“ผักดองนี่อร่อยใช้ได้ ช่างแตกต่างจากอาหารที่พี่ใหญ่ส่งมาจริงๆ”
“พี่ใหญ่?” เนี่ยสือเอ๋อร์เป็นคนไม่จริงจังก็จริง แต่สิ่งใดเคยผ่านตา เขามักจะจำได้อย่างแม่นยำ “เจ้าไม่ใช่คนสกุลกง เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้าน่ะหรือ ข้าเป็นคนส่งสาร”
“ส่งจดหมาย?” เนี่ยสือเอ๋อร์ตาเป็นประกาย “แล้วจดหมายล่ะ มีของข้าหรือไม่”
“มี แต่ถูกเก็บไปแล้ว”
“น่าโมโหนัก! ข้านึกอยู่แล้วว่านางอสรพิษนั่นไม่มีทางยอมปล่อยจดหมายให้เล็ดลอดแม้เพียงฉบับเดียวแน่ๆ เวลานี้คงมีแต่ถิ่งจือน้องรักผู้โง่ซื่อของข้าเท่านั้นที่จะส่งจดหมายมา ฮือ…ถิ่งจือ เจ้ารอข้าก่อนนะ เดี๋ยวคืนนี้ข้าก็จะได้อ่านจดหมายหมื่นคำของเจ้าแล้ว”
“…ข้าไม่ได้เขียนยาวขนาดนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ
“ว่าอะไรนะ เกิดเป็นชาย เหตุใดพูดจาไม่เต็มเสียง”
“ข้าเพียงนึกแปลกใจ…ถิ่งจือที่ท่านพูดถึงนั้น ทำสิ่งใดให้ท่านเห็นว่าโง่ซื่ออย่างนั้นหรือ”
“แค่เขาตอบจดหมายข้า ก็แสดงให้เห็นว่าโง่ซื่อมากแล้ว ไม่สิ ไม่ใช่โง่ซื่อเรียกว่ามีน้ำใจต่างหาก ข้าเขียนจดหมายมาเนิ่นนาน ส่งออกไปไม่เห็นเคยมีคนตอบ นอกจากเขาคนเดียว เจ้าว่าน้องชายข้าคนนี้มีน้ำใจหรือไม่เล่า หากวันใดข้าหนีจากที่นี่ไปได้ จะต้องไปเยี่ยมอาถิ่งที่สำนักส่งสารหยางหลิ่วเป็นการตอบแทนน้ำใจสักครั้ง…เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเพราะเหตุใด ข้าไม่ได้ชอบพวกตัดแขนเสื้อหรอกนะ!”
“ข้าก็ไม่ชอบ เพียงอยากถามคำถามสักหนึ่งข้อ”
เนี่ยสือเอ๋อร์นั่งนิ่งมาทั้งบ่ายก็รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นกำลัง จึงตอบว่า “ว่ามาสิ ประเดี๋ยวข้าเป็นสหายคุยแก้เหงาให้เจ้าเอง”
“ข้าควรช่วยท่านหรือไม่”
เนี่ยสือเอ๋อร์อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนดวงตาจะฉายแววยินดี “เจ้าจะช่วยข้าอย่างนั้นรึ ช่วยอย่างไรเล่า เจ้ารู้วิทยายุทธ์หรือ”
“ถ้าแค่ต่อสู้ทะเลาะวิวาทก็พอได้ แต่คงไม่ถึงขั้นเรียกว่าวิทยายุทธ์”
“ไม่เป็นไรๆ เรามาช่วยกันคิดหาทางก็ได้ เจ้าช่างเป็นเพื่อนแท้จริงๆ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือเพื่อนแท้ของข้าแล้วนะ ไม่สิ ขอยกให้เป็นเพื่อนตายเลยดีกว่า”
“แล้วถิ่งจือน้องรักของท่านล่ะ จะทำอย่างไร”
“ก็คงต้องหลีกทางให้เจ้าก่อน”
“ง่ายเพียงนี้เชียวรึ…”