X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1

“คุณหนูสาม วิ่งไปข้างหน้า อย่าหันกลับมา!”

ตอนที่หลีซูซูมีสติอยู่ นางถูกคนผลักอย่างกะทันหัน เท้าของนางพลันลื่นล้ม ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะกลิ้งตกลงจากเนินเขา

อากาศในเดือนสิบสอง ผืนแผ่นดินถูกปกคลุมด้วยหิมะที่ทับถมเป็นชั้นหนาเตอะ หนาวเหน็บเข้าไปถึงในกระดูก ร่างกายก็เจ็บแปลบ

จังหวะที่ใกล้จะชนกระแทกต้นไม้ใต้เนินเขา กำไลหยกขาววงหนึ่งพลันปรากฏบนข้อมือของหลีซูซู บนกำไลมีประกายแสงห้าสีไหลวน พลังขุมนี้ประคองร่างนางไว้ช้าๆ

หลีซูซูวิงเวียนตาลาย นานครู่ใหญ่กว่าจะดึงสติกลับมาได้

ภาพที่สะท้อนเข้าสู่สายตาเป็นฟ้าดินที่ขาวโพลน นางลุกขึ้นนั่ง พบว่าสภาพของตนเองทุลักทุเลจริงแท้

เสื้อบุนวมสีขาวอมชมพูที่สวมอยู่เปื้อนคราบสกปรกเป็นวงกว้าง มวยผมหลุดลุ่ย รองเท้าปักลายก็หลุดหายไปข้างหนึ่ง

หลีซูซูใช้มือยันลำต้นของต้นไม้ ตะเกียกตะกายลุกจากพื้น

ในกำไลหยกที่นางสวมใส่อยู่ มีเสียงหนุ่มน้อยผู้หนึ่งลอยออกมา มันเปล่งเสียงอย่างขึงขัง “เจ้านาย นี่ก็คือโลกมนุษย์เมื่อห้าร้อยปีก่อน”

ผืนฟ้ายังคงมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาดุจขนห่าน

หลีซูซูยื่นมือออกไป เกล็ดหิมะตกลงบนฝ่ามือนาง พริบตาถัดไปก็ถูกอุณหภูมิร่างกายของนางหลอมละลาย กลางอากาศเต็มไปด้วยปราณวิเศษเข้มข้น

บนดวงหน้าเล็กขาวซีดของนางฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย

โลกในอีกห้าร้อยปีให้หลัง ทั่วทุกหนแห่งจะมีแต่หมอกสีดำ ภูตผีปีศาจเหิมเกริม ปราณวิเศษเบาบาง เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจนน่าสงสาร

“เยี่ยซีอู้ยินดีสละร่างกาย” กำไลหยกชะงักครู่หนึ่งและพูดต่อ “นางบอกว่านางหวังว่าในอนาคตท่านจะสามารถปกป้องบิดาและท่านย่าของนางจากเงื้อมมือมารร้ายตนนั้นได้”

หลีซูซูให้สัญญา “เจ้าบอกเยี่ยซีอู้ว่าข้ารับปากนาง”

“ทะลุมิติมาห้าร้อยปี ข้าไม่เหลือพลังวิเศษแล้ว เจ้านาย ข้ากำลังจะหลับพัก หากมีอันตรายถึงชีวิต ท่านค่อยเรียกข้าแล้วกัน”

“ได้” นางยกนิ้วมือเรียวบางขึ้นลูบกำไลหยก

ประกายแสงบนกำไลหยกดับวูบลง จมสู่ความเงียบสนิท

หลีซูซูหลับตา ความทรงจำในอดีตของเยี่ยซีอู้ผู้เป็นเจ้าของร่างนี้เริ่มฉายขึ้นในสมองของหลีซูซู แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่ร่างกายของตนเอง ความทรงจำจึงขาดๆ หายๆ เลือนรางยิ่งนัก

 

เยี่ยซีอู้เป็นคุณหนูสามของจวนแม่ทัพใหญ่เยี่ย ทั้งยังเป็นธิดาสายตรงเพียงคนเดียวของสกุลเยี่ย

