้อยๆ “พิราบสื่อสารที่จับได้จากเรือนพักทูตเมื่อคืนวาน จดหมายลับบนขาเขียนว่าเป็นห้องข้างล่างนั่น”
เสิ่นเฉียนลงกลอนประตูห้องรับรองแล้วหยิบเชือกออกจากกระเป๋าตาเหลียน นำมาพันตรงแขนเสื้อเป็นรอบๆ พันเสร็จแล้วก็ไปพันที่ขากางเกงตรงน่องอีก
“บาดแผลที่ขาของท่านแม่ทัพไม่เป็นไรหรือ” จูเฉินเห็นการกระทำของนางแล้วอดเอ่ยถามอย่างห่วงใยไม่ได้
เสิ่นเฉียนส่ายหน้าน้อยๆ หยัดร่างเคลื่อนไหวนิดหน่อยแล้วนำผ้ามาปิดบังใบหน้า จากนั้นดึงปมเชือกที่เอวเบาๆ หลังจากมั่นใจว่าแน่นดีแล้วก็พลิกตัวไปนอกหน้าต่าง เคลื่อนตัวลงไปด้านล่างทีละน้อยโดยการเกาะร่องผนังด้านนอก
จูเฉินซึ่งอยู่ริมหน้าต่างปล่อยเชือกลงไปทีละนิดตามการเคลื่อนไหวของนาง รอจนนางไปถึงนอกหน้าต่างห้องรับรองชั้นสองนั้นแล้วค่อยหยุด ไม่ได้ปล่อยเชือกต่อ
เสิ่นเฉียนลองหยั่งเท้าดู ก่อนเงยหน้าขึ้นส่งสัญญาณมือให้จูเฉิน ศีรษะจูเฉินผลุบหายเข้าไปในห้องทันใด
ทั้งตัวเสิ่นเฉียนแนบติดกับผนังด้านนอกอย่างเงียบๆ ราวกับผีเสื้อที่เกาะอยู่บนผนังนิ่งๆ นางสวมชุดสีเขียวเข้มทั้งร่าง เมื่อถูกต้นดอกกุ้ยบดบัง ต่อให้เรือในทะเลสาบแล่นมาใกล้ๆ คนบนเรือก็มองเห็นนางไม่ชัด
เสิ่นเฉียนรวบรวมสมาธิ รออยู่ครู่ใหญ่กว่าจะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องรับรอง และมีเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้ามาภายในห้อง เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยถามอยู่ด้านหลังอย่างกระตือรือร้น “นายท่านต้องการสั่งอะไรขอรับ”
คนผู้นั้นตอบ “เอาปี้หลัวชุนมาหนึ่งกาก่อน”
เสียงนี้เสิ่นเฉียนรู้จัก เป็นทูตเอ้ออวิ๋นจากแคว้นซีเหลียงที่ไม่กี่เดือนก่อนติดตามมาเมืองหลวงพร้อมกับท่านหญิงหลันเจิงซึ่งมาเพื่อแต่งงาน
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ยกชามาแล้ว เอ้ออวิ๋นก็เดินไปตรงหน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออก เสิ่นเฉียนที่อยู่ด้านนอกสูดหายใจเข้าลึก หลังเอวเกร็งแน่น หน้าต่างที่เปิดออกเกือบพัดมาโดนข้อเท้านาง
คนทั้งในและนอกห้องล้วนกำลังรอคอย เอ้ออวิ๋นเดินกลับไปกลับมาในห้องคล้ายร้อนใจมาก พึมพำภาษาซีเหลียงกับตนเองอยู่บ่อยๆ “เหตุใดยังไม่มา คงไม่เกิดเหตุอะไรกระมัง”
ใจเสิ่นเฉียนเองก็ลอยสูงขึ้นเช่นกัน
ไม่ทันไรประตูห้องรับรองก็เปิดออกแล้ว มีคนเดินเข้ามา
เอ้ออวิ๋นกลับร้องอย่างแตกตื่น “พวกเจ้า…” ยังพูดไม่ทันจบเขาก็เหมือนถูกคนอุดปากไว้ ได้ยินเพียงเสียงดิ้นรนดังอื้อๆ เล็กน้อย
มีคนเอ่ยเสียงขรึมว่า “อย่าส่งเสียง นั่งลงดีๆ”
เสียงของคนที่เอ่ยนี้เสิ่นเฉียนก็รู้จักเช่นกัน เป็นรองผู้บัญชาการเซียวฉีแห่งหน่วยองครักษ์กวงหมิงของเมืองหลวง
ดูท่าคนที่ได้ข่าว ทั้งยังคอยเฝ้ารออยู่ที่นี่จะไม่ได้มีนางคนเดียว
เซียวฉีหูตาว่องไว วิชาต่อสู้สูงส่งแข็งแกร่ง เสิ่นเฉียนที่อยู่นอกหน้าต่างไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ กระทั่งหายใจยังพยายามให้มีเสียงเบาที่สุด
เวลาผ่านไปทีละน้อย สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เซียวฉีที่อยู่ในห้องเห็นชัดว่ากลั้นไม่อยู่แล้ว ตวาดถามดุดัน “ไม่ใช่บอกว่าพบกันยามซวีหรือ ตอนนี้เลยไปครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว คนที่นัดพบกับเจ้าเหตุใดถึงยังไม่มา!”
เสิ่นเฉียนฉวยโอกาสตอนเขาเอ่ยปากรีบแก้เชือกที่เอวแล้วกระตุกเบาๆ จูเฉินซึ่งอยู่ด้านบนได้รับสัญญาณก็ค่อยๆ ดึงเชือกกลับไป
เอ้ออวิ๋นเพียงส่งเสียงฮึคราหนึ่ง ไม่ได้ตอบอันใด
เซียวฉียิ้มเย็นกล่าว “ดูท่าจะเป็นจิ้งจอกเฒ่าสินะ!”
เสิ่นเฉียนเองก็รู้สึกว่าคนที่นัดพบนั่นคงไม่มาแล้ว นางทอดถอนใจพลางปีนขึ้นไปด้านบนอย่างเบามือเบาเท้า
เวลานี้เซียวฉีหมดความอดทนแล้ว เขาตบโต๊ะพลางออกคำสั่งเสียงดัง “ปิดหอเฟยเยวี่ยซะ คนในหอนี้ทุกคนล้วนห้ามปล่อยออกไป ตรวจสอบให้ละเอียด!”
เสิ่นเฉียนลอบกล่าวในใจว่าแย่แล้ว นางรีบปีนลงไปด้านล่าง
องครักษ์กวงหมิงสองสามนายขานรับแล้วออกไป เซียวฉีเดินมาข้างหน้าต่าง ยื่นศีรษะออกไปมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นอะไรก็มองลงไปข้างล่าง กลับเห็นเงาดำกำลังมุ่งหน้าไปทางทะเลสาบ ในดวงตาเขาวาบประกาย ตวาดว่า “ที่แท้ซ่อนอยู่นอกหน้าต่าง เอาธนูมา!”
เสิ่นเฉียนได้ยินเขาตวาดเช่นนี้ก็รู้ว่าร่องรอยตนถูกเปิดเผยแล้ว นางรีบลงน้ำแล้วว่ายไปเบื้องหน้าสุดชีวิต ว่ายไปได้ไม่เท่าไรได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวดังมาจากด้านหลัง ธนูดอกหนึ่งแหวกผ่านอากาศเข้ามา กรีดผ่านคลื่นน้ำพุ่งตรงเข้าที่ไหล่นาง โชคดีที่ถูกแรงลอยตัวของน้ำขวางไว้เล็กน้อย มันจึงปักเข้ามาไม่ลึก
เซียวฉียิงธนูออกไปหนึ่งดอกก็พลันโบกแขน “ตาม!”
องครักษ์กวงหมิงสองสามนายกระโดดลงจากหน้าต่าง พุ่งลงทะเลสาบไล่ตามเสิ่นเฉียนไปอย่างรวดเร็ว องครักษ์กวงหมิงที่ซุ่มอยู่รอบหอเฟยเยวี่ยก็เคลื่อนไหวเต็มกำลังเช่นกัน เร่งม้าเลียบตามเส้นทางรอบๆ ทะเลสาบไปโอบล้อมไว้
เสิ่นเฉียนอดทนต่อความเจ็บว่ายไปถึงริมฝั่ง ก่อนปีนขึ้นฝั่งทั้งเปียกๆ เช่นนั้น แล้วพุ่งเข้าใส่องครักษ์กวงหมิงนายหนึ่งที่มาถึงก่อน ดึงเขาลงมาจากม้า ส่วนตนเองพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วลงแส้อย่างแรงพุ่งไปด้านหน้า
องครักษ์กวงหมิงด้านหลังติดตามไม่ลดละ เพราะได้รับคำสั่งให้จับเป็นจึงไม่กล้ายิงธนูใส่ เสิ่นเฉียนขี่ม้าห้อทะยานรวดเร็วจนสลัดหนีองครักษ์กวงหมิงได้ช่วงใหญ่
เมื่อผ่านถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง ฝั่งซ้ายเบื้องหน้าก็ปรากฏแสงไฟรางๆ เป็นสนามฝึกตะวันตกที่อยู่ตีนเขาฝูหลวนในฝั่งตะวันตกของเมือง
เสิ่นเฉียนใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนชักม้าควบทะยานไปทางสนามฝึก