X
    Categories: THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรักWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน THE ARCHITECTURE OF LOVE ออกแบบร่างก่อสร้างรัก บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1

สิ่งที่เรารักคือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์เช่นกัน

 

ในชีวิตของทุกคนมักจะมีจุดหนึ่งที่รู้สึกราวกับว่ากำลังหลงทาง ทั้งในความเป็นจริงและในเชิงเปรียบเปรย และไม่มีอะไรทำให้ไรยารู้สึกหลงทางและแปลกแยกไปมากกว่าการอยู่ในปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะบ้านคือที่ที่ทำให้เธออุ่นใจ ไม่ใช่เพราะบางทีฝูงชนมันก็เกินจะรับไหว ไม่ใช่เพราะเธอไม่ใช่พวกไม่หลับไม่นอน เพราะทุกครั้งที่เธออินไปกับงานเขียนของเธอ เธอจะตื่นอยู่ทั้งคืนแล้วนอนในช่วงเช้าของอีกวัน ก็แค่เพราะว่าสำหรับเธอแล้ว ทุกอย่างในงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่ามันดูปลอมอย่างน่าฉงน

เหมือนทุกคนรู้สึกว่าต้องเฉลิมฉลองการเปลี่ยนผ่านของปี แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะไม่มีอะไรให้น่าฉลองเลยก็ตาม การดื่มอวยพรกับคนแปลกหน้าเป็นร้อยในคลับที่ค่าเข้าแพงอย่างไม่มีเหตุผล บางทีก็ถ่ายรูปเซลฟี่หรือรูปหมู่พร้อมขวดแชมเปญในมือกับใครก็ตามที่บังเอิญเจอ เพียงเพื่อจะโชว์ชีวิตอันแสนพิเศษของตัวเองบนโซเชียลมีเดีย และเราต่างก็คุ้นเคยกับฝันร้ายของการหารถกลับบ้านในตอนฟ้าสางกันทั้งนั้น ทุกคนเมามายจนขับรถกลับบ้านไม่ไหว จะบอกว่าการหารถกลับบ้านนั้นเป็นภารกิจที่ยากยิ่งกว่าการหาเนื้อคู่ก็คงไม่เกินจริง และอย่าให้เธอต้องพูดถึงประเพณีการจูบตอนเที่ยงคืนเลยนะ มันอาจจะฟังดูแรงไปหน่อย แต่ไรยามีความรู้สึกอันแรงกล้าที่อยากจะรัดคอไอ้คนที่มันเริ่มประเพณีบ้าบอนี้มาตลอด ถามจริงๆ นะ คุณอยากเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการจูบกับใครก็ไม่รู้ที่ยืนอยู่ข้างคุณในปาร์ตี้เหรอ ต่อให้เป็นคนแปลกหน้าอะนะ

คนที่มากับคู่เดตของตัวเองก็โชคดีไป พวกเขารอดจากเรื่องน่าหงุดหงิดอย่างการจูบกับคนแปลกหน้าที่เดี๋ยวก็จำชื่อคุณไม่ได้ แถมปากยังเหม็นกลิ่นเหล้าอีกต่างหาก

“แต่คืนนี้เธอจะมาใช่ไหม” เอรินกดดัน แม้จะรู้ดีว่าไรยาไม่ชอบงานรวมพลประเภทนี้เลย แต่มันคือวันส่งท้ายปีเก่าในนิวยอร์กนะ ทำไมคุณถึงอยากอยู่บ้านคนเดียวในคืนแบบนี้ล่ะ

ตอนนี้ยังเป็นเวลาหัวค่ำอยู่ แต่ด้วยความที่เป็นเอริน แน่นอนว่าเธอลองชุดกับรองเท้าที่เข้ากับฤดูกาลนี้ไปแล้วนับไม่ถ้วน พอนึกถึงสภาพอากาศหนาวจัดในนิวยอร์กช่วงธันวาคมที่อุณหภูมิต่ำกว่าสี่องศาเซลเซียสแล้วก็จัดว่าเป็นความท้าทายอย่างแท้จริง ขอบคุณมากเลยจ้า ขณะเดียวกันไรยายังนั่งเอื่อยอยู่บนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ในเสื้อถักไหมพรมโอเวอร์ไซส์ มือซ้ายถือแก้วช็อกโกแลตร้อน มือขวากดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวี

ไรยาอาจจะดูนิ่งๆ แต่เธอกำลังอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอมาขออาศัยอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของเอรินในแมนฮัตตันตอนล่างมาสองเดือนแล้ว เพราะฉะนั้นการไปช่วยเอรินหาคู่ที่ปาร์ตี้ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยุติธรรมดี ถึงไรยาจะไม่รู้จักเจ้าของงานก็เถอะ คำว่ามาขออาศัยก็จัดเป็นคำที่ถูกต้อง เพราะทุกครั้งที่ไรยาจะช่วยออกค่าเช่า เอรินก็จะปฏิเสธว่า ‘คิดว่าฉันเปิดแอร์บีเอ็นบีรึไง อยู่ไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงที่ทำงานก็จ่ายค่าเช่าให้อยู่แล้ว อะไร มองฉันแบบนั้นทำไมน่ะ’

ถึงพวกเธอจะสนิทกันมากเพราะเป็นเพื่อนซี้กันมาหลายปีจนนับไม่ถ้วน นับเป็นความสัมพันธ์แบบที่ไม่มีใครมาใส่ใจแล้วว่าฝ่ายไหนให้หรือรับมากเท่าไหร่ ไรยาก็ยังรู้สึกว่าอย่างน้อยๆ ตัวเองควรจะพยายามตอบแทนน้ำใจนี้ด้วยการซื้ออาหารมาใส่ตู้เย็นและเป็นคนจ่ายเงินเวลาออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน

‘ไม่ต้อง แยกกันจ่ายเถอะ เคยบอกแล้วไงว่าฉันชอบที่มีเธออยู่ด้วย เธอไม่ต้องจ่ายทุกอย่างหรอกยา ฉันไม่ได้อยากให้เธอเลี้ยงฉันทุกครั้งหรอกนะ’ เอรินพูดและยัดแบงก์ห้าสิบดอลลาร์ใส่กระเป๋าถือของไรยาตอนไปร้านเดอะสปอตเท็ดพิกด้วยกันครั้งล่าสุด ที่นั่นคือร้านเบอร์เกอร์ร้านโปรดของพวกเธอ

‘ให้ฉันจ่ายเถอะ’ ไรยารบเร้ายืนยัน

‘โอเค ก็ได้ ถ้าเธอไม่รู้จะทำยังไงกับเงินค่าลิขสิทธิ์นั่นล่ะก็ เอาไปซื้อรองเท้าให้ฉันสักคู่สิ ลูบูแตงอะไรงี้ ห้างแซกส์อยู่ตรงหัวมุมนี้เอง’ เอรินพูดด้วยรอยยิ้มซุกซน

‘บ้าอะไรเนี่ย…’ ไรยาหัวเราะ

“โอเค งั้น…เธออยากใส่ชุดไหนล่ะ รู้ใช่ไหมว่ายืมชุดฉันได้ถ้าเธอต้องการ” เอรินยังยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ขยับมือวุ่นวายไปกับตัวเลือกอันหลากหลาย ไรยาเลื่อนสายตาจากทีวีมาที่เอริน แต่เธอยังไม่ตอบอะไร

“มานี่สิ เลือกสักตัว” เอรินกล่าวพร้อมดึงมือไรยา “เรายังใส่ไซส์เดียวกันใช่ไหม ลองใส่ดูสักตัวสิ ฉันเอาตัวนี้” เอรินบอก ขณะกำลังหลงไปกับเงาสะท้อนของตัวเองในชุดเดรสสีดำในกระจก กระทั่งหันกลับมาถึงได้เห็นสีหน้าเฉยเมยของไรยา เธอไม่ตื่นเต้นเลยสักนิดเดียว

“ไรยา ไม่เอาน่าที่รัก เธอจะไปใช่ไหม” เอรินถามย้ำ

“ไปสิ” ไรยาตอบ ไม่ปิดบังอาการลังเลของตัวเองสักเท่าไหร่

“เอาจริงๆ เลยนะ เธอทำหน้าเหมือนฉันเพิ่งขอให้เธอโดดผาเลยอะ” เอรินบอก เธอตบหน้าไรยาเบาๆ ด้วยความรัก

“ฉันรู้ๆ” ไรยาหัวเราะในลำคอ “แค่วันนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์น่ะที่รัก”

“เราถึงต้องทำแบบนี้ไง! การแต่งเนื้อแต่งตัวจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น เชื่อฉันสิ นี่ เธอได้เอาชุดเดรสมาด้วยไหมเนี่ย จำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นเธอใส่”

“เอามาสิ” ไรยาตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูลังเล ไม่ใช่ว่าเธอไม่แน่ใจว่าได้เอาชุดเดรสมาด้วยหรือเปล่าหรอก แต่บทสนทนานี้ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวเบื้องหลังของเจ้าเดรสตัวนั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอามันมาด้วยทำไมที่นิวยอร์ก เมืองที่เธอมาเพื่อหลีกหนีจากความทรงจำนั้น

“ไหนล่ะ” เอรินเรียกร้อง ไรยามองผ่านเธอไปยังเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้แล้วหยิบชุดเดรสสีดำตัวสวยออกมา ทรงชุดแบบดั้งเดิมและดูสง่างาม แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเย้ายวนแฝงอยู่

“เธอใส่ตัวนี้แหละ!” เอรินร้องออกมาอย่างกระตือรือร้นและคว้าชุดเดรสไปจากมือไรยา “เอาสิ ถอดเลย”

“ฮะ?”

“ถอดชุดแล้วลองใส่ดู ฉันอยากเห็นเธอใส่มัน”

“ตอนนี้อะนะ”

“ใช่ ตอนนี้เลย” เอรินยืนกราน เธอหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้นตอนไรยาสวมชุดเสร็จ “ดูสิ ฉันบอกแล้ว! เธอใส่แล้วเริดมาก! โอเค เธอใส่ตัวนี้นี่แหละไปปาร์ตี้”

ชุดเดรสสีดำตัวจิ๋วไม่เคยทำให้สาวคนไหนต้องผิดหวัง ความทรงจำของไรยาพาเธอย้อนไปถึงครั้งล่าสุดที่ใส่ชุดเดรสตัวนี้ วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนเธอไปงานรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากหนึ่งในนิยายที่เธอแต่ง เธอยิ้มน้อยๆ ให้คนนั้นคนนี้ ทักทายผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่พบเจอ ตอบคำถามหลายข้อในงานแถลงข่าว ทุกสิ่งทุกอย่างก่อให้เกิดความรู้สึกอันท่วมท้น แต่เธอก็รอดจากเหตุการณ์ในวันนั้นมาได้ด้วยความสง่าผ่าเผยที่ดูสงบนิ่ง จนกระทั่งเธอนั่งลงข้างโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ในไม่กี่นาทีก่อนหนังฉาย เธอถึงรู้สึกได้ว่าฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เย็นจัดและหัวใจกำลังจะหลุดออกจากอก

‘คุณไรยา คุณคิดว่าภาพยนตร์เป็นยังไงบ้างคะ’ ผู้สื่อข่าวถามเธอในงานแถลงข่าวเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

