เขายับยั้งหลี่เจาเกอที่กำลังจะบันดาลโทสะ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพลันรู้สึกว่ามีไอหนาวยะเยือกวาบผ่านมือของตน เขาคลายมือที่ยุดนางไว้ออกโดยจิตใต้สำนึก ยังดีนางใจเย็นลงแล้ว ไม่คิดจะแลกชีวิตกับกู้หมิงเค่ออีก เขาเงยหน้ากวาดมองแวบหนึ่ง เห็นฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วถูกผู้คนห้อมล้อม องครักษ์เคร่งเครียดราวประจันหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ นางกำนัลเนื้อตัวสั่นเทา กู้หมิงเค่อลดแขนเสื้อยืนอยู่อีกด้าน สีหน้าสงบนิ่ง ท่วงทีภูมิฐาน มองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
คล้ายไอหนาวยะเยือกที่ตนสัมผัสได้เมื่อครู่นี้เป็นเพียงความรู้สึกลวง ไป๋เชียนเฮ่อคิดในใจว่าแปลกแท้ จากนั้นก็เอามือทบซ้อนกัน สวมบทเป็นขันทีผู้หนึ่ง หดตัวกลับไปอยู่ด้านหลังหลี่เจาเกอดังเดิม
ในใจฮ่องเต้ยุ่งเหยิงอยู่บ้าง มีหรือพระองค์จะมองไม่ออกว่าไป๋เชียนเฮ่อไม่ใช่ขันที เมื่อครู่ไป๋เชียนเฮ่อใช้มือยุดหลี่เจาเกอไว้ พระองค์ไม่ติดใจ กลับกันกู้หมิงเค่อเคาะนางสองครั้งนั้น พระองค์รู้สึกว่าร้ายแรงกว่า
หลี่เจาเกอไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้าใกล้มากเกินไป บางครั้งแตะถูกนาง นางก็ยังหลบ ได้ยินว่ากู้หมิงเค่อเองก็มีอุปนิสัยเฉยเมย ไม่ชอบเสียงอึกทึกไม่ชอบความวุ่นวาย ทว่าเมื่อครู่…พอนางบอกว่าตนเองไม่บาดเจ็บ เขากลับใช้พัดเปิดโปงนางโดยตรง ซ้ำนางก็ไม่ได้หลบ นี่เป็นอาการตอบสนองโดยสัญชาตญาณ ไม่อาจแสร้งทำได้
ไป๋เชียนเฮ่อแม้ยื่นมือดึงนางไว้ ทว่านี่เป็นการประสานงานกันระหว่างสหายร่วมกลุ่ม ไม่ใช่สัมผัสระหว่างชายหญิง ผิดกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างกู้หมิงเค่อกับนางที่ดูมีปัญหาอย่างมาก
จำนวนครั้งที่พระองค์ได้เห็นกู้หมิงเค่อพร้อมกับนางไม่บ่อยนัก ทว่าทุกครั้งที่ได้เห็น ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ล้วนรุดหน้ากว่าครั้งก่อนมาก พระองค์อดขมวดคิ้วไม่ได้ หรือ…หัวใจนางหวั่นไหวแล้วจริงๆ
แม้แต่ฮ่องเต้ยังมองออก เทียนโฮ่วจะมองพลาดได้อย่างไร คิ้วตาของเทียนโฮ่วซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางแสงไฟวูบไหว ขณะกล่าววาจาจึงไม่อาจมองสีหน้าออก “เอาล่ะ วันนี้วุ่นวายพักใหญ่ ฝ่าบาทกับรัชทายาทเหนื่อยแล้ว กลับกันเถิด เจาเกอ”
หลี่เจาเกอรีบประสานมือขานตอบ “ลูกอยู่นี่เพคะ”
“ปีศาจแมวชั้นต่ำนั่นถึงกับกล้าก่อกวนในงานเลี้ยง เรื่องปีศาจแมวขอมอบอำนาจเต็มแก่เจ้า หลายวันนี้องครักษ์กับทหารหลวงทั้งสิบหกหน่วยสุดแต่เจ้าจะใช้สอย จงสังหารปีศาจแมวให้ได้โดยเร็ว”
หลี่เจาเกอรับคำสั่งโดยไม่อิดออด “ลูกรับพระราชเสาวนีย์ จะไม่ทำให้ฝ่าบาทกับเทียนโฮ่วทรงผิดหวังแน่นอน”
เทียนโฮ่วมอบองครักษ์ประตูวังกับทหารหลวงไว้ในมือหลี่เจาเกอทั้งหมด ขุนนางหลายคนหน้าเปลี่ยนสีทันที นับแต่โบราณมาในมือผู้ใดคุมประตูวัง ผู้นั้นก็คือผู้ชนะในศึกยึดอำนาจการปกครอง เทียนโฮ่วถึงกับมอบกำลังทหารสองกลุ่มใหญ่ไว้ในมือหลี่เจาเกอผู้เดียว ถอยหลังสามารถควบคุมวังหลวง รุกหน้าสามารถออกจากเมืองฆ่าศัตรู อำนาจนี้ใหญ่โตเกินไปจริงๆ
ต่อให้เป็นรัชทายาทก็ไม่เคยกุมอำนาจทหารมากเท่านี้ เทียนโฮ่วไว้ใจให้ท้ายองค์หญิงเซิ่งหยวนเกินเหตุเกินการไปแล้ว
หลายปีที่ผ่านมาขุนนางใหญ่ชนชั้นสูงล้วนเกี่ยวดองกัน ความสัมพันธ์หยั่งรากซับซ้อนแต่แรก ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ขณะนี้เหล่าขุนนางต่างลอบมองไปทางผู้สืบทอดที่ตรงใจตน ในความเงียบบังเกิดคลื่นใต้น้ำซัดโหม
ฮ่องเต้กับเทียนโฮ่วล้วนได้รับความตื่นตระหนก ถูกผู้คนคุ้มกันกลับไปพักที่วังหลวงจื่อเวย หลี่เจาเกอกับองค์ชายองค์หญิงที่เหลือส่งฮ่องเต้และเทียนโฮ่วจนถึงตำหนักเหวินเฉิง ฮ่องเต้นั่งพิงบนตั่ง นางกำนัลนำผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบหน้าผากฮ่องเต้บรรเทาความปวด เทียนโฮ่วนั่งลงข้างตั่ง มองท่าทางของฮ่องเต้แล้วมุ่นคิ้วแน่น “ฝ่าบาท ต้องตามหมอหลวงมาหรือไม่”
ฮ่องเต้หลับตาอย่างอ่อนล้า โบกมืออย่างอ่อนแรง “ไม่ต้องหรอก หมอหลวงไปๆ มาๆ ล้วนพูดแบบเดิมนั่น เราฟังจนเบื่อเต็มที ฝังเข็ม รมยา ดื่มยา ล้วนเคยลองแล้ว ไม่ได้ผลเลยสักอย่าง สุดท้ายยังคงต้องฝืนอดทนไป เราเหนื่อย ให้เราพักผ่อนสงบๆ สักครู่เถิด”
เทียนโฮ่วรับคำ รัชทายาทสองสามีภรรยา หลี่เจาเกอ หลี่ไหว และหลี่ฉังเล่อยืนอยู่ในโถงตำหนัก สีหน้าหนักอึ้ง หลี่สวี่กับหลี่เจินสองพี่น้องยังไม่จากไป ขณะนี้ต่างมองฮ่องเต้ด้วยความกังวล ถัดออกไปด้านนอกก็มีขุนนางใกล้ชิดยืนอยู่อีกหลายคน