จุติรัก พลิกชะตาร้าย
ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 91-92
ระบำไจกูในศาลากลางน้ำดำเนินต่อไป เนื่องจากนี่เป็นระบำเซ่นไหว้ เสียงดนตรีจึงแปลกพิศวง ทั้งเหล่านักร่ายรำก็สวมหน้ากาก เห็นโฉมหน้าไม่ชัดเจน ดูคล้ายหุ่นกระบอกที่ทำท่วงท่าประหลาดต่างๆ ไปตามจังหวะกลอง ขณะชมระบำเทียนโฮ่วพลันถามอู๋อ๋องหลี่สวี่ว่า “อู๋อ๋อง เจ้ารู้สึกว่าระบำชุดนี้เป็นอย่างไร”
หลี่สวี่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เทียนโฮ่วจะเรียกเขา จึงนิ่งไปวูบหนึ่งก่อนตอบ “ระบำที่กองสังคีตฝึกแสดงย่อมยอดเยี่ยม”
เทียนโฮ่วคลี่ยิ้มเอ่ยอย่างเย็นใจ “ระบำชุดนี้มีชื่อว่าไจกู หมายถึงทำทานเซ่นไหว้ผีไร้ญาติวิญญาณเร่ร่อน ผีไร้ญาติต่างจากผีเรือนที่มีบุตรหลานชนรุ่นหลังคอยเซ่นไหว้ พวกเขาไม่อาจเสพรับควันธูป ได้แต่พเนจรขอส่วนบุญในโลกมนุษย์ ฝ่าบาททรงเวทนาที่พวกเขาน่าสงสารจึงทำการเซ่นไหว้หมู่แก่พวกเขา อย่างน้อยพวกเขาก็มีของเซ่นไหว้ให้กิน มานึกๆ ดูเซียวซูเฟยก็จากไปนานมากแล้ว หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าอู๋อ๋องกับชายาได้เซ่นไหว้มารดาผู้ให้กำเนิดบ้างหรือไม่”
จบคำของเทียนโฮ่ว ในศาลาริมน้ำเงียบกริบทันตา หลี่สวี่กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าครู่หนึ่งค่อยเอ่ยอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ‘เซียวซื่อ’ ใช้คุณไสยก่อกวนตำหนักใน ให้ร้ายผู้ภักดี เคราะห์ยังดีได้เทียนโฮ่วฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ลูกแค้นเสียจนไม่อยากมีความเกี่ยวพันใดกับ ‘เซียวซื่อ’ มีหรือจะเผาของเซ่นไหว้ไปให้นาง”
เทียนโฮ่วอาฆาตแรงยิ่งยวด ภายหลังอดีตหวังฮองเฮากับเซียวซูเฟยถูกนางเอาชีวิต นางก็ยังคงไม่หายแค้น ยังเปลี่ยนแซ่ให้อดีตหวังฮองเฮาเป็น ‘หมั่ง-งูเหลือม’ เปลี่ยนแซ่ให้เซียวซูเฟยเป็น ‘เซียว-นกแสก’ หลี่สวี่ยอมรับชื่อเรียกดูหมิ่นมารดาบังเกิดเกล้าต่อหน้าผู้คน ทั้งบอกว่าไม่เคยเซ่นไหว้นาง การกระทำนี้ของเขากลับทำให้หลี่เจาเกอไม่รู้ว่าควรสะท้อนใจในความเหี้ยมของเทียนโฮ่วหรือของเขาดี
เพียงแต่…เรื่องนี้ทำให้เห็นพลังของเทียนโฮ่วที่สยบขวัญผู้คนได้อย่างชัดเจน ผู้คนเอ่ยถึงเทียนโฮ่วต่างรู้สึกหวาดกลัวกว่าเอ่ยถึงฮ่องเต้มาก
เทียนโฮ่วหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าน้ำเสียงแฝงความเศร้าหมองหรือความเสียดาย “อู๋อ๋องถึงกับไม่ได้เซ่นไหว้เซียวซูเฟยเชียวหรือ เช่นนี้ก็วุ่นวายแล้ว หลายปีมานี้อี้อันพำนักในวัง นอกจากวัยสิบห้าครั้งนั้น ต่อมาก็ไม่เคยได้เผากระดาษเงินกระดาษทองแก่เซียวซูเฟยอีก หากอู๋อ๋องก็ไม่ได้เผาให้ เซียวซูเฟยไยมิกลายเป็นวิญญาณอนาถาที่ไม่มีบุตรหลานเซ่นไหว้ เคราะห์ยังดีวังหลวงทำทานแก่ผีไร้ญาติทุกปี หาไม่…ถึงอย่างไรนางก็ปรนนิบัติฝ่าบาทมาช่วงเวลาหนึ่ง มีทั้งบุตรชายทั้งบุตรสาวแท้ๆ หากสุดท้ายลงเอยโดยไร้คนจุดธูปเซ่นไหว้ เช่นนั้นก็อเนจอนาถเกินไปแล้ว”
เทียนโฮ่วกล่าวจบ หลี่เจินก็หน้าถอดสี ปีที่หลี่เจินอายุสิบห้าทนคิดถึงมารดาไม่ไหวจึงลอบเผากระดาษเงินกระดาษทองให้มารดาโดยไม่สนใจคำสั่งห้าม จากนั้นไม่ทันไรนางก็ถูกกักบริเวณในเรือนเยี่ยถิง ไม่อาจหาโอกาสเซ่นไหว้ได้อีก จำต้องเลิกล้มด้วยความปวดใจ นางนึกไปเองว่าเรื่องนี้เป็นความลับ แท้ที่จริง…เทียนโฮ่วถึงกับล่วงรู้ทั้งหมด
ถึงขั้นบอกได้อย่างแม่นยำด้วยว่าเป็นปีใด
หลี่เจินริมฝีปากสิ้นสีเลือด พลันเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดไม่นานหลังจากนางลอบเผากระดาษเงินกระดาษทองให้มารดาจึงถูกกักตัวในเรือนเยี่ยถิง ที่แท้…เทียนโฮ่วล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
หูตาของเทียนโฮ่วในตำหนักในช่างน่ากลัวถึงขั้นนี้
หลี่เจินรู้สึกพรั่นพรึง ขณะเดียวกันก็รันทดใจ พี่ชายเอ่ยจบ เทียนโฮ่วไม่ได้เอ่ยแย้ง เห็นชัดว่าพี่ชายไม่เคยเซ่นไหว้เลยจริงๆ นั่นคือมารดาแท้ๆ ของพวกตนเชียวนะ เห็นกันอยู่ว่ามีทั้งบุตรชายทั้งบุตรสาว กลับต้องลงเอยโดยไร้คนเซ่นไหว้ น่าสังเวชใจถึงเพียงใด
ยุคนี้ให้ความสำคัญกับการเซ่นไหว้ยิ่งยวด หากตายแล้วไม่มีใครจุดธูปเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ นั่นถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง ร้ายแรงกว่าฐานะสูญสิ้นเกียรติภูมิย่อยยับเสียอีก ผู้คนได้ยินถ้อยคำของหลี่สวี่ต่างลอบถอนใจโดยไร้เสียง เซียวซูเฟยชั่วดีอย่างไรก็เป็นสตรีตระกูลลือนาม ให้กำเนิดบุตรชายคนโตกับบุตรสาวคนโตแก่ฮ่องเต้ ขณะเป็นที่โปรดปรานสูงสุดยังกล่าวได้ว่าภัยคุกคามถึงตำแหน่งของหวังฮองเฮา ทว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพวิญญาณอนาถา ชะตาชีวิตของคนเราชวนให้ทอดถอนใจโดยแท้
บรรยากาศของงานเลี้ยงราวถูกผนึกแข็ง ทูตถู่ปัวไม่เข้าใจเหตุการณ์ เพียงรู้สึกว่าสีหน้าของคนรอบข้างคล้ายผิดปกติ เทียนโฮ่วเอ่ยถึงเซียวซูเฟยต่อหน้าทูตต่างแคว้นไม่ใช่ความคิดชั่วแล่น หากแต่จงใจ นางปรบมือเป็นสัญญาณให้นางกำนัลอุ้มแมวตัวหนึ่งเข้ามา แมวหลีฮวา ตัวนั้นเพิ่งอายุได้สามเดือน เมื่อถูกเทียนโฮ่วหนีบคอจึงรู้จักแต่ร้องเมี้ยวๆ เสียงเบา
ในศาลาริมน้ำเงียบกริบชนิดเข็มหล่นสักเล่มก็ต้องได้ยิน ขณะนี้มีเพียงเสียงดนตรีเซ่นไหว้อันเก่าแก่และให้อารมณ์เวิ้งว้างดังมาจากเวที คนทั้งหมดมองไปทางเทียนโฮ่ว ไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว เทียนโฮ่วลูบขนบนแผ่นหลังของลูกแมว ลูกแมวคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงเกร็งสันหลัง เปล่งเสียงขู่คำรามในลำคอ
ทว่ามันยังฟันขึ้นไม่ครบด้วยซ้ำจะไปมีพลังข่มขู่อันใดได้ เทียนโฮ่วลูบสันหลังอันผอมบางของลูกแมวช้าๆ พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “เมื่อก่อนข้ารำคาญว่าแมวหนวกหู ไม่ชอบให้ในวังเลี้ยงแมว นานวันเข้าทุกคนจึงลืมไป หลงนึกว่าข้ากลัวแมว แค่เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้นมีอะไรน่ากลัวเล่า อู๋อ๋องเดินทางมาไกล ข้าไม่มีอะไรจะกำนัลให้ ขอมอบแมวตัวหนึ่งให้เจ้าแล้วกัน ได้ยินว่าก่อนเซียวซูเฟยจะเสียชีวิตเคยอธิษฐานให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นแมว เจ้าต้องเลี้ยงแมวตัวนี้ให้ดีเชียว ไม่แน่ว่ามันอาจมีความเกี่ยวพันกับเจ้ามากก็เป็นได้”
ขาดคำเทียนโฮ่วก็คลี่ยิ้มหิ้วลูกแมวส่งให้นางกำนัล สั่งให้พวกนางมอบแก่อู๋อ๋อง นอกจากทูตถู่ปัวแล้วผู้คนในที่นี้ล้วนรู้แจ้งแก่ใจเกี่ยวกับคำสาปแช่งของเซียวซูเฟยก่อนจะเสียชีวิต แต่เทียนโฮ่วต้องการจะบอกคนทั้งหมดว่านางไม่กลัวคำโจษจันเหล่านั้นสักนิด ตอนมีชีวิตอยู่เซียวซูเฟยยังสู้นางไม่ได้ ตายแล้วกลายเป็นแมว คิดว่าจะเล่นลูกไม้แสร้งเป็นผีหรือไร
เห็นทีสุราในถังที่แช่เซียวซูเฟยยังไม่แรงพอ หลายปีป่านนี้จึงยังฝันเลื่อนลอยอยู่อีก