จุติรัก พลิกชะตาร้าย
ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 89-90
หลี่เจาเกอเบิกตาโตอย่างอับจนถ้อยคำ คิดในใจว่าคนเหล่านี้ลีลามากเกินไปแล้ว หากเจ้าสาวคือนาง งานนี้ไม่แต่งก็ได้ เมื่อครู่คนทั้งหมดกำลังรอสี่เหนียงออกโจทย์ มีหลี่เจาเกอผู้เดียวเดินมุ่งออกไปจึงดูสะดุดตาไม่ธรรมดา สี่เหนียงเห็นท่าทางจะจากไปของหลี่เจาเกอจึงคลี่ยิ้มเอ่ยกู้สถานการณ์ “เห็นทีว่าราชบุตรเขยหมายยลโฉมเจ้าสาวคนงาม องค์หญิงเซิ่งหยวนคือคนแรกที่ไม่เห็นพ้อง องค์หญิงเซิ่งหยวน การทดสอบเชิงบู๊ท่านมาออกโจทย์เป็นอย่างไร”
หลี่เจาเกอยืนอยู่กับที่ในอาการงงงวย เกาจื่อฮั่นเห็นเช่นนั้นรีบเอ่ยกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “เมื่อครู่เป็นเพราะเซิ่งหยวนดีใจมากเหลือเกิน วันมงคลอย่าให้เสียความปรองดอง เอาอย่างนี้เถิด ใช้ธนูมงคลสามดอก ผู้ใดยิงดอกไม้แพรแดงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามลงมาได้ก่อน ผู้นั้นชนะ เช่นนี้ดีหรือไม่เล่า”
เห็นผู้ออกโจทย์เชิงบู๊คือหลี่เจาเกอ เฉวียนต๋าพลันรู้สึกว่าเขาผู้นี้คงจะเป็นราชบุตรเขยไม่ได้แล้ว องค์หญิงเซิ่งหยวนคือผู้ใดกัน นางฆ่าภูตหมีดำโดยลำพัง จับอาชาเพลิงในเทศกาลซั่งหยวน ยิงสังหารปีศาจนกหลัวช่าด้วยคันธนูเพียงคันเดียว ให้เขาเฉวียนต๋าประลองยิงธนูกับนางเช่นนั้นหรือ
มิสู้เขาไปเกิดใหม่ ชั่วดีอย่างไรยังมีความหวังมากกว่า
ทว่าผู้อื่นกลับผสมโรงโดยไม่สนว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก พร้อมใจกันปรบมือโห่ร้องว่าดี อีกด้านหนึ่งหลี่เจาเกอขมวดคิ้วลอบถามเกาจื่อฮั่นว่า “ธนูสามดอกยิงเข้าเป้าหรือยิงไม่เข้าเป้าดี”
เกาจื่อฮั่นปั้นรอยยิ้มไว้ แย้มขยับริมฝีปากเพียงเล็กน้อย “หากเจ้าอยากให้พิธีแต่งงานนี้ดำเนินต่อไป เช่นนั้นก็ต้องยิงไม่เข้าเป้า”
หลี่เจาเกอขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ยิงธนูพลาดเป้าติดกันทั้งสามดอก? นี่แกล้งกันเกินไปกระมัง
ตั้งแต่นางแปดขวบน้าวคันธนูได้ก็ยังไม่เคยยิงพลาดเป้า ขณะนี้นางข้าหลวงนำเกาทัณฑ์คันธนูที่พันด้วยผ้าไหมแดงยื่นส่งมาตรงหน้านางแล้ว นางถือมันไว้พร้อมสีหน้าอมทุกข์
กู้หมิงเค่อได้ยินคำสนทนาของพวกนางอย่างครบถ้วนจึงอมยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาทอประกายจางๆ ชำเลืองมองหลี่เจาเกอด้วยความขบขัน
เกาจื่อฮั่นทางหนึ่งส่งสายตาให้หลี่เจาเกอ อีกทางหนึ่งเอ่ยเสียงกังวาน “เอาล่ะ องค์หญิงเซิ่งหยวนจะยิงธนูดอกแรกก่อน ราชบุตรเขยเฉวียน ท่านเตรียมตัวให้พร้อม”
คนทั้งหมดมองมาทางหลี่เจาเกอ นางฝืนใจง้างคันธนู น้าวมันจนสุดได้อย่างง่ายดาย บรรดาเด็กหนุ่มที่มาก่อกวนห้องหอเห็นเช่นนี้ก็พลันเปล่งเสียงโห่ร้องชื่นชม ทำเอาเกาจื่อฮั่นหนังศีรษะชาหนึบ ต้องรีบกระแอมหนึ่งที กระซิบบอกหลี่เจาเกอว่า “เบามือหน่อย”
หลี่เจาเกอจำต้องพยายามผ่อนคันธนู เผยจี้อันเห็นสีหน้านางเพียรข่มกลั้น แววตาค่อยๆ อ่อนลง พาให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกเลื่อนลอยอย่างอธิบายไม่ถูก
ชาติก่อนนางมักเย็นชาอยู่เสมอ ราวกับในชีวิตของนางนอกจากราชสำนักก็คือการฝึกยุทธ์ เขาเคยเห็นนางเผยท่าทางเปี่ยมสีสันชีวิตเช่นนี้เมื่อไรกัน เปรียบกับชาติก่อนแล้ว นางในตอนนี้สิคล้ายแม่นางน้อยวัยสิบเจ็ดยิ่งกว่า
ยามนี้หวนทบทวนดูเพิ่งตระหนักได้ว่าในภาพจำชาติก่อนของเขา ดูเหมือนนางไม่เคยยิ้มสักเท่าใด เขาตะลึงงัน จมอยู่กับความคลางแคลงอย่างห้ามไม่อยู่…ชาติก่อนนางแต่งงานกับเขามีความสุขจริงๆ หรือไม่
หลี่เจาเกอกำลังง้างคันธนู แสนลำบากใจว่าควรอ่อนข้อเช่นไรให้แลดูไม่จงใจถึงเพียงนั้น ขณะกลัดกลุ้มหางตานางกวาดเห็นเงาดำวาบขึ้นที่ด้านข้าง สัญชาตญาณบอกให้นางระวังป้องกัน ทว่าในมือนางถือเกาทัณฑ์คันธนูอยู่ เมื่อถูกถ่วงเช่นนี้ท่วงท่าของนางจึงช้าลง
เผยจี้อันที่ใจลอยอยู่กับความทรงจำในชาติก่อนพลันเห็นแมวดำตัวหนึ่งกระโจนไปหาหลี่เจาเกอ แมวดำตัวนั้นท่าร่างปราดเปรียวยิ่งยวด อุ้งเท้ากางกรงเล็บสีเขียวเข้ม เพียงมองปราดก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งปกติ เขาตื่นตกใจจะพุ่งไปบังข้างกายนางโดยจิตใต้สำนึก “ระวัง!”
