เดิมเนี่ยสือเอ๋อร์ยังนึกว่าคนอย่างนางย่อมใจแคบเป็นธรรมดา จะทุบจะตีอย่างไรก็เชิญเถิด ไม่นึกเลยว่าแค่ทุบตีนางจะไม่สาแก่ใจ ยังขยันข่มเหงรังแกเขาไม่หยุดหย่อน
นับแต่ต้นปีที่แล้วจวบจนบัดนี้ หลังจากตามจีบมานานปี ในที่สุดกงลี่ชิงก็จัดการรวบหัวรวบหาง ลักพาตัวเขามากักขังหน่วงเหนี่ยวที่นี่
“ข้าก็บอกความจริงกับนางไปตั้งหลายรอบ แต่นางไม่ยอมฟัง เอาแต่เพ้อว่าอยู่กันไปก็รักกันเอง ข้าว่าอยู่กันไปคงเกลียดกันหนักกว่าเดิมเสียมากกว่า ข้าไม่นึกพิสมัยนางเลยแม้แต่น้อย ปีนี้ไม่รัก ปีหน้าก็ไม่รัก ต่อให้อยู่ไปจนอายุเจ็ดแปดสิบ ฟันร่วงหมดปากแล้วข้าก็ยังไม่นึกรักนางอยู่ดี เหตุใดนางถึงไม่เข้าใจสักที”
เคราะห์ดีที่กงลี่ชิงยังหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่งัดเสน่ห์ยาแฝดมาใช้ หาไม่แล้ว เขาคงเหมือนคนตายทั้งเป็น
หางตาเขาเหลือบเห็นจดหมายที่นางอสรพิษฉีกจนแหว่งวิ่น…ก็ได้แต่ถอนใจ
“ถิ่งจือเอ๋ยถิ่งจือ ถ้าตอนนี้เจ้าพอมีเวลา ช่วยเขียนจดหมายมาหาข้าสักฉบับเถิด ข้าเบื่อหน่ายกับการถูกกักขังเหลือเกิน…”
หากพิจารณาจากความเร็วในการตอบจดหมายของเจ้านั่นแล้ว กว่าจดหมายฉบับหน้าจะมาถึงคฤหาสน์สกุลกง เขาก็คงกลายเป็นเขยขวัญประจำตระกูล หรือไม่ก็เผ่นหนีไปแล้ว
จะหนีก็หนีลำบาก…อีกอย่างกล่องสารพัดนึกยังถูกกงลี่ชิงยึดเอาไว้ด้วย เนี่ยสือเอ๋อร์ตัดใจทิ้งกล่องสมบัตินี้ไม่ลง…
“มีหวัง ข้าคงได้กลายเป็นเขยสกุลกงแน่ๆ…ฮือ ข้าไม่เอานะ! ข้ายังหนุ่มยังแน่น ยังไม่ได้ท่องโลกจนหนำใจเลย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”
นอกห้อง บ่าวรับใช้เดินผ่านไปมา แต่ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้ามาสอด
ชีวิตเขาคงจบเห่แน่แล้ว น้ำตาบุรุษไหลออกมาจากสองตา
อาชาพันธุ์ดีห้อตะบึงไปตามถนน คนบนหลังม้าสวมเสื้อผ้าสีสดใส สะพายห่อผ้าเอาไว้ที่หลัง บนหลังม้ามีกระเป๋าบรรจุห่อของแขวนอยู่
สุดถนนสายนั้น คือคฤหาสน์สกุลกง
“คฤหาสน์สกุลกง ถนนตงหนาน ตำบลสี่เฝิง…ที่อยู่คุ้นๆ” คนบนหลังม้ากระโดดลงมา หยิบของสามห่อและจดหมายลงจากหลังม้าพลางใช้ความคิด หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายหน้าตาคุ้นเคยจนเขานึกประหลาดใจ เมื่อดึงออกมาดูก็พบว่าชื่อผู้รับคือ ‘เนี่ยสือเอ๋อร์’
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองคฤหาสน์สกุลกงอีกครั้ง รอยยิ้มแปลกใจประดับอยู่ที่มุมปาก
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…” หลายเดือนก่อน จดหมายฉบับนี้คุ้นตาเขาเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่นึกเลยว่าผ่านมือสำนักส่งสารมาหลายแห่ง สุดท้ายเขาจะต้องเป็นคนนำส่งจดหมายนี้ด้วยตนเอง
นี่สินะที่เรียกว่าพรหมลิขิต