จุติรัก พลิกชะตาร้าย
ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 89-90
บทที่ 90 เหตุขัดแย้ง
ไม่ทันไรข่าวหลี่เจาเกอถูกจู่โจมก็แพร่สะพัดไปทั่ว วันรุ่งขึ้นระหว่างนางไปยังที่ทำการจึงถูกผู้คนรายทางจับจ้อง คนเหล่านี้อยากจะดูก็ดูอย่างผ่าเผยสิ กลับกระมิดกระเมี้ยนจะแอบก็ไม่ใช่ ไม่แอบก็ไม่เชิง ตลอดทางนางฝืนข่มอารมณ์วู่วามเอาไว้ รอจนเข้ามาในกองงานปราบปีศาจจึงไม่อำพรางความหงุดหงิดอีก
เดิมทีคนของกองงานปราบปีศาจกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้เต็มท้อง อยากจะสืบข่าว แต่พอนางเข้าประตูมา เห็นบนร่างนางแผ่ไอยะเยือกดุจคมดาบ พวกเขาก็ไม่มัวพูดพร่ำพากันวิ่งหายไปทั้งหมด หลี่เจาเกอได้อยู่สงบๆ ครึ่งวันอย่างหาได้ยาก จวบจนยามบ่ายนางได้ยินคนในเขตวังชั้นนอกโจษกันว่าทูตถู่ปัวกำลังจะมา
กล่าวให้ถูกต้องคือ…กำลังจะมาอีกแล้ว
ปีนี้คณะทูตถู่ปัวเพิ่งอำลาราชธานีตะวันออกไปเมื่อเดือนสอง รอจนกลับถึงถู่ปัว ต้าก้งลุ่นเล่าการเดินทางเยือนต้าถังให้จั้นผู่ฟัง จั้นผู่ได้ฟังแล้วแสนจะใฝ่ฝันถึงจึงส่งคณะทูตมาต้าถังอีกครา ว่ากันว่าทูตถู่ปัวมาหนนี้หมายจะสู่ขอองค์หญิงต้าถังองค์หนึ่งกลับถู่ปัวไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
หลี่เจาเกอฟังจบก็เพียงหัวเราะเยาะเบาๆ ฝันไปเถอะ นับแต่ต้าถังสถาปนาแคว้นไม่เคยให้องค์หญิงที่แท้จริงไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ กระทั่งช่วงยากเข็ญที่สุดต้นรัชศกอู่เต๋อ ยังไม่มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เลย นับประสาอะไรกับตอนนี้
ชาวถู่ปัวออกจะคิดฝันเก่งเกินไปแล้ว
ทว่าดูแคลนส่วนดูแคลน ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ฮ่องเต้ไม่มีประสงค์จะก่อศึก ชาวถู่ปัวมาถึงราชสำนัก อย่างไรก็ต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี วันที่สิบสองเดือนเจ็ดคณะทูตถู่ปัวเข้าสู่ราชธานีตะวันออก สองวันต่อมาฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงที่วังซั่งหยาง ต้อนรับคณะทูตถู่ปัวที่เดินทางมาไกล
ปีนี้สุขภาพของฮ่องเต้ยิ่งย่ำแย่ ฤดูคิมหันต์ปีก่อนๆ ล้วนไปหลบร้อนที่วังตากอากาศ ทว่าตอนนี้ร่างกายของพระองค์ไม่อาจตรากตรำ คนทั้งหมดจึงรั้งอยู่รับฤดูคิมหันต์ที่ราชธานีตะวันออก ฤดูคิมหันต์ของราชธานีตะวันออกแสนร้อนอบอ้าว เพื่อให้ทนทุกข์น้อยลงฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วจึงให้จัดงานเลี้ยงในช่วงบ่ายคล้อย
ยามเซิน เหล่าขุนนางเลิกงานตรงไปยังวังซั่งหยางเลย หลี่เจาเกอต้องกลับจวนองค์หญิงไปเปลี่ยนชุดก่อน ต่อให้ย่านเฉิงฝูฟางใกล้วังสักเพียงใดไปกลับก็ต้องเสียเวลา รอจนนางมาถึงวังซั่งหยาง ผู้ร่วมงานเลี้ยงจึงมากันเกินครึ่งแล้ว
ขันทีที่ประตูวังซั่งหยางเห็นรถม้าของนางก็รีบตรงมาต้อนรับ สาวใช้ผู้หนึ่งดึงเปิดประตูรถให้ หลี่เจาเกอยกชายกระโปรงยาว ออกจากตัวรถมาปรากฏสู่สายตาผู้คนโดยไม่รีบร้อน ก้าวมาถึงข้างเครื่องเทียมม้ากำลังจะเหยียบม้านั่งเดินลงไป ขันทีของจวนองค์หญิงผิวหน้าขาวเกลี้ยงเกลาที่อยู่ข้างรถม้าผู้หนึ่งก็รีบเดินขึ้นหน้า ตั้งแขนยื่นมาหานาง มองอย่างละเอียดพบว่านิ้วมือของเขาจับจีบเสียด้วย
นางจนถ้อยคำในพริบตา กลั้นอาการคลื่นเหียน ยึดจับแขนของขันทีหน้าขาวผู้นี้แล้วเดินลงจากรถม้า ขันทีของวังซั่งหยางเอ่ยทักทายเสียงระรัว “กระหม่อมขอเข้าเฝ้า ถวายคำนับองค์หญิงเซิ่งหยวน องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงคอยอยู่ด้านในแล้ว เชิญองค์หญิงเสด็จตามกระหม่อมมา”
หลี่เจาเกอพยักหน้า พาให้ระย้าของดอกไม้มุกบนศีรษะกระทบกันเบาๆ เดินลากเสื้อคลุมไหล่แขนกว้างระไปบนทางเดินที่ประดับบุปผาละลานตา บรรดาผู้ติดตามของจวนองค์หญิงย่อมตามหลังหลี่เจาเกอไป สาวใช้ที่เมื่อครู่เปิดประตูรถให้เจ้านายก้มหน้าลอบเอ่ยกับขันทีหน้าขาวผู้นั้น “เจ้าจำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้เชียวหรือ”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร” ไป๋เชียนเฮ่อในชุดขันทีค้อนใส่โม่หลินหลางด้วยท่วงทีทรงเสน่ห์ “นี่เรียกว่าวิชาแปลงโฉม เจ้าดู ข้าเหมือนกงกงหรือไม่”
การบีบเสียงของเขาคล้ายน้ำเสียงของกงกงมากทีเดียว โม่หลินหลางผงกศีรษะกล่าว “วันหน้าหากเจ้าวิ่งไม่ไหวแล้ว ลองมาหาเลี้ยงชีพในวังหลวงดูได้ ด้วยจริตท่วงทีของเจ้าอย่างน้อยต้องได้เป็นหัวหน้าสำนักราชวัง”
ไป๋เชียนเฮ่อเข้าถึงบทบาทยิ่งยวด กรีดนิ้วดีดใส่แขนโม่หลินหลางหนึ่งทีในอาการเหนียมอาย “หมั่นไส้”
โม่หลินหลางรู้ซึ้งเสียที ที่แท้คำว่า ‘ร่างกายชาไปครึ่งซีก’ ในบทละครนั้นมีอยู่จริง ไม่เพียงแต่ชา นางถึงกับอยากสลัดแขนทิ้งไปตรงนี้เลย
หลี่เจาเกอเดินอยู่ด้านหน้า หลีกเลี่ยงสุดชีวิตกลับยังคงได้ยินถ้อยคำของไป๋เชียนเฮ่อถนัดชัดเจน หว่างคิ้วนางเต้นตุบๆ ฝืนสะกดอารมณ์วู่วามที่จะหันขวับไปทุบเจ้าคนน่าสะอิดสะเอียนนี่ให้ตาย
ให้เขาตายอย่างสงบไปเสียก็ยังดีกว่าย่ำยีเกียรติภูมิของกองงานปราบปีศาจอยู่ตรงนี้ หลี่เจาเกอถึงกับเริ่มเสียใจภายหลัง นางควรให้โจวเซ่าปลอมตัวเป็นขันทีปะปนเข้ามามากกว่า
โจวเซ่ารูปกายสูงบึกบึน เพียงลำแขนก็หนากว่าท่อนขาของผู้อื่น บุรุษทั่วไปยืนอยู่ข้างกายเขาล้วนดูไม่ต่างจากลูกไก่ เขาไม่คล้ายขันทีผู้หนึ่งเลยจริงๆ ทีแรกนางประเมินดูแล้วจึงให้เขากลับไปก่อน วันนี้พาแค่โม่หลินหลางกับไป๋เชียนเฮ่อมาสำรวจสถานที่
ทว่าตอนนี้…นางรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจพลาดไป
ไป๋เชียนเฮ่อเดินยักย้ายส่ายสะโพกตามหลังหลี่เจาเกอพลางบีบเสียงถาม “องค์หญิง ประเดี๋ยวพวกเราควรทำอะไรบ้าง”
“โม่หลินหลางสวมบทสาวใช้ ตระเวนในสถานที่จัดงานรอบหนึ่ง ดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมปะปนเข้ามาหรือไม่ ส่วนเจ้า…” หลี่เจาเกอเหลือบมองไป๋เชียนเฮ่ออย่างเย็นชา เสียงดุจน้ำแข็งในฤดูเหมันต์อันเหน็บหนาว “จงอย่าพูด นี่ก็คือภารกิจสำคัญที่สุดของเจ้าในวันนี้”
ไป๋เชียนเฮ่อสะเทือนใจคร่ำครวญหนึ่งที หลี่เจาเกอข่มใจเอ่ยต่อ “ข้าจะไปรายงานตัวกับฮ่องเต้ พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อน ประเดี๋ยวข้าออกมาแล้วจะตามไปสมทบ”
โม่หลินหลางผงกศีรษะ เมื่อหลี่เจาเกอติดตามขันทีวังซั่งหยางเดินมุ่งไปยังตำหนักที่ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วประทับอยู่ ไป๋เชียนเฮ่อก็เบาเสียงเอ่ยกับโม่หลินหลางว่า “แยกย้ายกันเคลื่อนไหว เจ้าตรวจค้นทางตะวันตก ข้าตรวจค้นทางตะวันออก เจ้าระวังตัวด้วย มีอะไรผิดปกติรีบส่งสัญญาณเลยนะ”
โม่หลินหลางขานรับ “ข้าเข้าใจแล้ว”