บทที่ 105
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด หลีซูซูค่อยๆ ตระหนักถึงข้อดีของการล้างกระบี่
เคล็ดกระบี่เหิงหยางเด็ดขาดเฉียบคม เน้นความกล้าหาญ เคล็ดกระบี่ชิงหงกลับเน้นทำความเข้าใจเจตจำนงของกระบี่ กระบี่ในมือนางที่บางดุจปีกจักจั่นสั่นรัว ความรู้สึกลึกล้ำบางอย่างถูกถ่ายทอดเข้ามา
นี่คือเจตจำนงกระบี่หรือ
ว่ากันว่าเคล็ดกระบี่ชิงหงหากฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด เจ้าของกระบี่จะสามารถสื่อสารกับกระบี่ได้ วันใดวันหนึ่งข้างหน้าไม่แน่อาจสามารถบ่มเพาะวิญญาณกระบี่ขึ้นมา
นางเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อตระหนักถึงเคล็ดลับบางอย่าง ก็ไม่ต่อต้านการล้างกระบี่อีก ไม่ต้องให้ชังจิ่วหมินคอยชี้แนะก็เป็นฝ่ายตั้งใจล้างกระบี่เอง
นางล้างกระบี่อยู่ริมสระ ชังจิ่วหมินนั่งขัดสมาธิมองนางอยู่ใต้ต้นไม้
เดิมทีหลีซูซูคิดว่าตนเองต้องถูกขังอยู่ในสระล้างกระบี่นานมาก คิดไม่ถึงว่าเพียงเดือนกว่าชังจิ่วหมินก็ปล่อยนางออกจากสระล้างกระบี่แล้ว
เมื่อออกไปจึงรู้ว่าไฉ่ซวงเนื่องจากไอเย็นในบ่อโยวปิงเข้าสู่ร่างกาย ถูกทรมานแทบตายทั้งเป็นไม่กี่วันก่อนถูกประมุขตงอี้พาตัวไปแล้ว เปรียบเทียบกัน หลีซูซูกลับยังกระโดดโลดเต้นได้ ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย
ศิษย์สำนักเผิงไหลพบหลีซูซูแล้วยังคารวะนางด้วยความเกรงใจ หลีซูซูถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ตนถีบไฉ่ซวงกลับลงไปในบ่อโยวปิงอีกครั้งในวันนั้นมิได้แพร่ออกไป
พอพบเจอลูกศิษย์ที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นและโมโหนาง สีหน้าของพวกเขากลับฉายแววหลบเลี่ยง เห็นหลีซูซูก็ประสานมือคารวะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หืม? ศิษย์สำนักเผิงไหลเป็นมิตรถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ผ่านไปไม่กี่วัน ตอนอยู่ในป่าซิ่งมีศิษย์ชายผู้หนึ่งหน้าแดงเอ่ยปากเชิญหลีซูซูไปชมการแลกเปลี่ยนวิชาของศิษย์สำนักเผิงไหล
หลีซูซูคิดในใจ หากกราบอาจารย์สำเร็จ คงย่อมต้องอาศัยอยู่ในแดนเผิงไหลอีกนาน การสานสัมพันธ์กับคนในสำนักไว้ก่อนเป็นเรื่องจำเป็น
นางจึงตอบรับคำเชิญของเขาด้วยความยินดี
ศิษย์ชายผู้นั้นอ่อนน้อมมีมารยาท ทั้งยังเขินอายเล็กน้อย ยิ้มแย้มพูดคุยกับหลีซูซูตลอดทาง คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันออกจากป่าซิ่ง หักเลี้ยวแล้วจะพบกับชังจิ่วหมินที่ตีหน้าเย็นชาเสียก่อน
ศิษย์ชายเปลี่ยนท่าทีเป็นสำรวมทันใด รีบเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คารวะอาจารย์อาจิ่วหมิน”
สายตาของชังจิ่วหมินกวาดผ่านหลีซูซูไปหยุดอยู่ที่ศิษย์ชายผู้นั้น
“เจ๋อตวน ศิษย์คนอื่นๆ ต่างฝึกกระบี่เตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบ แต่เจ้ากลับเห็นการทดสอบเป็นเรื่องเล่นๆ เช่นนี้หรือ”
เจ๋อตวนได้ยินน้ำเสียงเคร่งขรึมเย็นชาของเขาก็รู้ว่าอาจารย์อาจิ่วหมินโมโหแล้ว
การทดสอบในแดนเผิงไหลที่จัดขึ้นทุกสิบปี ลูกศิษย์ทุกคนล้วนต้องเข้าร่วม จากนั้นผู้ชนะจะต้องต่อสู้กับเจ้ากระบี่คนก่อน หากขายหน้าในการทดสอบ มิเพียงเป็นการทำให้อาจารย์เสียหน้า ยังต้องถูกลงโทษเพราะความเกียจคร้านอีกด้วย
เจ๋อตวนรีบอธิบาย “ขอเรียนอาจารย์อาจิ่วหมินว่าช่วงนี้ศิษย์ฝึกฝนกระบี่อยู่ตลอดเวลาขอรับ”
บนเกาะเผิงไหล ทุกคนต่างกลัวอาจารย์อาจิ่วหมินที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นี้ เจ๋อตวนก็ไม่เว้น
หลีซูซูเห็นดังนั้นจึงรีบพยักหน้า พูดแทนเจ๋อตวนว่า “เขาพูดมิผิด เขาไม่ได้ละเลยการฝึกฝน”
เดิมทีเจ๋อตวนเห็นว่าท่านเซียนหรงขุยยังไม่ออกจากการเก็บตัว เกรงว่าตนอยู่ในเผิงไหลจะรู้สึกเบื่อ จึงมาเชื้อเชิญด้วยความหวังดี ตอนนี้เขาหน้าซีดเผือด ดูแล้วน่าสงสารโดยแท้
พอนางเอ่ยปาก สีหน้าของชังจิ่วหมินก็บึ้งตึงกว่าเดิมหลายส่วน
นัยน์ตาดำเข้มเลื่อนจากเจ๋อตวนมายังหลีซูซู เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าอบรมศิษย์สำนักเผิงไหล เจ้ามีสิทธิ์สอดปากตั้งแต่เมื่อไร”
หลีซูซูอดพูดมิได้ “ไม่แน่วันหน้าข้าอาจจะเป็นศิษย์สำนักเผิงไหลก็ได้”
ชังจิ่วหมินหัวเราะเสียดสี “ปณิธานของหลีเซียนจื่อหาได้อยู่ที่กระบี่เซียนไม่ เผิงไหลของข้าก็มิอาจยอมรับบุคคลโง่เขลาเช่นเจ้า ล้างกระบี่พันเล่มเสร็จแล้ว ยังไม่เข้าใจเจตจำนงกระบี่ กลับก่อกวนจนศิษย์สำนักเผิงไหลของข้าไม่คิดแสวงหาความก้าวหน้า มิสู้หลีเซียนจื่อกลับสำนักเหิงหยางไปเสียเถิด”
หลีซูซูเอียงคอมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นางมิได้โกรธมากนัก ชังจิ่วหมินเป็นคนโมโหง่าย อารมณ์แปรปรวนเช่นนี้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สระล้างกระบี่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่ได้เป็นคนช่างเสียดสีเหน็บแนมเช่นนี้ ตอนที่หลีซูซูบอกว่านางเพียงสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่เท่านั้น ยังมิอาจทำความเข้าใจ เขายังบอกว่าไม่เป็นไร
หลีซูซูคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนดีขึ้นแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าวันนี้พบเขาโดยบังเอิญ ชังจิ่วหมินกลับมีท่าทีเย็นชาดังเดิม แม้กระทั่งแววตายังเจือหนามแหลมทิ่มแทงคน
ทั้งสองคนจ้องตากัน