ก่อนหน้านี้นางตกน้ำจนล้มป่วยอย่างหนัก เนิ่นนานก็ยังรักษาไม่หาย ย่าของนางเป็นห่วงนาง จึงพานางไปไหว้พระที่วัดเทียนหวา

คาดไม่ถึงว่าภายในวัดเช่นนี้ เยี่ยซีอู้กับอิ๋นเชี่ยวสาวใช้ประจำตัวกลับถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปพร้อมกัน

เยี่ยซีอู้กับอิ๋นเชี่ยวฉวยจังหวะตอนโจรร้ายเผลอหนีลงจากเขา สองนายบ่าววิ่งไปได้ไม่ไกล โจรภูเขาก็รู้ตัวเสียก่อน

ตอนหลีซูซูทะลุมิติเข้ามาในร่างของเยี่ยซีอู้ ประจวบเหมาะเป็นช่วงเวลานี้พอดี สาวใช้ผลักเจ้าของร่างเดิมออก บอกให้ผู้เป็นนายหนีไป

หลีซูซูรู้สึกเจ็บแปลบที่เท้า นางก้มลงมองก็พบว่าข้อเท้าบวมไม่น้อยเลย

หลีซูซูพยายามละเลยความเจ็บระบมนี้ เริ่มหาทางออกไปจากที่นี่

นางเดินกระย่องกระแย่งไปบนพื้นหิมะ เดินพลางปกปิดร่องรอยบนพื้นหิมะไปพลาง นางหอบหายใจ แต่มิได้หยุดฝีเท้า

ไม่รู้ว่าโจรร้ายจะกลับมาเมื่อใด หากนางถูกพบตัวเข้าเวลานี้ สถานการณ์ต้องไม่ดีแน่นอน

สตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง ตกไปอยู่ในเงื้อมมือโจรภูเขา คิดดูก็รู้แล้วว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร

นางเดินไปได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าสวบสาบระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นบนผืนหิมะ

หลีซูซูรีบหลบไปอยู่หลังหินก้อนหนึ่ง

ตามคาด เพียงไม่นานชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำบึกบึนหลายคนก็ปรากฏตัวละแวกใกล้ๆ

“เศษสวะพวกนี้ แค่สตรีคนเดียว พวกเจ้ายังปล่อยให้นางหนีไปได้!” คนที่เป็นหัวหน้าหอบหายใจ ฝ่ามือตบลงบนศีรษะของลูกน้อง

“พี่ใหญ่” ลูกน้องถูกตบศีรษะแต่กลับมิกล้าโต้แย้ง เพียงเอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “ข่าวของพวกเราผิดพลาด เด็กสาวผู้นั้นไม่ใช่บุตรสาวพ่อค้าที่ร่ำรวยอะไร แต่เป็นธิดาของแม่ทัพใหญ่เยี่ยต่างหาก”

ใบหน้าดุดันของหัวหน้าโจรภูเขาสั่นกระเพื่อม สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่

โจรคนใดบ้างที่ไม่กลัวอำนาจของราชสำนัก

“เมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งต้องหาคนให้พบ ตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง” จากนั้นแววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม “มองหาบิดาเจ้าหรือไร ยังไม่รีบแยกย้ายไปตามหาอีก!”

หลีซูซูหมอบอยู่หลังก้อนหิน เสียงฝีเท้าใกล้นางเข้ามาทุกที นางมุ่นหัวคิ้ว เตรียมพร้อมรับมือเมื่อถูกพบตัว

เคราะห์ดีที่เสียงฝีเท้าหยุดชะงักข้างกายนาง ก่อนจะมุ่งหน้าไปอีกทาง

หลีซูซูรออยู่พักหนึ่งอย่างระมัดระวัง มิได้เคลื่อนไหว จวบจนไม่ได้ยินเสียงพวกเขาแล้ว นางจึงมองออกไป บนพื้นหิมะมีรอยเท้าสะเปะสะปะ แต่กลับไม่เห็นพวกโจรอีกแล้ว

หลีซูซูลุกขึ้นตั้งท่าจะจากไป ทันใดนั้นโจรคนหนึ่งที่ย้อนกลับมาตะโกนเสียงดัง “พี่ใหญ่! ใครก็ได้ นางอยู่ตรงนี้!”

