บทที่ 5
ตอนที่เจี่ยนเหยียนเดินเข้าไปนั่ง นางวางดอกท้อในมือเอาไว้บนโต๊ะด้านข้าง เมื่อครู่รีบร้อนจะกลับจึงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปชั่วขณะ นางตั้งสติ ยื่นมือไปรับดอกท้อมาพร้อมเอ่ยขอบคุณเสียงเบา “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ในมือขวาของสวีจ้งเซวียนยังคงถือคัมภีร์จวงจื่อเล่มนั้น ส่วนมือซ้ายยื่นกิ่งดอกท้อนี้มาให้ ก่อนหน้านี้เจี่ยนเหยียนไม่เคยตั้งใจสังเกตเขา ยามนี้เมื่อยื่นมือไปรับดอกท้อในมือเขาใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าที่ข้อมือซ้ายของเขามีกำไลไม้กฤษณาเรียบๆ อยู่วงหนึ่ง สีดำขลับดุจเคลือบเงา เนื้อแข็งดุจหยก เมื่ออยู่ใกล้ก็จะได้กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ
เจี่ยนเหยียนรีบก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว นางคารวะให้เขา ก่อนหันหลังกลับพาไป๋เวยเดินจากไปทันที
สวีจ้งเซวียนมองแผ่นหลังของนางที่กำลังเดินลงบันได ก้าวไปตามถนนหินกรวดไม่ช้าไม่เร็ว แสงแดดสีทองอ่อนส่องกระทบลงบนร่างนาง ทำให้ดูบาดตาอยู่เล็กน้อย
“ญาติผู้พี่” ตอนนั้นเองอู๋จิ้งเซวียนก็เดินมาหยุดข้างๆ เขา เมื่อเห็นเขาเอาแต่มองแผ่นหลังของเจี่ยนเหยียน ความเสียใจที่สะสมมาก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความหึงหวงทันที ทว่าก็ยังถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ “ท่านกำลังมองอะไรอยู่หรือ”
สวีจ้งเซวียนเก็บสายตากลับมา เขาหันหลังเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้แล้วถึงได้เอ่ยตอบ “ต้นไผ่ในเรือนของจิ่นเอ๋อร์โตสวยขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ทันทีที่ได้ยินเขาพูดถึงต้นไผ่ อู๋จิ้งเซวียนก็นึกถึงประโยคที่เจี่ยนเหยียนเคยพูดไว้ นางจึงเอ่ยต่อทันที “แผ่นอักษรคู่ที่ญาติผู้พี่เขียนให้จิ่นเอ๋อร์ก็เขียนได้ดียิ่ง เข้ากับทัศนียภาพที่สุดแล้ว”
“พี่เซวียน” สวีเมี่ยวจิ่นถามนางขึ้นมาในตอนนี้เอง “ท่านบอกว่าแผ่นอักษรคู่ของพี่ใหญ่ข้าเขียนได้เข้ากับทัศนียภาพ เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่ากวีสองประโยคนี้ใครเป็นผู้แต่ง”
อู๋จิ้งเซวียนมองไปที่สวีจ้งเซวียนอย่างอ่อนโยน ความรักในแววตาแทบจะล้นทะลักออกมา “กวีที่ดีเช่นนี้ ย่อมเป็นญาติผู้พี่แต่งอยู่แล้ว”
สวีเมี่ยวจิ่นหัวเราะดูแคลนออกมาเบาๆ จากนั้นก็กลับไปก้มหน้าเล่นพู่สีแดงบนถุงพกในมือ ไม่คิดจะพูดอะไรอีก
ยามนั้นสวีจ้งเซวียนกลับวางคัมภีร์ลง ถามสวีเมี่ยวจิ่นว่า “เจ้าควรจะกินยาแล้วใช่หรือไม่”
พี่น้องใจสื่อถึงกัน สวีเมี่ยวจิ่นเอ่ยรับคำทันที “ใช่เจ้าค่ะ ถึงเวลาที่ข้าควรจะกินยาแล้ว ท่านหมอเคยกำชับข้าว่าหลังกินยาต้องพักผ่อน ห้ามเล่นสนุก พี่เซวียน ขอบคุณที่วันนี้ลำบากมาเยี่ยมข้า แต่ว่าท่านกลับไปก่อนเถอะ วันหน้าค่อยมาเยี่ยมข้าก็ไม่ต่างกัน”
ประโยคไล่แขกเอ่ยอย่างชัดเจนเพียงนี้แล้ว อู๋จิ้งเซวียนก็ไม่สะดวกจะนั่งต่ออีก ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยกำชับคำพูดจำพวกให้สวีเมี่ยวจิ่นดูแลตนเองดีๆ พักผ่อนให้มากๆ เพียงแต่นางหลงคิดว่าสวีจ้งเซวียนก็จะกลับไปเหมือนกันจึงยืนรออยู่ที่เดิมสักพัก ตั้งใจจะกลับไปพร้อมเขา ทว่าหลังผ่านไปครู่ใหญ่ก็เห็นเขายังนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ นางจึงถามเสียงค่อย “ญาติผู้พี่ ท่านไม่ไปหรือเจ้าคะ”
สวีจ้งเซวียนยังไม่ทันตอบ สวีเมี่ยวจิ่นก็ชิงตอบขึ้นมาก่อนแล้ว “ข้ายังมีคำพูดส่วนตัวบางอย่างจะคุยกับพี่ใหญ่ เชิญพี่เซวียนกลับไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
อู๋จิ้งเซวียนทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เอ่ยลาสวีจ้งเซวียน จากนั้นก็พาเสวี่ยหลิ่วหันหลังเดินจากไปอย่างเชื่องช้า