“เหมือนจะไม่ดูข่มขู่พอ…แก้เป็น ‘ข้าจะถล่มสำนักส่งสารหยางหลิ่ว สาดน้ำผสมขี้หมาเอาไว้หน้าทางเข้า จะได้ไม่มีใครกล้าเข้าอีก กิจการของพวกเจ้าจะต้องพังพินาศ’…เอ๋? เขียนอย่างนี้คนผู้นั้นจะมองว่าข้าหยาบถ่อยหรือไม่นะ” เนี่ยสือเอ๋อร์ก้มหน้าจรดพู่กันพลางยัดผักดองใส่ปากอย่างเซ็งๆ ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดขึ้น “ข้าเขียนจดหมายหาเจ้าทุกวัน แต่เจ้ากลับสิบวันครึ่งเดือนถึงจะตอบสักที อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน นี่มันไม่ใช่สหายกันแล้ว”
คงเป็นเพราะผักดองรสชาติเค็มทั้งยังเปรี้ยว ชายหนุ่มจึงอารมณ์เปลี่ยนกะทันหัน จู่ๆ ก็ใจแคบปากเสียไปซะอย่างนั้น
พี่สี่ช่างน่าโมโหนัก คิดอย่างไรส่งผักดองมาช่วยชีวิตข้า เฮอะ นึกว่าข้าติดคุกหัวโตไม่มีข้าวกินหรืออย่างไร
ประตูเปิดออก แต่เนี่ยสือเอ๋อร์ไม่เงยหน้าขึ้นมอง ตกลงปลงใจว่าจะบีบบังคับถิ่งจือให้เขียนจดหมายตอบกลับจนได้ ต่อให้ภาพลักษณ์จะต้องเสียหายก็ตาม
แม้เขาจะไม่เคยพบหน้าถิ่งจือมาก่อน แต่เขาเป็นคนช่างสังเกต จึงสัมผัสได้จากข้อความในจดหมายว่า เจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นคนหัวโบราณ หากไม่รู้อยู่แล้วว่าอายุพอๆ กัน เนี่ยสือเอ๋อร์คงนึกว่าอีกฝ่ายเป็นตาแก่หัวหงอก
“เจ้าจะต้องตอบ ข้ามั่นใจ” ชายหนุ่มหัวเราะเย็น แลบลิ้นเลียซองแล้วปิดผนึกอย่างระมัดระวัง พลันได้กลิ่นหอมของก๋วยเตี๋ยวโชยเข้าจมูก…
อืม สงสัยจะเป็นหมี่กรอบใส่ลูกชิ้น ช่างสรรหาสารพัดอาหารเลิศรสได้ทุกวันจริงๆ ให้ตายเถอะ
“เอาจดหมายไปส่งให้ข้าหน่อย ส่งทันทีเลยนะ ถ้าข้าจับได้ว่าชักช้าล่ะก็…แล้วถ้าคุณหนูของเจ้าจะดูจดหมาย เจ้าก็ด่านางเสียสองสามคำแล้วค่อยส่งให้ เข้าใจหรือไม่”
ตอนที่มือเล็กๆ รับจดหมายไป เนี่ยสือเอ๋อร์ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเขียนหนังสือ หมายใจว่าจะเขียนต่ออีกสักสามสี่ฉบับ แต่เสียงสตรีเยียบเย็นดังขัดขึ้นเสียก่อน
“เจ้าจะด่าอะไรข้า”
ตายล่ะ แม่เสือออกโรง เนี่ยสือเอ๋อร์กลืนผักดองลงท้อง เงยหน้ามองเจ้าของเสียงด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูกง ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง” เมื่อเห็นหญิงสาวฉีกจดหมายอ่านต่อหน้า เขากลับไม่ยักโกรธ ถึงอย่างไรจดหมายของเขาก็ถูกฉีกอ่านก่อนส่งทุกวันอยู่แล้วนี่ ตอนนี้เขาเองก็ฝากชีวิตไว้ที่นี่ คงจะทำกระไรไม่ได้
กงลี่ชิงกวาดตามองข้อความ ก่อนจะเม้มปากแค่นหัวเราะ
“เจ้ากับบุรุษชื่อถิ่งจืออะไรนี่ท่าทางจะสนิทกันมากนะ ถึงได้เขียนจดหมายหากันทุกวัน ขยันจนข้าอดคิดไม่ได้ว่าพวกเจ้าพิศวาสกันในเชิงอื่น”
“ฮ่าๆ คุณหนูทายถูกจนได้” เนี่ยสือเอ๋อร์หัวเราะรื่นเริง “เขากับข้า มีความสัมพันธ์กันจริงๆ นั่นล่ะ”
“เจ้าดูไม่น่าจะเป็นพวกตัดแขนเสื้อ* นะ” หญิงสาวพยายามระงับโทสะ
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” เนี่ยสือเอ๋อร์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย “เจ้าแอบจับตามองข้าอยู่ตั้งนาน ไม่รู้หรืออย่างไรว่าถิ่งจือเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ”
“สตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะใส่ใจบุรษเพศขนาดนี้ได้หรือ” เขาเลิกคิ้วพลางตอบยิ้มๆ “ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่านางเป็นสตรี จึงผูกสมัครรักใคร่อย่างช้าๆ ข้าออกมาร่อนเร่ในยุทธภพตั้งแต่อายุสิบแปด อยู่มาวันหนึ่งเขาได้รับจดหมายจากข้าโดยบังเอิญ จึงเริ่มเขียนโต้ตอบกันตลอดห้าหกปี ข้าจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่านางเป็นสตรี”
กงลี่ชิงหรี่ตาเฉี่ยวสวย จ้องมองใบหน้ากะล่อนตรงหน้าเนิ่นนาน จึงเอ่ยว่า “คุณชายสำอาง ไม่ชอบความลำบากอย่างเจ้า ไม่เหมาะจะท่องยุทธภพหรอก ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะตาแหลมพอที่จะเข้าใจคนแปลกหน้าจนทะลุปรุโปร่งได้”
นี่นาง…บรรยายสรรพคุณข้าซะเสียหายหมด…ถึงเจ้าจะพูดถูกอยู่มาก ก็ไม่เห็นจะต้องกดข้าจนต่ำขนาดนี้กระมัง
เนี่ยสือเอ๋อร์เอามือลูบจมูก หยิบผักดองเข้าปาก เลิกคิดต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย
กงลี่ชิงเห็นอีกฝ่ายไม่ใส่ใจ ก็กระซิบเบาๆ “เจ้าจะยั่วโมโหข้าไปถึงไหน”
เนี่ยสือเอ๋อร์สะดุ้งเฮือก แต่ก็ยังตอบตาใส “ข้ายั่วโมโหอะไรคุณหนูรึ” เขางงจริงๆ นะนี่