หลีซูซูไม่ลังเลแม้แต่น้อยก็หันหลังวิ่งทันที

ทว่าโจรภูเขาข้างหลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว

ร่างนี้ค่อนข้างอ่อนแอ เบื้องหน้าของหลีซูซูพร่าเลือน พื้นหิมะขาวโพลน แทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า จู่ๆ นางก็ชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง

ลูกธนูหลายดอกยิงไปข้างหลังนางดังฟิ้วๆ เสียงโจรภูเขาล้มลงดังตามมา

หลีซูซูเหลือบตาขึ้น เห็นใบหน้าหมดจดคมคายดวงหนึ่ง

เด็กหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีขาว แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนหิมะ แก้มของเขาซูบตอบ นัยน์ตาดำเข้ม สะท้อนความเย็นชาอยู่หลายส่วน

ผิวพรรณของเขาขาวมาก ริมฝีปากแดงผมดำ รูปงามจนน่าตกใจ แต่เนื่องจากดวงตาคู่นั้นราบเรียบเฉยชา จึงมิได้ดูเหมือนสตรี

ตอนหลีซูซูพุ่งชนเขา เขาแน่วนิ่งไม่ขยับ ทว่าตอนสบตากับนาง เขาเบนสายตาออกไปอย่างลนลานเล็กน้อย

เด็กหนุ่มประคองนางพลางเอ่ยเสียงค่อย “ขออภัยคุณหนูสาม ข้ามาช้าเสียแล้ว”

หลีซูซูจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่ส่ายหน้า

ระหว่างที่โต้ตอบกันไปมาไม่กี่คำ พวกโจรภูเขาบ้างล้มตาย บ้างบาดเจ็บ พวกที่รอดชีวิตก็หนีไปหมดแล้ว

ทหารข้างหลังเด็กหนุ่มกุมกำปั้นคารวะหลีซูซู “คุณหนูสาม! ข้าน้อยมาช้า”

หลีซูซูคิดถึงสาวใช้ที่ผลักตนออกและบอกให้ตนหนีไปก่อน ก่อนเหลือบตาขึ้นเอ่ยว่า “อิ๋นเชี่ยวยังอยู่ในมือพวกเขา โปรดช่วยข้าตามหาอิ๋นเชี่ยวด้วย”

นัยน์ตาดำเข้มของเด็กหนุ่มจ้องมองนาง “ได้ ข้าจะส่งคนไปตามหา”

เหล่าทหารแยกย้ายกันไปตามหาอิ๋นเชี่ยว

เด็กหนุ่มหลุบตาลงพร้อมเอ่ยถาม “ท่านบาดเจ็บหรือ”

ยังไม่รอให้หลีซูซูตอบ เขาก็ช้อนอุ้มตัวนางขึ้นมาเงียบๆ

ถูกบุรุษแปลกหน้าอุ้มกะทันหัน หลีซูซูมีความรู้สึกต่อต้านหลายส่วน นางไม่เข้าใจสถานการณ์ ในชั่วเวลาสั้นๆ จึงมิกล้าขัดขืน ได้แต่ช้อนตาพิจารณาเขา

ตอนนี้เกิดปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง

แม้นางจะมีความทรงจำส่วนหนึ่งของเยี่ยซีอู้ แต่นางมิอาจจับคู่บุคคลในความทรงจำกับคนตัวเป็นๆ ได้อย่างถูกต้อง

ดังนั้น บุคคลตรงหน้าผู้นี้เป็นใครกันหนอ

อ้อมอกเขาไม่อบอุ่นแม้แต่น้อย กลับเย็นเยียบพอๆ กับอากาศรอบด้าน

หลีซูซูรู้สึกไม่สบายสักนิดเมื่ออยู่ในอ้อมกอดเขา นางหนาวจนตัวสั่น ขบคิดและเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งตกลงมาจากเนินเขา ศีรษะถูกกระแทก ความทรงจำสับสนเล็กน้อย ขออภัยด้วย แต่ข้าจำเจ้าไม่ได้…”

พอพูดจบ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็ฉายแววพิลึกพิลั่นหลายส่วน

อารมณ์เช่นนี้คงอยู่เพียงไม่นาน เขากลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วพลางตอบว่า “ข้าชื่อถานไถจิ้น เมื่อสามเดือนก่อนพวกเราแต่งงานกัน”

ครั้นถ้อยคำนี้ถูกเอ่ยออกมา หลีซูซูร่างกายแข็งทื่อ เหลือบตาขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

เกล็ดหิมะตกลงบนเส้นผมของเด็กหนุ่ม ขับเน้นเนตรขนงของเขาจนดูราวกับน้ำแข็งและหิมะ

เด็กหนุ่มกอดนางแน่นขึ้นอีกนิด ถามเสียงเบาว่า “คุณหนูสาม ท่านหนาวหรือ”

เขามีนัยน์ตาสีนิลกับเส้นผมดำขลับ ดูอ่อนแอไร้พิษภัย

พอเห็นหลีซูซูมองประเมินเขา เขาหลุบตาลงอย่างสงบ ท่าทางนอบน้อมและขลาดกลัว

หลีซูซูร่างกายแข็งทื่อกว่าเดิม นางเม้มริมฝีปากแน่น ปกปิดอารมณ์ในดวงตา

หลีซูซูพันคิดหมื่นคาดก็คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูงดงามอ่อนแอผู้นี้ กลับเป็นเป้าหมายของภารกิจนาง

เขาก็คือจอมมารในอนาคตที่ฆ่าคนเป็นเบือ ขยี้จิตวิญญาณมนุษย์จนแหลกสลายเป็นว่าเล่น

นางอิงแอบกับแผงอกเขา สัมผัสได้ว่าภายใต้รูปร่างสูงโปร่งนี้ เขาผ่ายผอมจนกระดูกทิ่มแทงคน

แทบจะในพริบตาเดียวกันนั้นเอง ในสมองของนางผุดวิชาเซียนนับร้อยที่สามารถสังหารคนได้

ความคิดนี้ของนางรุนแรงยิ่งนัก จนถึงขั้นแอบทำมือท่ามุทราเซียนจะลอบสังหารอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว

ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น

หลีซูซูหดมือกลับมา นึกขึ้นได้อย่างเชื่องช้าว่าบัดนี้นางเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง

ร่างกายทั้งหนาวทั้งระบม หากเป็นเจ้าของร่างเดิม ป่านนี้คงประคองสติไว้ไม่อยู่แล้ว หลีซูซูฝืนทนมาได้ถึงตอนนี้นับว่าถึงขีดจำกัดสูงสุด

นางพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของคนผู้นี้ แต่นางไม่เหลือเรี่ยวแรงตั้งนานแล้ว อึดใจต่อมาสองตาของหลีซูซูก็ดับมืด สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป

ฝีเท้าที่ก้าวเดินของเด็กหนุ่มหยุดชะงัก

หลังจากนางหมดสติไปแล้ว เขาจึงหลุบตาลง มองเด็กสาวในอ้อมแขน

ใบหน้าของนางขาวซีด ดวงหน้าที่ปกติอวดโอ่โอหัง ชวนให้คนชิงชังรังเกียจ ภายใต้การขับเน้นของหิมะและน้ำแข็งหนาวเหน็บ ยามนี้กลับฉายแววอ่อนโยนบริสุทธิ์หลายส่วน

เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะเบนสายตาออกไปทันทีอย่างไม่ใส่ใจ และเดินออกจากรังโจรบนภูเขา

ไม่นาน ทหารใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เยี่ยก็พาอิ๋นเชี่ยวสาวใช้ประจำตัวของเยี่ยซีอู้กลับมา

ร่างของเด็กผู้นั้นอยู่บนพื้นหิมะ

ถานไถจิ้นมองศพบนพื้นเงียบๆ

บนร่างของอิ๋นเชี่ยวมีแผลจากดาบหลายสิบแผล เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ตรงท้องมีรูและมีเลือดออก ใบหน้าเละเทะยับเยิน

กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นแผ่อวลอยู่กลางอากาศ

ทหารสอบถาม “จื้อจื่อ* จัดการอย่างไรดี”

เขาเหลือบตามองเพียงแวบเดียว ตอบด้วยน้ำเสียงเบาสบาย “ตายแล้วนี่ เช่นนั้นก็เผาเถอะ”

น้ำเสียงของเขาเบาหวิวผ่อนคลายราวกับกำลังพูดว่า ‘หิมะในฤดูเหมันต์ปีนี้ ช่างตกแรงจริงๆ’

ระหว่างที่รถม้าโยกคลอนไปมา หลีซูซูฝัน

นางฝันถึงตนเองในวัยเยาว์

นางถือกำเนิดในอีกห้าร้อยปีให้หลัง เป็นบุตรีของเจ้าสำนักเซียนอันดับหนึ่ง

เดิมทีเป็นบุคคลฐานะสูงส่งผู้หนึ่ง ทว่าหลีซูซูออกจะโชคร้ายอยู่บ้าง

เรื่องนี้เล่าแล้วยาวนัก ในยุคสมัยของนางเป็นช่วงเวลาที่มารร้ายครองใต้หล้า

พูดง่ายๆ ก็คือ มารปีศาจเรืองอำนาจ ผู้บำเพ็ญเพียรกับมนุษย์ธรรมดากลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งชั่วร้ายตนนั้นถือกำเนิดขึ้นเมื่อใดกันแน่ ทว่าตั้งแต่เขามาเยือนโลกนี้ วิธีการที่ใช้ก็เหี้ยมโหด สำนักเซียนถูกทำร้ายจนพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง

แรกเริ่มยังมีสำนักที่ไม่ยอมจำนน พยายามล้อมสังหารเขา ภายหลังผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้ถูกฝังอยู่ใน ‘สุสานหมื่นเซียน’ อย่างอำมหิต ดวงจิตแตกซ่านวิญญาณสูญสลาย

เซียนนับไม่ถ้วนแตกดับ สุดท้ายสำนักที่เหลืออยู่ได้แต่ใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนไปวันๆ

ด้วยเหตุนี้เอง ยามเอ่ยถึงเขา จึงมีเพียงความรู้สึกหนาวยะเยือก

ท้องนภาเป็นสีเทาหม่น ไอมารบดบังปราณวิเศษ ทำให้มิอาจฝึกบำเพ็ญได้ โรคระบาดแพร่กระจายในโลกมนุษย์ ศพนอนเกลื่อนทุกหนทุกแห่ง

หลีซูซูเติบโตขึ้นมาในโลกเช่นนี้เอง

ยามนี้ร่างของมนุษย์ธรรมดาเหนื่อยล้าถึงขีดสุด หลีซูซูฝันถึงวัยเยาว์ของนาง ฝันร้ายที่ไม่ได้คิดถึงมานานมากแล้ว

ในยามนั้นนางเพิ่งจะกลายรูป ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ ผู้หนึ่ง กลางหน้าผากมีจุดสีแดงเพลิงจุดหนึ่งดุจแต้มด้วยชาด

ท่านพ่อเจ้าสำนักบอกว่า “ห้ามออกจากประตูสำนัก หาไม่แล้วหากถูกมารปีศาจจับตัวได้ จะส่งเจ้าไปให้จอมมาร”

ท่านเซียนในอาภรณ์สีฟ้าครามชี้ป้ายวิญญาณอันแรก

“เห็นหรือไม่ นี่คืออาจารย์อาใหญ่ของเจ้า ถูกจอมมารสังหาร”

จากนั้นชี้ป้ายวิญญาณอันที่สอง

“นี่อาจารย์อาห้าของเจ้า ถูกจอมมารสังหาร วิญญาณแตกสลาย”

มือเลื่อนไปยังป้ายวิญญาณอันที่สาม เด็กน้อยหลีซูซูผงกศีรษะอย่างจริงจังและเอ่ยขึ้น “ข้าทราบ นี่คืออาจารย์ลุงรอง เขาก็ถูกจอมมารสังหารเช่นกัน ตอนเสียชีวิตแม้กระทั่งวัตถุเวทคู่กายยังถูกบีบทำลายจนแตกละเอียดด้วย วันหน้าเมื่อซูซูเติบใหญ่ จะต้องแก้แค้นแทนอาจารย์อาและอาจารย์ลุงทั้งหลายแน่นอน”

เจ้าสำนักมองเด็กน้อยที่ผิวพรรณขาวผ่องน่าเอ็นดู ท่วงทีผ่าเผยเปี่ยมคุณธรรม แล้วผงกศีรษะอย่างวางใจ

กระนั้นถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ผ่านไปไม่นานหลีซูซูกลับถูกคนทรยศในสำนักหลอกให้ออกไปนอกสำนัก

พริบตาถัดมา นางก็ถูกมารปีศาจจับตัวไป

 

เหล่ามารปีศาจล้อมนางไว้ ชมศิษย์ทรยศผู้นั้นว่า “เจ้าทำได้ไม่เลว ดวงจิตของเด็กผู้นี้บริสุทธิ์ยิ่ง ศิลาวิญญาณสว่างแล้วด้วย ท่านจอมมารต้องตกรางวัลให้อย่างงามแน่!”

ศิษย์ทรยศค้อมเอวพยักหน้า ปลื้มปีติยินดียิ่งนัก

พวกเขาส่งตัวหลีซูซูให้กับจอมมาร

วังของจอมมารเต็มไปด้วยโลหิตไหลนอง มืดทึมน่ากลัว หลีซูซูเพิ่งเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก เหล่าปีศาจรอบด้านหยอกเย้านาง นางสู้อย่างไรก็ไม่ชนะและมิอาจหนีออกไปได้

สุดท้ายเด็กหญิงร้อนใจจนคืนสู่ร่างเดิม ใช้ปีกปกปิดใบหน้า ร้องไห้กระซิกไม่หยุด

หลังจากนั้นนางได้พบจอมมารเป็นครั้งแรก บุรุษที่สังหารอาจารย์อาและอาจารย์ลุงของนางไปมากมาย

เขาสูงอย่างมาก นั่งอยู่บนบัลลังก์ รอบกายมีไอดำวนเวียน

ชุดคลุมกันลมสีดำห่อหุ้มร่างกายเขา เผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาปราศจากความรู้สึกคู่นั้น

ผิวกายของจอมมารขาวซีด เขาเท้าคาง หลุบตาลงมองนาง

แสงไฟในวังมารส่งเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ

เด็กน้อยหลีซูซูถูกหลอกมาที่รังมาร ทั้งโศกเศร้าและเสียใจภายหลัง ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

“ข้าตั้งใจมาสวามิภักดิ์ท่านจอมมาร นี่เป็นของกำนัลที่ข้ามอบให้ท่านจอมมาร” ศิษย์ทรยศชี้ไปยังหลีซูซูพลางยิ้มประจบ

ทว่าอึดใจต่อมา ศิษย์ทรยศกลับเบิกตาถลน ลำคอเปล่งเสียง “อึกๆ” โลหิตไหลลงมาจากมุมปาก

เขาตายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เอง

จอมมารยื่นนิ้วมือขาวซีดออกมาหิ้วตัวนาง

ดวงตาคู่โตของหลีซูซูมีน้ำตาหยดใหญ่เอ่อคลออยู่ แต่กลับไม่ยอมปล่อยให้มันไหลรินออกมาอย่างดื้อรั้น “ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!”

นางคิดว่าอึดใจถัดไปคงเป็นคราวของนางเสียแล้ว

แต่จอมมารกลับยกมือขึ้นกะทันหัน โยนนางกลับไปยังสำนักเหิงหยาง

ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดจอมมารจึงไม่ฆ่าหลีซูซู แม้แต่หลีซูซูเองก็ไม่เข้าใจ

หลายปีให้หลัง เหล่าผู้อาวุโสเสี่ยงทายและตัดสินใจคัดเลือกคนผู้หนึ่ง ส่งกลับไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจความเป็นมาของจอมมาร หยุดยั้งมิให้เขาฟื้นตื่น และช่วยเหลือสรรพชีวิต

ผลการทำนายหมุนวนไปมา สุดท้ายชี้มาที่หลีซูซู

“…” หลีซูซูอึ้งงัน ฉับพลันความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่เหมือนตนเองกำลังมุ่งสู่มหามรรคาก็เพิ่มมากขึ้น

ในฝัน ป้ายวิญญาณแถวหนึ่งห้อมล้อมหลีซูซูไว้ ราวกับให้กำลังใจและสนับสนุนนาง

หลีซูซูฟื้นขึ้นมา

นางมิได้อยู่บนผืนหิมะแห่งนั้นแล้ว กลับอยู่บนฟูกที่นอนใต้ร่างอันอบอุ่น ภายในห้องอวลด้วยกลิ่นหอมนุ่มนวลอ่อนจาง ถ่านไฟกำลังเผาไหม้อย่างโชติช่วง พาให้พวงแก้มของนางถูกย้อมด้วยสีแดงระเรื่อ

ดรุณีวัยสิบห้าสิบหกตรงหน้าผู้หนึ่งย่อกายคารวะอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ”

นางประคองหลีซูซู และป้อนน้ำให้หลีซูซูคำหนึ่ง

คอของหลีซูซูเจ็บระบมมาก นางสำลักจนไอออกมาหลายที ก่อนจะใบหน้าซีดเผือดลงในฉับพลัน

“คุณหนูไว้ชีวิตด้วย ชุนเถามิได้ตั้งใจเจ้าค่ะ”

กล่าวจบอีกฝ่ายก็เริ่มโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า โขกจนพื้นเกิดเสียงดังปึงๆ ด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง

นี่เห็นได้ชัดว่ากลัวหลีซูซูมากเพียงใด

เจ้าของร่างเดิมเยี่ยซีอู้นั้นนิสัยร้ายกาจ แทบจะเรียกได้ว่าโหดร้าย ดูจากการที่หลีซูซูแค่ไอก็ทำผู้อื่นหวาดกลัวถึงขั้นนี้ ย่อมพอทราบได้

หลีซูซูส่ายหน้า พยายามไม่ทำให้นางตกใจ “เจ้าลุกขึ้นเถิด มิใช่ความผิดเจ้า”

ชุนเถาสังเกตสีหน้าของหลีซูซูอย่างกระวนกระวาย หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าคุณหนูรู้สึกไม่สบายตัว ต้องไม่ละเว้นนางง่ายๆ แน่

พอพินิจสีหน้าของคุณหนูโดยละเอียดแล้ว เห็นอีกฝ่ายไม่มีความคิดที่จะลงโทษตนจริงๆ ชุนเถาก็โล่งอก รีบวางถ้วยชาให้ดี

“ที่นี่ที่ใดหรือ” หลีซูซูเอ่ยถาม

สาวน้อยตอบว่า “ตอนนี้มิได้อยู่ในวัดแล้ว กลับมาที่จวนแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู ท่านเป็นไข้อยู่สองวันเลยนะเจ้าคะ”

หลีซูซูถามต่อ “ชุนเถา ถานไถจิ้นล่ะ”

นางเรียกเขาว่า ‘จอมมาร’ บ้าง ‘สิ่งชั่วร้าย’ บ้าง ตามอย่างทุกคนในโลกบำเพ็ญเพียรจนชิน บัดนี้เมื่อต้องเรียกชื่อนี้กลับไม่คุ้น

ชุนเถาสังเกตสีหน้านาง ก่อนตอบเสียงค่อยว่า “หลังจากจื้อจื่อกลับจวนก็คุกเข่าอยู่บนพื้นน้ำแข็ง ชุนเถาคอยเฝ้าเขาไว้แทนท่านตลอด เขาไม่ได้ลุกขึ้นมาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

หลีซูซูมองชุนเถาด้วยความแปลกใจ อะไรนะ คุกเข่า?

ภาพเหตุการณ์ส่วนหนึ่งวาบขึ้นในสมองอย่างประปราย ในที่สุดหลีซูซูก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

นี่เป็นคำสั่งของเจ้าของร่างเดิมก่อนจะถูกโจรภูเขาจับตัวไป

หลีซูซูหมดสติไปสองวัน นั่นก็หมายความว่าถานไถจิ้นคุกเข่าท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บมาสองวันแล้ว

หลีซูซูขบคิดและถามชุนเถา “เจ้าหาคันฉ่องให้ข้าสักบานได้หรือไม่”

ชุนเถารีบยื่นคันฉ่องสำริดบานหนึ่งให้ นางลอบพิจารณาคุณหนูสาม นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูสามใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้พูดกับตน

หลีซูซูพิเคราะห์ร่างกายของตนในยามนี้ ในคันฉ่องสะท้อนใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงหนึ่ง อายุราวสิบหกสิบเจ็ด ดวงตาเมล็ดซิ่ง* เชิดขึ้น ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงชุ่มชื้นประหนึ่งผลอิงเถา* มิอาจกล่าวได้ว่างามพิลาส แต่ดูน่ามองเหมือนแม่นางน้อยข้างบ้านมากกว่า

หลีซูซูลองคลี่ยิ้ม ฉับพลันใบหน้าฉายแววสดใสเบิกบานขึ้นหลายส่วน

อันที่จริง ประเด็นสำคัญของหลีซูซูมิใช่การดูว่าเจ้าของร่างเดิมหน้าตาเป็นอย่างไร

นางพิจารณาคันฉ่องอยู่เป็นนาน

เนิ่นนานจนชุนเถาหวั่นวิตกและอดถามมิได้ “คุณหนู ท่านดูอะไรหรือเจ้าคะ”

คงมิใช่โมโหตนเองที่เกิดมาไม่งดงามมีเสน่ห์เท่าคุณหนูใหญ่อีกแล้วกระมัง

หลีซูซูคิดในใจ อาจารย์ลุงเคยสอนดูลักษณะใบหน้า ปากคือเหรินกุ่ย* อยู่ใจกลางอุดร ริมฝีปากแดงสดบ่งว่ามีบารมี ฟันขาวซี่ถี่เล็กสมดุล ย่อมมีชะตาได้เป็นใหญ่… แต่ใบหน้าในตอนนี้ไม่มีส่วนใดตรงกับสิ่งที่ว่ามาสักอย่าง ดูจากลักษณะใบหน้าแล้ว ต้องมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบปีแน่นอน ช่างมีชะตาอายุสั้นโดยแท้

หลีซูซูสงสัยเหลือเกิน แม้ว่าอายุขัยของมนุษย์ธรรมดาจะสั้นเพียงหนึ่งร้อยปี แต่ร่างนี้อายุยังน้อยนัก กลับถูกลิขิตไว้แล้วหรือว่าต้องตายเร็ว

แม้ว่าหลีซูซูจะเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ก็มิอาจแก้ไขเส้นชะตาชีวิตได้

เช่นนั้นวันข้างหน้านางจะตายอย่างไรกันนะ

ไม่รู้เหตุใด จู่ๆ หลีซูซูก็คิดถึงจอมมารในวัยเยาว์ที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างนอก

เด็กสาวฝ่ายธรรมะหลีซูซูเหลือบตาขึ้นโดยพลัน

 

 

* จื้อจื่อ เป็นคำเรียกตัวประกันที่ถูกส่งไปอยู่แคว้นศัตรูในจีนสมัยโบราณ โดยมากมักเป็นโอรสของเจ้าผู้ครองแคว้นหรือผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง

* ซิ่ง หมายถึงแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับเหมย (บ๊วย) ชาวจีนมักเปรียบความงามของดวงตาหญิงสาวว่ากลมโตเหมือนเมล็ดซิ่ง

* อิงเถา หมายถึงเชอรี่

* เหรินและกุ่ยเป็นตัวอักษรในแผนภูมิกิ่งฟ้า (เทียนกัน) ซึ่งมีทั้งหมดสิบตัวอักษร แต่ละอักษรเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการอธิบายรูปแบบพลังงานของศาสตร์ฉีเหมินตุ้นจย่า (ศาสตร์การทำนายในจีนสมัยโบราณ) โดยเหรินและกุ่ยถูกจัดให้เป็นอักษรธาตุน้ำตำแหน่งทิศเหนือ ศาสตร์การทำนายลักษณะใบหน้าของจีนถือว่าปากอยู่ในธาตุน้ำ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 .. 65  เวลา 12.00 .

 

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: