ทันทีที่สวีเมี่ยวจิ่นได้ยินก็รีบยกถุงพกในมือไปตรงหน้าเขาประหนึ่งมอบสมบัติ “ลายบนถุงพกใบนี้น่ารักมากใช่หรือไม่ ข้าตั้งใจไปขอมาจากพี่เหยียนเอง ก่อนหน้านี้พี่หญิงสามเคยได้ถุงพกจากพี่เหยียน นางเอามาอวดต่อหน้าข้าไม่หยุด ข้าโมโหก็เลยไปแอบสืบรู้มาว่าวันนี้พี่เหยียนจะออกมาข้างนอก ข้าจึงพาชิงจู๋ไปนั่งดักเจอนางกลางทางแล้วเอ่ยปากขอถุงพกใบนี้กับนาง บนถุงพกใบนั้นของพี่หญิงสามปักลายแมว ทว่าก็ไม่ใช่แมวธรรมดา เรียกว่าแมวกวักอะไรสักอย่าง ส่วนของข้าเป็นกระต่าย จากที่พี่เหยียนบอกมันเรียกว่ากระต่ายเจี้ยน ข้าชอบทันทีที่เห็น แทบจะอยากไปหากระต่ายหน้าตาเช่นนี้มาเลี้ยงให้ได้”
กระต่ายเจี้ยน? สวีจ้งเซวียนคิดในใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีกระต่ายเช่นนี้ ทว่าแม้กระต่ายตัวนี้จะมีใบหน้าโง่งม แต่ก็มักให้ความรู้สึกว่าเวลาต่อมามันจะลืมตาขึ้น ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าแบบใด เอ่ยคำพูดเช่นไรออกมา ช่างเหมาะสมกับ ‘เจี้ยน’ ที่มีความหมายว่า ‘กะล่อน’ อยู่มากจริงๆ
หลังเจี่ยนเหยียนออกมาจากประตูเรือนหนิงชุ่ย ก็ถือดอกท้อในมือพลางครุ่นคิดว่าควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี โยนทิ้งไว้ข้างทางหรือโยนลงน้ำ? แต่เมื่อเห็นว่าดอกท้อในมืองามสะพรั่ง นางก็รู้สึกว่าการทำเช่นนี้ออกจะดิบเถื่อนเกินไป
สุดท้ายนางจึงหาพื้นที่ชุ่มริมสระน้ำบริเวณใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง นั่งยองๆ ขุดหลุมแล้วปักดอกท้อในมือลงไป
หลังล้างมือในสระน้ำให้สะอาดเรียบร้อย นางก็หยิบผ้าเช็ดมือสีเขียวอ่อนผืนหนึ่งในชายเสื้อออกมาเช็ดมือ โดยตรงมุมผ้าปักลายช่อดอกกล้วยไม้เอาไว้ เสร็จจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเดินกลับไปทางเรือนเหอเซียง
ไป๋เวยถามออกไปอย่างงุนงง “คุณหนู เหตุใดท่านจึงไม่เอาดอกท้อกิ่งนี้กลับไปปักแจกันเล่าเจ้าคะ”
เจี่ยนเหยียนคิดในใจว่า…เพราะดอกท้อกิ่งนี้ผ่านมือสวีจ้งเซวียนมาแล้วอย่างไร ข้าไม่อยากจะเกี่ยวพันอันใดกับเขาทั้งนั้น ทว่าก็ไม่สะดวกจะพูดประโยคนี้กับไป๋เวยตรงๆ ดังนั้นนางจึงยกข้ออ้างขึ้นมาส่งๆ แทน “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นแขก หากจู่ๆ พบคนสกุลสวีเข้าระหว่างทาง เห็นว่าในมือข้าถือดอกท้อไว้ จะหลงคิดว่าข้าเป็นคนเด็ดได้ แม้ดอกท้อจะเป็นของเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ผู้อื่นคิดว่าไฉนพวกเราจึงทำตัวประหนึ่งเป็นเจ้าของที่นี่ก็ได้ ดังนั้นมิสู้หาสักที่ปักมันไว้ ดีไม่ดีมันอาจจะงอกรากแตกหน่อโตมาเป็นต้นท้อก็ได้”
ไป๋เวยผงกศีรษะ รู้สึกว่าเจี่ยนเหยียนพูดได้มีเหตุผล
ทั้งสองคนเดินกลับไปที่เรือนเหอเซียง เพิ่งจะเดินอยู่ตรงระเบียงก็มองเห็นซื่อเยวี่ยกำลังเกาะประตูเรือนพร้อมชะโงกหน้าออกมามองข้างนอก
ทันทีที่ได้เห็นเจี่ยนเหยียนกับไป๋เวย นางก็รีบเดินเข้ามาหาทันที บนใบหน้าประดับสีหน้าร้อนใจขณะกดเสียงต่ำเอ่ย “คุณหนู เมื่อครู่นี้ฮูหยินส่งเจินจูมาบอกให้ท่านไปพบสองรอบแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋เวยหัวใจหนักอึ้งในฉับพลัน อดรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาไม่ได้ นางรีบถามกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฮูหยินรีบร้อนเรียกหาคุณหนูด้วยเรื่องอะไร”
ซื่อเยวี่ยส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ทราบ ข้าหลอกถามจากเจินจูแล้ว แต่นางก็ไม่รู้เช่นกัน”
เมื่อเจี่ยนเหยียนเห็นพวกนางมีสภาพเหมือนเตรียมรับศึกหนักเช่นนี้ก็ยิ้มเอ่ยปลอบ “จะมีเรื่องใหญ่อันใดได้ น่าจะแค่เรียกข้าไปคุยด้วยเท่านั้นกระมัง ดูพวกเจ้าเครียดกันอย่างกับอะไรดี” พร้อมกันนั้นก็บอกให้ทั้งสองคนตามนางกลับไปที่ห้อง
ซื่อเยวี่ยยังคงเอ่ยอย่างร้อนใจ “คุณหนู ฮูหยินส่งเจินจูมาเร่งถึงสองรอบ ท่านรีบไปเถอะเจ้าค่ะ ยังจะกลับห้องไปเพื่ออันใดอีก”
“ท่านแม่ไม่ชอบให้ข้าแต่งตัวจืดชืด ข้ากลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยไปพบนางก็ได้ หากมีเรื่องอะไรจริงๆ ก็คงไม่ได้รีบร้อนเพียงนั้น”
ไป๋เวยกับซื่อเยวี่ยได้ยินแล้วก็ได้แต่ตามเจี่ยนเหยียนกลับไปที่ห้องก่อน
ตอนที่เจี่ยนเหยียนเปลี่ยนชุด เมื่อนางล้วงหาในชายแขนเสื้อกลับไม่พบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวออกไปด้วยวันนี้ นางครุ่นคิดแล้วคาดว่าน่าจะหล่นไปตอนอยู่ข้างสระน้ำก่อนหน้านี้ หลังล้างมือเสร็จนางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ ตอนที่ยัดกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อคงไม่ได้ยัดเข้าไปลึกพอ ดังนั้นนางจึงสั่งให้ซื่อเยวี่ยไปตามหาแถวนั้นดู ส่วนตนเองไปหาเจี่ยนฮูหยินพร้อมกับไป๋เวย