ทว่าทันทีที่เผยจี้อันเพิ่งขยับตัวกลับมีเงาคนผู้หนึ่งวาบผ่านเบื้องหน้าสายตาไป คนผู้นั้นสวมชุดผ้าดิ้นสีฟ้าเมฆ ท่ามกลางพื้นหลังสีฉูดฉาดของงานแต่งนี้แลดูอ่อนจางดุจแสงจันทร์ริ้วหนึ่ง เป็นกู้หมิงเค่อไปโอบไหล่หลี่เจาเกอไว้ เขาพานางไปอยู่ด้านหลังของตนเอง มืออีกข้างถือพัดจีบ ใช้สันพัดสกัดการโจมตีของแมวดำไว้ได้ กรงเล็บแมวครูดกับสันพัดซึ่งทำจากไม้บังเกิดเสียงบาดหู ตอนนี้หลี่เจาเกอตอบสนองได้แล้ว นางโยนเกาทัณฑ์คันธนูทิ้งหมายจะชักกระบี่ ทว่าเพิ่งขยับแขนเล็กน้อยกลับร้องซี้ดด้วยความเจ็บปวด
เดิมทีกู้หมิงเค่อคิดจะตอบโต้แมวดำตัวนั้น แต่พอได้ยินเสียงของหลี่เจาเกอ เขาก็รีบเหวี่ยงแมวดำออกห่าง แล้วก้มหน้าลงมองนาง “เป็นอะไรไป”
หลี่เจาเกอกุมต้นแขนไว้ ส่ายหน้าตอบว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไร”
เห็นนางทำหน้าราวไม่หนักหนา เขาก็หน้าขรึมกุมข้อมือนางไว้ นางอยากจะปัดป้อง ทว่ายังไม่ทันขัดขืนก็ถูกเขาดึงมือออกเสียแล้ว เขาเห็นได้ในปราดเดียวว่าเสื้อนางมีรอยเลือดซึม บนแขนปรากฏรอยตะปบสามริ้วเด่นชัด
นางดึงแขนเสื้อเบาๆ ใช้แขนกว้างของเสื้อนอกบดบังบาดแผลก่อนกล่าว “แค่รอยแมวข่วนเท่านั้น อีกสองวันก็ดีขึ้นเอง”
กู้หมิงเค่อยังคงกุมข้อมือนาง ไม่รู้ควรว่ากล่าวนางเช่นไรดี นางถือดีเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าบาดเจ็บหรือป่วยไข้ล้วนไม่พูดออกมา มักคิดจะแก้ไขด้วยตนเอง เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าอุปนิสัยเช่นนี้ไม่เรื่องมาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าน่าโมโห
หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่ตอนจะชักกระบี่นางพลั้งกระเทือนถูกบาดแผล กลบเกลื่อนไม่ทัน นางคงไม่บอกผู้อื่นแน่นอนว่าตนเองถูกแมวตะปบบาดเจ็บ เขาข่มความโกรธไว้พลางถาม “บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง แมวตัวนี้ไม่ใช่แมวสามัญ กรงเล็บอาจมีพิษปีศาจ”
“ข้ารู้” หลี่เจาเกองึมงำเสียงเบา แมวที่กระโจนมาถึงตัวนางได้จะเป็นแมวสามัญได้อย่างไร เกรงว่าพลังปีศาจของมันจะไม่ใช่น้อย นางขยับข้อมือพบว่าเขายังกุมข้อมือนางอยู่จึงเงยหน้าขึงตาใส่อย่างอดไม่ได้
กู้หมิงเค่อพลันตระหนักได้ว่าตอนนี้อยู่ในที่ชุมนุมชน รอบด้านห้อมล้อมด้วยแขกเหรื่อมากมาย ต่อให้เขาอยากช่วยดูแผลให้นางก็ไม่อาจทำได้ อันที่จริงเขาเพียงต้องการขับพิษปีศาจให้นางเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่น ทว่ามนุษย์คิดอ่านซับซ้อน เกรงว่าอาจจะไม่เชื่อ
เขาจึงได้แต่คลายมือ นางชักมือตนเองคืนมา รีบหมุนข้อมือยืดเส้นสาย คิดในใจว่าเขายังอุตส่าห์แสร้งทำเป็นบัณฑิตอ่อนแออยู่อีก คนป่วยที่จับแต่ด้ามพู่กันชั่วนาตาปีผู้หนึ่งจะมีพละกำลังแบบเมื่อครู่ได้หรือ