‘ดิฉันก็อยากรู้พอๆ กับพวกคุณนั่นแหละค่ะ คืนนี้จะเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้รับชมมัน’ เธอตอบด้วยรอยยิ้มสำรวม แต่หลังจากที่เธอหย่อนตัวลงบนเก้าอี้นุ่มๆ ในโรงภาพยนตร์ เธอถึงตระหนักได้ว่าคำว่า ‘อยากรู้’ มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เธอกำลังรู้สึก เธอกลัวแทบบ้าเลยต่างหาก ความรู้สึกนี้มันแปลกใหม่สำหรับเธอ ทุกครั้งที่หนังสือของเธอถูกตีพิมพ์ออกไป เธอไม่เคยสนใจความเห็นของนักอ่านหรือรีวิวของนักวิจารณ์เลย เธอเขียนนิยายเพราะเธอชอบ และก็เขียนในสิ่งอยากเขียน เธอไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือรางวัลหรือคำชมใดๆ แต่ในช่วงไม่กี่นาทีก่อนไฟในโรงภาพยนตร์จะหรี่ลง ทุกอย่างมันรู้สึกผิดแปลกไปหมด อาการปวดท้องและคอที่แห้งผากคือสัญญาณที่ชัดเจน

‘หวังว่าจะชอบนะครับ’ โปรดิวเซอร์บอกพร้อมรอยยิ้ม ฉันก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน ไรยาบอกตัวเอง เพราะถ้าเธอไม่ชอบ เธอต้องเตรียมคำชมปั้นแต่งไว้ตอบโปรดิวเซอร์ นักข่าว และที่แย่สุดเลยก็คือนักอ่านผู้ซื่อสัตย์ที่น่าจะรักหนังสือของเธอมากกว่าที่ผู้เขียนอย่างเธอรักเสียอีก

สำหรับนักเขียนแล้วการตีพิมพ์หนังสือก็เหมือนกับการคลอดลูก ซึ่งระยะเวลาตั้งท้องอันยาวนานนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก การดิ้นรน และอารมณ์มากมายที่หลั่งไหลท่วมท้น แต่ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของนักเขียน ซึ่งไรยามีอำนาจควบคุมเหนือกระบวนการทุกอย่าง แต่การส่งต่องานของเธอให้โปรดิวเซอร์เอาไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์นั้นให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังส่งต่อลูกในไส้ไปให้คนอื่นแก้ๆ ปรับๆ เล่น กระบวนการนี้ต้องอาศัยความไว้ใจเป็นอย่างมาก หรือบางทีก็ต้องมีการยอมจำนนเล็กๆ น้อยๆ คืนนั้นไรยาจะได้รู้ว่าความคาดหวังของเธอจะได้รับการเติมเต็มหรือไม่ และการรอลุ้นก็ทำให้เธอประหม่าอย่างไม่น่าเชื่อ

ผลคือเธอชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าที่คิดไว้ นักอ่านของเธอส่วนใหญ่ต่างก็ชื่นชม ตัวหนังเองก็ดังเปรี้ยงปร้าง ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ยาวถึงเจ็ดเดือน โดยมีผู้เข้าชมถึงสองล้านห้าแสนคน ถือว่าเป็นความสำเร็จสำหรับหนังอินโดนีเซียเลยทีเดียว ไรยาได้รับโบนัส เข้าร่วมโรดโชว์เพื่อโปรโมตหนัง ตามด้วยการได้รับข้อเสนอมากมายจากสตูดิโอภาพยนตร์ต่างๆ สำหรับโปรเจ็กต์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เธอต้องการมากที่สุดแต่กลับยังไม่สามารถทำได้ นั่นคือการกลับมาเขียนอีกครั้ง บางสิ่งบางอย่างในตัวเธอได้ขาดหายไป และมันทำให้เธอเขียนออกมาไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว งานเอิกเกริกทั้งหมดนี้กลับกลายเป็นทำให้เธอเสียสมาธิจนต้องหลีกหนีออกมา

แล้วเธอก็มาลงเอยที่สนามบินเจเอฟเคเมื่อสองเดือนก่อน ไรยาได้ทำตามการตัดสินใจที่จะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนั้น มันมีสาเหตุที่ใหญ่กว่านั้น และเธออยากลบมันออกไปจากความทรงจำเหนือกว่าสิ่งอื่นใด เป็นเหตุผลที่เธอไม่ได้อยากจำ โดยเฉพาะในคืนนี้ สองปีหลังจากเหตุการณ์นั้นพอดิบพอดี

เธอเลยมาอยู่ตรงนี้ บนเบาะหลังรถอูเบอร์ข้างๆ เอรินผู้กำลังผูกเสื้อโค้ตของตัวเองระหว่างที่รถมุ่งหน้าฝ่าเมืองแมนฮัตตันไปยัง…เอรินเรียกมันว่าอะไรนะ…‘ปาร์ตี้เล็กๆ กับเพื่อนที่ฉันรู้จัก บางคนเธอก็รู้จักอยู่แล้ว’

การเดินทางจากอพาร์ตเมนต์ของเอรินกับไรยาไปที่ลอฟต์ใช้เวลาแค่ห้านาที ชาวนิวยอร์กตัวจริงอาจเลือกที่จะเดินไป แต่ถ้าคุณใส่ชุดเดรสและต้องปะทะกับลมหนาวในแมนฮัตตัน การเดินนั้นก็คือการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง

“พวกคุณไปปาร์ตี้กันเหรอครับ” คนขับอูเบอร์ถาม

“ใช่ค่ะ” เอรินตอบ “คืนนี้พวกคุณคงยุ่งน่าดูเลยใช่ไหมคะ”

สองคนนั้นพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยขณะไรยามองออกไปนอกหน้าต่าง เธอนึกถึงชีวิตของตัวเองในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น รู้ดีว่าชีวิตมีไว้ให้ใช้ ให้สนุกสนาน ไม่ใช่ปล่อยให้ติดอยู่กับความกระวนกระวายร้อนใจของตัวเอง เธอรู้สึกใจหายวาบยิ่งกว่าเดิมพอนับจำนวนวันที่เธอแยกตัวมาอยู่คนเดียวในเมืองที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจนับล้านได้ หกสิบเก้าวัน หกสิบแปดคืน แต่กลับยังเขียนอะไรไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียว

‘คุณรอให้แรงบันดาลใจเกิดขึ้นเองไม่ได้หรอก คุณต้องไล่กวดมันด้วยไม้กระบอง’ แจ็ก ลอนดอนกล่าวไว้ นั่นคือสิ่งที่ไรยาพยายามทำมาตลอดหกสิบเก้าวันที่ผ่านมา การไล่ล่าหาแรงบันดาลใจในเมืองที่เป็นฉากหลังให้ภาพยนตร์และนิยายเป็นพันๆ เรื่อง มีบทความหนึ่งพูดถึงบรรดาภาพยนตร์ที่ใช้นิวยอร์กเป็นตัวละครหลัก และภาพยนตร์ที่ใช้มหานครแห่งนี้เป็นจุดสำคัญของเรื่อง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเล่าเรื่องราวเหล่านั้นในเมืองอื่นเพราะมันจะทำลายแก่นสำคัญของเนื้อเรื่อง อย่างเรื่อง ‘เชื่อมใจรักทางอินเตอร์เน็ต’ กำกับโดยนอร่า เอฟรอน ‘นงเยาว์นิวยอร์ก’ กำกับโดยเบลก เอ็ดเวิร์ดส์ ‘แท็กซี่มหากาฬ’ กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี และแน่นอน ‘โดดเดี่ยวผู้น่ารัก ภาค 2 ตอน หลงในนิวยอร์ก’ กำกับโดยคริส โคลัมบัส

ในแต่ละวัน เอรินจะออกไปทำงานขณะที่ไรยากำลังเปลี่ยนทุกมุมในเมืองให้กลายเป็น ‘ออฟฟิศ’ ของตัวเอง เธอเดินผ่านบรุกลิน ไทรเบกา โซโห เซ็นทรัลพาร์ก เคนซิงตัน ไชน่าทาวน์ หมู่บ้านกรีนิช ลิตเติ้ลอิตาลี ไปจนถึงควีนส์ คอยมองหาเสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวในทุกๆ มุม ในคนแปลกหน้าที่เดินผ่าน ในบทสนทนาที่บังเอิญได้ยิน ในดวงตาที่สบกันแม้เพียงไม่กี่วินาที ในท่วงท่าของคนแปลกหน้าในรถไฟใต้ดิน ในเสียงหัวเราะและถ้อยคำของเหล่าลูกค้าที่แลกเปลี่ยนกันในร้านกาแฟ ที่ที่เธอมักแวะพักเพื่ออบอุ่นร่างกายเวลาอากาศหนาวเกินทนหรือตอนที่ร่างกายอ่อนล้าเกินไป

ในทุกๆ วัน เวลาเดิม บ่ายสามโมงเป๊ะ เธอจะกลับมาที่อพาร์ตเมนต์และนั่งลงหน้าแล็ปท็อป ขณะไอพอดถูกตั้งให้เล่นเพลงในเพลย์ลิสต์ที่ฟังเป็นประจำอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง และในทุกๆ วัน แม้กระทั่งตอนที่เอรินกลับมาในสามหรือสี่ชั่วโมงถัดมา หน้าจอของไรยาก็ยังคงไม่มีอะไรนอกจากหน้ากระดาษสีขาวกับเคอร์เซอร์ที่กะพริบอยู่บนนั้น หน้ากระดาษเปล่า คำสัญญาที่ไม่ชัดเจนว่าจะได้รับการเติมเต็มเมื่อไหร่ คุณจะยังเรียกคนคนหนึ่งว่านักเขียนได้อยู่ไหมถ้าเขาไม่ได้เขียนอะไรมานานแล้ว เธอถามตัวเอง แล้วถ้าเขาเขียนไม่ได้ งั้นเขาจะเป็นใครล่ะ เธอเป็นใคร ก็ไม่ได้เป็นใครเลยน่ะสิ

“โอเค ถึงแล้ว ขอบใจมากนะแม็ตต์ ฝากทักทายลูกๆ ของคุณด้วย”

ไรยาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเอรินกับคนขับอูเบอร์ไปทำความรู้จักกันตอนไหน

“มาเร็ว อพาร์ตเมนต์ของเขาอยู่ชั้นเก้า” เอรินบอกระหว่างเดินนำไปอย่างรวดเร็ว เธอเปิดประตูตึก และผูกสายรัดเสื้อโค้ตให้แน่น “เขียนไปกี่หน้าแล้ววันนี้”

“ไม่ได้เลยสักหน้า ไอ้สภาวะเขียนไม่ออกเวรนี่จะทำฉันตายอยู่แล้ว”

“แหม อย่างน้อยเธอก็มีสภาวะเขียนไม่ออกในนิวยอร์ก ไม่ใช่เมืองเศร้าๆ ที่ไหน ใช่ไหมล่ะ” เอรินโอบไหล่เพื่อนสนิท “นี่ คืนนี้ไม่ต้องคิดเรื่องการเขียนหรอก ปาร์ตี้กันดีกว่า! ใครจะไปรู้ เธออาจจะพบแรงบันดาลใจในคืนนี้ก็ได้ จริงไหม เราไม่มีทางรู้หรอก”

“ก็อยากให้มันง่ายแบบนั้นนะที่รัก” ไรยาหัวเราะ ฉันหวังว่ามันจะง่ายแบบนั้นจริงๆ ไรยาบอกตัวเอง

“เท็ดดี้!”

“เอริน!”

เจ้าของงานกับแขกอย่างเท็ดดี้กับเอรินโผเข้ากอดกัน ในมือเขาถือขวดเบียร์อยู่ก่อนแล้ว

“นี่เพื่อนฉัน ไรยา”

“ไง ผมเท็ดดี้นะ เข้ามาเลย!”

ขณะที่ไรยาตามเอรินกับเท็ดดี้เข้าไปในอพาร์ตเมนต์ เธอก็รู้สึกแล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกับปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าจริงๆ ห้องที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้ากับดนตรีเสียงดังกระหึ่มไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้ เธอสงสัยว่าทุกคนที่นี่ทั้งที่กำลังหัวเราะและโยกตัวไปกับเสียงเพลงนั้นมีความสุขจริงๆ หรือเปล่ากับการต้อนรับปีใหม่

มันอาจจะฟังดูอคติไปหน่อย ไรยารู้ดี แต่เธอคิดว่าปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าเป็นแค่กับดัก เป็นภาพลวงตาของการเริ่มต้นใหม่ เป็นความรู้สึกจอมปลอมของการได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนที่ดีขึ้น เราไม่ควรยึดติดกับวันในปฏิทินถ้าเราอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตจริงๆ ถึงอย่างไรตัวเราเองก็คือคนที่รู้ว่าตอนไหนควรจะเริ่มเปลี่ยน และถ้าให้พูดตามตรง ผู้คนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมาในวันที่ 1 มกราคมด้วยความมึนงงและอาการเมาค้างกันทั้งนั้น วันทั้งวันก็ไม่มีอะไรทำนอกจากนอนขี้เกียจอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ว้าวอย่างที่คิดไว้ แล้วพอไปทำงานในวันต่อมา ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครตื่นมาแล้วกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพที่จะสามารถระเบิดไอเดียใหม่ๆ ออกมาได้ในทันทีหรอก

ปฏิทินไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินว่าคุณควรเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นเมื่อไหร่ แต่เป็นตัวคุณเองต่างหาก

“มาเร็ว มาเจอเพื่อนๆ ฉัน” เอรินพูดพร้อมดึงแขนไรยาด้วยความกระตือรือร้น เธอพาไรยาเดินไปรอบห้อง โปรยยิ้มไปทั่วและทักทายทุกคน รู้ตัวอีกที อีกสี่สิบนาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว ไรยานั่งพักบนโซฟาข้างเตาผิงพร้อมแก้วไวน์ในมือตามลำพัง เธอสังเกตไปทั่วทั้งห้องรวมถึงผู้คนที่อยู่ข้างใน ก่อนหน้านี้เอรินพูดว่าอะไรนะ ‘ใครจะไปรู้ เธออาจจะพบแรงบันดาลใจในคืนนี้ก็ได้’

อีกฟากหนึ่งของห้อง เอรินกำลังสนุกสนานตามสไตล์สาวนักปาร์ตี้ตัวยง ทั้งหัวเราะและเต้นรำไปกับผู้คน คนส่วนใหญ่ในงานคือชาวอินโดนีเซียที่อยู่นิวยอร์กมานานแล้ว บางคนก็ทำงานที่นี่ บางคนกำลังเรียนต่อในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรี ไรยาเคยเจออยู่สองสามคน ที่เหลือเป็นคนแปลกหน้าทั้งหมด

“ไง” ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็นั่งลงข้างเธอทัก “ไรยาใช่ไหมครับ”

ไรยาพยักหน้า เธอยิ้มระหว่างพยายามนึกชื่อของชายหนุ่มที่นั่งข้างเธอ

“อากา” ชายหนุ่มกล่าว

“โอ้ ใช่ อากา โทษทีค่ะ คืนนี้ฉันเจอคนเยอะมากเลย ฉันจำชื่อคนไม่เก่งจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับ” อากายิ้ม “เอรินบอกผมว่าคุณเป็นนักเขียน”

“ใช่ค่ะ”

“สุดยอดเลย! ผมไม่เคยเจอนักเขียนมาก่อน รู้ไหม ผมนึกว่านักเขียนจะดูเนิร์ดๆ แต่ดูคุณสิ” เขาพูด ชื่นชมเธออย่างไม่ปิดบัง

ไรยาหัวเราะ “ขอบคุณค่ะ”

“คุณจะอยู่นิวยอร์กอีกนานแค่ไหนเหรอครับ ยา ผมเรียกคุณว่ายาได้ใช่ไหม”

“ได้ค่ะ ไม่รู้สิคะ น่าจะอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อล่ะมั้ง”

“โอ้ ถ้างั้นคุณคงไม่ได้กลับหรอก คุณจะไม่มีวันเบื่อเมืองนี้ เมืองนี้ไม่มีวันน่าเบื่อ!” อากามองรายาและหัวเราะสดใส

“เหรอคะ ฉันแค่หนีมาพักช่วงสั้นๆ น่ะค่ะกา มาหาแรงบันดาลใจ แค่นั้นเลย”

“แล้วเจอรึยังครับ”

“อะไรเหรอคะ”

“แรงบันดาลใจน่ะ”

ไรยาส่ายหน้า มันอาจจะฟังดูเว่อร์ไปหน่อย แต่สภาวะเขียนไม่ออกไม่ต่างอะไรจากหมัดหนักๆ ที่อัดใส่เธอเลย บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้ว่าเธอรักการเขียนมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ บางครั้งสิ่งที่เรารักก็ทำให้เราทุกข์ได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ

“จะว่าอะไรไหมถ้าผมอยากจะช่วย” อากาบอก ดวงตาคมปลาบยังคงจับจ้องมาที่เธอ

“ช่วยเรื่อง…” ไรยากล่าว เสียงขาดหายไปในอากาศ

“ตามหาแรงบันดาลใจไงครับ”

ไรยาหัวเราะอีกครั้ง “ฉันก็อยากให้มันง่ายแบบนั้นนะกา”

“ผมพูดจริงนะ” ดวงตาของอากาวาววับเต็มไปด้วยพลังงาน “ผมอยากรู้ว่านักเขียนทำงานกันยังไง ปกติคุณหาไอเดียจากไหนเหรอยา”

ไรยายักไหล่ “มันก็ไม่แน่นอนหรอกค่ะ บางทีไอเดียก็ผุดขึ้นมาเอง บางทีก็มาจากสิ่งที่ได้อ่านหรือสิ่งที่ได้ดู หรือไม่ก็สิ่งที่ได้ฟัง”

“โอเค งั้นคุณอยากฟังอะไรไหมล่ะ”

“อะไรเหรอคะ”

“เรื่องราวชีวิตของผม”

อา…นี่คือโชคชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของนักเขียน ทุกครั้งที่คุณพบเจอผู้คนใหม่ๆ พวกเขาจะถามหนึ่งในสามคำถามนี้ หนึ่ง ‘โอ้ แล้วงานหลักของคุณคืออะไรล่ะ’ ราวกับการเขียนไม่ใช่งานเต็มเวลาอย่างนั้นแหละ สอง ‘ปกติคุณหาไอเดียจากไหนเหรอ’ ซึ่งอากาได้ถามไปแล้ว และสาม ‘คุณอยากฟังเรื่องราวชีวิตของฉันไหม มันอาจให้แรงบันดาลใจกับคุณก็ได้นะ’ คำถามข้อที่สามนี้เป็นคำถามที่ไรยาได้รับบ่อยที่สุดจากทั้งหมด เธอมักจะได้รับอีเมลจากนักอ่านจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถามว่า ‘ไรยา คุณเขียนเรื่องราวชีวิตของฉันได้ไหม’

คนที่ไม่คุ้นเคยกับอิสระของการเป็นนักเขียนย่อมไม่เข้าใจกระบวนการทั้งหมดนี้ พวกเขาไม่รู้ว่านักเขียนไม่ได้ทำงานเหมือนกุ๊ก คุณจะสั่งนักเขียนเหมือนสั่งข้าวผัดไม่ได้ ‘เอาหนึ่งที่ เผ็ดพิเศษ’ หรือ ‘เอาหนึ่งที่ เพลาๆ ซีอิ๊วขาวหน่อย ใส่พริกด้วย’ หรือ ‘เอาสองที่ จานหนึ่งเผ็ดๆ ใส่หอมแดง อีกจานใส่แค่ซีอิ๊วหวาน ไม่ใส่ผงชูรส’ แน่นอนว่ากุ๊กทำข้าวผัดตามที่คุณสั่งได้ แต่รู้ไหมว่าบางทีนักเขียนก็ไม่ได้อยากทำข้าวผัดสักหน่อย บางทีพวกเขาก็แค่อยากทำก๋วยเตี๋ยว

แต่ก่อนที่ไรยาจะตอบอะไรออกไป อากาก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว และไรยาปล่อยให้เขาเล่าไป อากาดูเป็นคนนิสัยดีและไม่มีพิษภัย แถมยังดูตื่นเต้นมากขณะเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองกับเธอ น่ารักดีเหมือนกัน

ไรยาเริ่มกังวลตอนเธอดูเวลา อีกห้านาทีจะเที่ยงคืนแล้ว ไอ้จูบส่งท้ายปีเก่าตอนเที่ยงคืนบ้าบอนั่น อากานั่งอยู่ข้างเธอ ไม่ว่าเขาจะหล่อแค่ไหน ไรยาก็ไม่ได้อยากจูบเขาแค่เพราะว่านี่เป็นวันส่งท้ายปีเก่า การจูบควรเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำในงานสาธารณะ

“หิวน้ำไหมครับ อยากได้อีกแก้วไหม” อากาถาม เขาชี้ไปยังแก้วไวน์ของเธอที่ใกล้หมดแล้ว

“เอาสิคะ แต่ไม่อยากดื่มไวน์แล้วค่ะ ฉันดื่มไปมากพอแล้ว”

“งั้นโค้กดีไหมครับ” อากาพูดพลางลุกขึ้นยืน

ไรยาพยักหน้า กะจะใช้โอกาสนี้ในการหายตัวไปสักพักจนกว่าจะเคานต์ดาวน์กันเสร็จ

“กา ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอคะ”

“เดินตรงไปจนสุดเลยครับ ประตูสุดท้ายด้านซ้าย”

เสียงเพลงดังเป็นจังหวะหนักหน่วง เสียงหัวเราะกับเสียงพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนส่งต่อแตรกับกระดาษสีให้กันและกัน ทีวีจอใหญ่บนผนังฉายภาพพิธีกรหนุ่มไรอัน ซีเครสต์ที่ไทม์สแควร์ ขณะกำลังรอชมการปล่อยลูกบอลยักษ์* เป็นที่ชัดเจนว่าไรยาต้องไปซ่อนตัวเดี๋ยวนี้

ไรยารีบเดินฝ่าผู้คนเข้าไปในห้องน้ำ เธอปิดประตูแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่ไปเปิดอ่านเมนชั่นในทวิตเตอร์ แต่ละข้อความที่ได้รับมีเนื้อหาไม่ได้ต่างกันเลย

 

‘สุขสันต์วันปีใหม่นะไรยา! ปล่อยเรื่องใหม่ออกมาได้แล้ว รอไม่ไหวแล้วค่า!’

‘ไง ไรยา เรารอเรื่องใหม่มาสองปีแล้วนะ ปีนี้ปล่อยออกมาสักเรื่องเถอะได้โปรด!’

‘ไรยา คุณไปทำอะไรที่นิวยอร์กเหรอ กลับถึงบ้านแล้วจะปล่อยเล่มใหม่ไหม เย่!’

‘ไรยา ได้โปรดเขียนเรื่องใหม่เถอะนะ ฉันอ่านนิยายเรื่องล่าสุดของคุณไปยี่สิบรอบจนมันขาดแล้วเนี่ย คิดถึงการได้อ่านงานใหม่ๆ ของคุณจัง’

 

ฉันก็เหมือนกัน เด็กน้อย ฉันก็เหมือนกัน ไรยาคิดในใจ

ย้อนกลับไปช่วงนั้น ไรยามักจะตื่นเต้นเสมอกับการอ่านเมนชั่นในทวิตเตอร์ แถมยังตอบกลับอย่างกระตือรือร้นด้วย ‘ไง ขอบคุณที่อดทนรอนะ ฉันยังหาไอเดียใหม่ๆ อยู่เลย’ แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การอ่านเมนชั่นกลับก่อให้เกิดความเศร้าบางอย่างภายในใจ เธอรู้สึกถึงหน้าที่ความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง บางคำถามมีแต่เธอที่ให้คำตอบได้ แต่ในบางครั้งเธอก็ไม่มีคำตอบให้จริงๆ

แล้วถ้าเธอตอบไม่ได้ ใครจะตอบได้ล่ะ

‘เธอเครียดเรื่องสภาวะเขียนไม่ออกนี่จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย’ เอรินถามเธอเมื่อสี่วันที่แล้วระหว่างช่วยกันล้างจานในครัว สองชั่วโมงก่อนหน้านั้นเอรินเห็นไรยานั่งกุมหัวหน้าแล็ปท็อป ท่าทางท้อแท้และแพ้พ่าย

‘เออดิ แย่อะ’ ไรยายอมรับ เธอเช็ดจานที่เพิ่งล้างเสร็จให้แห้ง

‘มันเคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อไหร่’

‘สภาวะเขียนไม่ออกน่ะเหรอ นานแล้วล่ะ ก่อนเขียนเรื่องล่าสุด’

‘โอเค แสดงว่ามันจะหายไปใช่ไหม เธอผ่านมันมาได้นี่’ เอรินกล่าว เอาแขนชนไรยาเบาๆ ‘ฉันแน่ใจว่าในท้ายที่สุดเธอจะกลับมาเขียนได้’

‘ในท้ายที่สุด’ คำนี้มันไม่มักง่ายไปหน่อยเหรอ ‘ในท้ายที่สุด’ ไม่ใช่ทางออกของปัญหา ไรยาจะเอาความหลงใหลทั้งหมดของตัวเองไปฝากไว้กับคำว่า ‘ในท้ายที่สุด’ ไม่ได้

“สิบ! เก้า! แปด! เจ็ด! หก! ห้า! สี่! สาม! สอง! หนึ่ง! สุขสันต์วันปีใหม่!!!”

“สุขสันต์วันปีใหม่” ไรยาพึมพำกับตัวเองขณะมองเงาสะท้อนในกระจก “มาผ่านคืนนี้ไปให้ได้กันเถอะ”

เธอเติมลิปสติกกับแป้งแบบไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เมื่ออยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งล่าสุดที่ได้จูบหรือถูกจูบจากใครสักคนในแบบที่สาววัยยี่สิบเก้าควรจูบหรือได้รับจูบน่ะผ่านมานานขนาดไหนแล้ว แต่ใครจะไปมีเวลาให้ความรักล่ะ ผู้ชายคนล่าสุดที่เธอรักยิ่งกว่าสิ่งใดเกลียดอาชีพของเธอเข้าไส้ และไรยาก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะรักคนที่เกลียดสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณของเธออย่างการเขียนได้ยังไง

ไรยาเดินออกจากห้องน้ำ แต่ปาร์ตี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงเร็วๆ นี้

“โอ๊ย!”

เธอรู้อยู่แล้วว่ารองเท้าส้นสูงปรี๊ดของเธอคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่มันเป็นรองเท้าที่เหมาะกับการใส่มาปาร์ตี้คู่เดียวที่เธอเอามานิวยอร์กด้วย ไรยาเดินเซเข้าไปในห้องมืดๆ ข้างห้องน้ำแล้วมองหาโซฟาหรืออะไรสักอย่างที่เธอจะสามารถนั่งลงเพื่อดูอาการเท้าซ้ายของตัวเองได้ อ่า…นั่นไงโซฟา ไรยาถอนหายใจโล่งอก

“ไปโดนอะไรมาครับเนี่ย”

ไรยาตกใจ เธอหยุดนวดเท้าแล้วมองหาต้นเสียงของผู้ชายในห้องมืดๆ นี่ ก่อนจะเจอดวงตาคู่หนึ่งจ้องมาจากมุมหนึ่งของห้อง ห่างไปเพียงสิบสองฟุตจากจุดที่เธอนั่งอยู่ ร่างนั้นลุกขึ้น ใบหน้าของเขายังถูกความมืดบดบัง สิ่งเดียวที่ไรยามองเห็นคือเสื้อสเว็ตเตอร์สีเทากับกางเกงยีน ถุงเท้าสีเขียวเปล่าๆ ไม่ใส่รองเท้า ในที่สุดเธอก็เห็นหน้าของเขาจากแสงที่สะท้อนจากหน้าต่างในห้อง เขากำลังเดินมาหาเธอ

สิ่งแรกที่เธอเห็นคือสายตาคมปลาบใต้คิ้วดกหนา เย็นชาแต่ไม่ดุร้าย

“คุณโอเคไหม” เขาถามและคุกเข่าลงตรงหน้าไรยา น้ำเสียงฟังดูเป็นกังวล

ทั้งคู่สบตากันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะเบนสายตาไปที่ข้อเท้าของไรยาทันที

ตัวตนของชายหนุ่มคนนี้ทำให้ไรยารู้สึกเหมือนโดนสะกด เธอไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ เธอพยายามนึกว่าได้ทำความรู้จักกับเขาไปหรือยังก่อนหน้านี้ เธอไม่มีทางลืมเขาแน่ เขาทั้งดูน่าทึ่งและสง่างาม นี่เขาอยู่ในห้องนี้คนเดียวทั้งคืนเลยเหรอ

“อืม ฉันไม่เป็นไรค่ะ น่าจะข้อเท้าเคล็ดนิดหน่อย” ไรยาตอบ

“อ้อ”

เขาพูดแค่นั้น แต่ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าไรยา เขามองเธออีกครั้ง สายตาล้ำลึกของเขาทำเธอประหม่าในทันที

“มีอะไรที่คุณอยากได้ไหม” เขาถาม ถึงจะไม่ได้ยิ้ม แต่กลับมีความอบอุ่นบางอย่างอยู่ภายในตัวเขา

ไรยาส่ายหน้า “แค่อยากนั่งพักสักหน่อยน่ะค่ะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร” ไรยารู้สึกว่าต้องขออนุญาตก่อนเพราะเธอบุกรุกเข้ามาในที่ซ่อนของเขา ถ้าเขาซ่อนตัวอยู่น่ะนะ

“ได้เลยครับ” เขาตอบสั้นๆ ชายหนุ่มลุกขึ้น เปิดโคมไฟบนโต๊ะข้างโซฟาที่ไรยานั่งอยู่ แล้วกลับไปยังเก้าอี้ตรงมุมห้อง ที่ที่ไรยาพบเขาก่อนหน้านี้ เขาหยิบสมุดสเก็ตช์เล่มใหญ่กับดินสอจากโต๊ะข้างกายราวกับไรยาไม่ได้อยู่ในห้องนี้ จมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง วาดภาพลงบนสมุดสเก็ตช์ด้วยดินสอแท่งนั้นโดยไม่สนใจไรยาอีก

เขาวาดรูปเหรอ ไรยาถามตัวเอง ทำไมถึงวาดในที่มืดๆ แบบนี้ล่ะ

“ไม่ไปปาร์ตี้กับคนอื่นเหรอคะ” ไรยาถามออกไปในที่สุด พยายามทำลายความเงียบชวนอึดอัดระหว่างเธอกับคนแปลกหน้าในห้องที่ไฟสลัว ข้อเท้าเธอปวดเกินกว่าจะขยับได้ และด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอรู้สึกเหมือนมันเป็นความรับผิดชอบของเธอที่ต้องทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อตัวเธอเอง

“ผมไม่ชอบปาร์ตี้” เขาตอบอย่างสุภาพแต่สั้นกระชับราวกับไม่ได้อยากต่อความยาวสาวความยืด ยังคงโฟกัสกับสมุดสเก็ตช์ตรงหน้า

ถ้าไม่ชอบปาร์ตี้ แล้วมาที่นี่ทำไมล่ะ ไรยาคิดในใจ ก่อนจะนึกได้ว่าคำถามนี้ก็ใช้กับตัวเองได้เช่นกัน

ทั้งสองนั่งเงียบๆ ไปราวแปดถึงสิบนาที ในห้องมีแค่เสียงดินสอขีดเขียนลงในสมุดสเก็ตช์ที่แทบจะโดนเสียงดนตรีข้างนอกกลบหมดเท่านั้น ในที่สุดไรยาก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“คุณชอบวาดรูปเหรอคะ”

ชายหนุ่มเลื่อนสายตาขึ้นมองไรยาเล็กน้อยแล้วกลับไปสนใจรูปวาดของตัวเองต่อ ไรยาพลันคิดได้ว่าคำถามของเธอฟังดูโง่และไร้สาระมากแค่ไหน

“คุณวาดอะไรอยู่เหรอคะ” ไรยาถามอีกที เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบให้เห็นอยู่ทนโท่แบบเมื่อกี้

“ตึกฝั่งตรงข้ามครับ”

ไรยาหันไปทางหน้าต่างบานใหญ่ตรงข้ามพวกเขา ด้านนอกมีตึกอพาร์ตเมนต์กำแพงอิฐสีแดงตั้งอยู่ แต่ละห้องมีหน้าต่างบานกว้างไว้มองวิวข้างนอก บางบานก็มืด บางบานก็สว่างจากแสงไฟด้านใน บางบานปิดม่านไว้ บางบานมีม่านคลุม

“ขอดูได้ไหมคะ”

ชายหนุ่มมองไรยาสองวินาทีราวกับกำลังชั่งใจว่าจะตอบอย่างไร จากนั้นเขาก็โชว์สมุดสเก็ตช์ให้หญิงสาวที่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวดู ไรยาเห็นแค่แวบเดียว แต่ภาพวาดนั้นกลับทำให้เธอตะลึงแม้แสงในห้องจะสลัวมากก็ตาม

“สวยมากเลยค่ะ!” เธอพูดออกไปโดยอัตโนมัติ

สาบานได้ว่าไรยาเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของศิลปินยามค่ำคืนแวบหนึ่ง รอยยิ้มน้อยๆ ที่คงอยู่เพียงวินาทีเดียว

“ขอบคุณครับ”

“ปกติคุณวาดในที่มืดๆ เหรอคะ”

ไรยาห้ามตัวเองไม่ได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง มีคำถามมากมายในใจที่เธออดถามออกมาไม่ได้

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ผมปิดไฟเพื่อไม่ให้คนในปาร์ตี้เข้ามาในนี้น่ะครับ ผมต้องการพื้นที่ส่วนตัว”

“จริงสิ ฉันชื่อไรยานะคะ” ไรยาบอกด้วยความคาดหวังว่าเขาจะแนะนำตัวเองกลับมา

แต่เขาแค่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ชื่อเพราะนะครับ”

“ขอบคุ…”

“เฮ้ คุณอยู่นี่เอง!” อยู่ดีๆ อากาก็โผล่เข้ามาในห้อง “อ้าว เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” เขาถามพอเห็นว่าไรยากำลังนวดข้อเท้าตัวเองอยู่

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่สะดุดนิดหน่อย ไม่เจ็บแล้วค่ะ”

“ให้ผมช่วยอะไรไหม” อากาเสนอ

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเค ขอบคุณนะคะกา”

“คุณอยากนั่งพักที่นี่หรือจะลองลุกขึ้นยืนดีครับยา” ไรยาเหลือบมองชายหนุ่มตรงมุมห้องโดยสัญชาตญาณ อากามองตามสายตาเธอ

“โอ้ คุณเจอพี่ชายผมแล้ว”

พี่ชายเหรอ

พี่ชายของอากายังคงจดจ่ออยู่กับสมุดสเก็ตช์กับดินสอ

“มาสิครับ เดี๋ยวผมช่วยพยุง” อากายื่นแขนให้ไรยา “ค่อยๆ นะครับ เห็นไหม ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”

ไรยาพยักหน้า ปล่อยให้อากาพาเธอเดินออกไปจากห้อง ห้องที่ไม่เพียงซ่อนศิลปินยามค่ำคืนเอาไว้ แต่ยังซ่อนเรื่องราวของเขาไว้ด้วย

 

* ธรรมเนียมเคานต์ดาวน์ที่ไทม์สแควร์โดยการปล่อยลูกบอลคริสตัลขนาดยักษ์ร่วงลงมาจากเสาที่มีความสูง 130 ฟุต

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: