จุติรัก พลิกชะตาร้าย
ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 91-92
บทที่ 92 แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
ไกลออกไปเสียงเรียกถวายอารักขาของหลี่ไหวกับหลี่ฉังเล่อดังกังวานชัด ผู้คนต่างรีบวิ่งไปทางนั้น ไม่มีใครสังเกตว่าในความมืดกำลังเกิดการศึกที่อันตรายศึกหนึ่ง เผยจี้อันเองก็ล้อมช่วยอยู่ข้างกายฮ่องเต้ นึกว่าตนเองกำลังถวายอารักขา ครั้นหันไปพบว่าหลี่เจาเกอไม่อยู่ เขาก็ใจสั่นอย่างน่าประหลาด รีบสอบถามว่า “องค์หญิงเซิ่งหยวนเล่า”
ผู้คนออกันอยู่ในจุดที่มีแสงไฟสว่าง ด้านนอกมีทหารรายล้อมเป็นชั้นๆ บางคนร้องเรียกบางคนตะโกนสั่ง ยังจะมีผู้ใดจดจำหลี่เจาเกอได้ เขาหน้าขรึมลง เบียดฝ่าฝูงชนอย่างกินแรง หมายจะกลับไปค้นหานาง หลี่ฉังเล่อที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นจึงรีบตะโกนเสียงดัง “พี่เผย ท่านทำอะไรน่ะ”
จ่างซุนเหยียนดึงตัวญาติผู้น้องไว้ได้ในคราวเดียว ตวาดด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ตอนนี้ทุกคนถวายอารักขาอยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่อยู่ หลังจากนี้จะชี้แจงอย่างไร”
“แต่องค์หญิงเซิ่งหยวนหายไป…”
จ่างซุนเหยียนไม่อาจเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย มองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “นางอยู่หรือไม่อยู่ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย คู่หมั้นของเจ้าคือองค์หญิงก่วงหนิง!”
เผยจี้อันดึงดันจะไป แต่จ่างซุนเหยียนยุดไว้ไม่ปล่อย ขณะสองคนยื้อกันอยู่นั้น ศาลาริมน้ำที่ด้านหลังพลันเรืองแสงจ้า กระแสลมระลอกหนึ่งพัดมาพาให้ไส้เทียนซึ่งเดิมทีจะล้มแหล่มิล้มแหล่เปลี่ยนเป็นตั้งตรงในพริบตา โคมบนผิวทะเลสาบราวถูกบางสิ่งเรียกตัว พากันลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศช้าๆ
โคมลอยตัวสูงๆ ต่ำๆ อยู่เหนือศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเห็นได้ชัดเจนว่าบนหลังคามีหนึ่งสตรีหนึ่งแมวต่อสู้กันอยู่ เนื่องจากแสงเปลี่ยนเป็นสว่างไสว ท่าร่างของแมวดำจึงถูกเปิดโปงจนสิ้น ไม่เหลือความได้เปรียบอยู่อีก ไม่ช้าการศึกก็พลิกผัน แมวดำกระโจนใส่หลี่เจาเกอหลายครั้งแต่ล้วนถูกนางใช้กระบี่สกัดได้ หนึ่งสตรีหนึ่งแมวรบพัวพันอยู่บนหลังคา พื้นหลังมีจันทร์แจ่มดวงหนึ่งแขวนตัวสูงกับโคมสำหรับลอยน้ำขนาดใหญ่น้อยลอยตัวอยู่กลางอากาศ ภาพฉากนี้ดูแสนพิศวง ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกว่างดงามยากจะพรรณนา
ปีศาจแมวโก่งตัว ออกแรงพุ่งมาหาหลี่เจาเกออย่างฉับไว หลี่เจาเกอก็พลิกแพลงท่ากระบี่ คมอาวุธพลิกพลิ้วฉายสะท้อนแสงจันทร์อันเย็นเยือกออกมาลำหนึ่ง สองฝ่ายต่างจู่โจมกระบวนท่านี้สุดแรง ส่งผลให้แขนนางถูกตะปบหนึ่งที มันเองก็ถูกแทงอย่างจังหนึ่งกระบี่
ขณะนี้ฝูงชนที่เมื่อครู่ยังวุ่นอยู่กับการลี้ภัยล้วนแหงนหน้ามองหลังคาศาลา ลืมตอบสนองไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วก็เหลียวมองอย่างห้ามไม่อยู่ หลี่เจาเกอกับแมวดำโฉบสลับที่กัน แมวดำร้องอย่างเจ็บปวด เปล่งเสียงกรอดๆ ในลำคอ ครูดกรงเล็บกับชายคา ดูท่าอยากจะแก้แค้น ทว่าโคมที่ลอยตัวอยู่รอบทิศส่องสว่างหลังคาจนไร้มุมอับ แมวดำสูญเสียข้อได้เปรียบในการพรางตัวได้แต่คำรามอย่างดุดัน ก่อนจะกระโดดลงจากชายคาหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีหลี่เจาเกอคิดจะไล่ตาม ทว่าเพิ่งขยับตัวความเจ็บปวดสาหัสก็แล่นมาจากแขนทำให้ฝีเท้านางชะงักไปพริบตาหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ นางฝืนข่มทน ตั้งใจว่าจะประคองตัวอีกสักพัก รอจนจับกุมแมวดำกลับมาได้ค่อยทำแผล ทว่าตอนนี้เองโคมที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศคล้ายสูญเสียแรงหนุน หล่นลงไปทีละดวง กระทบผิวทะเลสาบจนน้ำกระเซ็นดังซ่าๆ
เมื่อไม่มีแสงโคมฉายส่อง บนหลังคาก็คืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง นางจนถ้อยคำ รู้ว่าไล่ตามไปทั้งอย่างนี้ไม่สำเร็จแน่ จึงได้แต่กระโดดลงจากหลังคาอย่างเสียดาย นางเพิ่งลงสัมผัสพื้น ไป๋เชียนเฮ่อกับโม่หลินหลางก็รีบล้อมเข้ามาถามไถ่ “องค์หญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไรหรอก” หลี่เจาเกอขยับข้อมือ สอดกระบี่ธาราเร้นคืนฝักดังฉับ ท่าทางของนางดูเป็นปกติ โม่หลินหลางจำได้ว่าเมื่อครู่เห็นแมวดำตะปบหลี่เจาเกอหนึ่งที จึงถามอย่างเร่งร้อน “องค์หญิง ท่านบาดเจ็บหรือไม่ อาการหนักหนาหรือไม่”
หลี่เจาเกอส่ายศีรษะตอบเรียบๆ “แผลแมวข่วนเท่านั้น ไม่กี่วันก็หายแล้ว ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงรออยู่ด้านหน้า ไปถวายรายงานกันก่อนเถิด”
เมื่อครู่ฮ่องเต้ถูกผู้ลอบสังหารทำให้เสียขวัญ รีบร้อนจะกลับวังหลวง ทว่ารอจนเห็นการศึกระหว่างหลี่เจาเกอกับแมวดำ พระองค์กลับรู้สึกอย่างน่าประหลาดว่าตนเองปลอดภัยแล้ว พลันไม่รีบร้อนจะจากไปอีก พระองค์มองไปหานางพลางถาม “เจาเกอ แมวดำตัวนั้นเล่า”
“หนีไปแล้วเพคะ” หลี่เจาเกอน้ำเสียงเยือกเย็น “แต่มันถูกลูกแทงบาดเจ็บ รอจนฟ้าสางตามรอยเลือดไปก็จะจับมันได้ในไม่ช้า”
ฮ่องเต้พรูลมหายใจยาว นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นเมื่อครู่จึงถามอีกว่า “ตัวเจ้าได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
“ไม่เพคะ” หลี่เจาเกอตอบหน้าไม่เปลี่ยนสี เพิ่งขาดคำข้างกายก็พลันมีคนผู้หนึ่งใช้พัดเคาะแขนนาง เขาเคาะหนนี้ถูกแผลนางพอดิบพอดี ทำให้หว่างคิ้วนางเต้นตุบ กลั้นไม่อยู่เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
หลี่เจาเกอมองไปด้านข้างแล้วด่าอย่างเหลืออด “ท่านสติมีปัญหาหรือไร”
ไม่รู้กู้หมิงเค่อมาปรากฏตัวข้างกายนางตั้งแต่เมื่อใด ในมือเขาถือพัดจีบ ปรายตามองนางอย่างใจเย็น “ไหนท่านบอกว่าไม่บาดเจ็บ”
หลี่เจาเกอฝืนข่มใจ ตอบไปว่า “แผลแมวข่วนเท่านั้น ไม่นับว่าบาดเจ็บเสียหน่อย หรือท่านถูกแมวข่วนหนึ่งทีก็ต้องเรียกหมอหลวงด้วย”
กู้หมิงเค่อใช้พัดจีบเคาะบริเวณใกล้หัวไหล่นางโดยไม่พูดพร่ำ นี่คือตำแหน่งที่นางถูกแมวดำตะปบคราวก่อน นางรีบหลบ ทว่ายังคงถูกเขาเคาะอย่างถนัดถนี่ ไม่รู้เขาใช้ลูกไม้อันใด เคาะเจ็บยิ่งยวด นางร้องซี้ดอย่างห้ามไม่อยู่ คิดจะชักกระบี่สู้กับเขาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเดี๋ยวนั้นเลย ไป๋เชียนเฮ่อเห็นท่าจะไม่ดี รีบยุดหลี่เจาเกอไว้ “องค์หญิง ใจเย็นก่อน! รองตุลาการกู้หวังดีต่อท่านนะ”
ต่อให้ไป๋เชียนเฮ่อด้อยความรู้ก็เดาออกว่าเมื่อแรกสุดนางฝืนสู้กับปีศาจแมวในความมืด ต่อมาโคมบนผิวทะเลสาบพลันลอยขึ้นกลางอากาศถึงค่อยพลิกสถานการณ์ศึกได้ หากโคมเหล่านี้เป็นฝีมือของนาง เมื่อแรกนางก็ไม่จำเป็นต้องยอมเสียเปรียบ ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าการลอยขึ้นของโคมนางไม่ได้เป็นผู้ทำ
ไม่ใช่นาง เช่นนั้นก็เป็นกู้หมิงเค่อได้เท่านั้น ไป๋เชียนเฮ่อไม่มีหลักฐาน ทว่าเขากริ่งเกรงกู้หมิงเค่ออย่างบอกไม่ถูก
เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา