ยามนี้เจี่ยนฮูหยินกำลังนอนตะแคงพูดคุยกับเสิ่นมามาอยู่บนตั่งหลัวฮั่นในห้องหลัก หลังได้ยินสาวใช้ข้างนอกเอ่ยว่าคุณหนูมาแล้ว เจี่ยนฮูหยินก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที
เมื่อสาวใช้ยื่นมือไปเลิกม่านขึ้นเรียบร้อย เจี่ยนเหยียนกับไป๋เวยก็เดินตามกันเข้ามา
“ท่านแม่” เจี่ยนเหยียนเดินเข้าไปหาเจี่ยนฮูหยิน ก่อนหยุดยืนห่างจากนางไปสามก้าวแล้วย่อกายคารวะพร้อมเอ่ยเรียกเสียงเบา
ส่วนไป๋เวยยืนห่างไปด้านหลังเจี่ยนเหยียนหนึ่งก้าว แล้วก็ย่อกายคารวะเจี่ยนฮูหยินเช่นกัน
“เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมา” เจี่ยนฮูหยินกลับมีสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “เจินจูไปหาเจ้ามาสองรอบ เจ้าล้วนไม่อยู่”
รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าเจี่ยนเหยียนไม่ได้ลดทอนลงขณะตอบกลับเสียงนอบน้อม “เมื่อครู่นี้ลูกได้ยินสาวใช้บอกว่าดอกท้อข้างนอกกำลังบานสวย จึงพาไป๋เวยไปชมดอกท้อที่ริมสระน้ำอยู่พักหนึ่ง ทว่ากลับพบพวกคุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่ กับคุณหนูอู๋เข้า ทุกคนจึงสนทนาเรื่อยเปื่อยกัน ลูกไม่ทราบว่าท่านแม่จะส่งพี่เจินจูมาหาลูก ไม่อย่างนั้นลูกก็จะรีบกลับมาแล้ว”
“คุณหนูสี่?” เจี่ยนฮูหยินอึ้งไป นางย้อนคิดถึงความสัมพันธ์ของบ้านต่างๆ ในสกุลสวีเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามต่อ “น้องสาวแท้ๆ ของคุณชายใหญ่ผู้นั้น?”
เจี่ยนเหยียนคิดในใจว่าความทรงจำในเรื่องพวกนี้ของเจี่ยนฮูหยินนี่ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ แต่เปลือกนอกยังคงตอบอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
เจี่ยนฮูหยินไม่ได้พูดอะไร แค่ช้อนสายตามองเจี่ยนเหยียน เมื่อเห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อแพรสีใบบัวปักลายดอกยวนเหว่ย* กระโปรงจีบรอบสีแดงสดใส บนศีรษะประดับปิ่นหงส์ครึ่งซีก ปิ่นหยกเขียวห้อยพู่ และติดดอกไม้ผ้าแพรสีชมพูอ่อนน่ารักก็อดผงกศีรษะไม่ได้ ชุดกระโปรงกับเครื่องประดับบนตัวเจี่ยนเหยียนเหล่านี้ล้วนเป็นของที่เมื่อไม่กี่วันก่อนนางกับเสิ่นมามาเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อเลือกซื้อมาให้อีกฝ่ายโดยเฉพาะ
เจี่ยนฮูหยินเอ่ยบอกให้เจี่ยนเหยียนนั่งลง ด้านข้างมีสาวใช้ผู้หนึ่งยกถาดวาดลายดอกไห่ถังที่บนนั้นมีชาถ้วยหนึ่งอยู่มาวางบนโต๊ะไม้ฮวาหลีข้างมือนาง
เจี่ยนเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้เหมยกุยตัวแรกทางซ้ายมือ ไม่ได้ดื่มชา ทว่าเอ่ยถามขึ้นว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านแม่ไปเมืองหลวงมา ได้ไปเยี่ยมพี่ชายหรือไม่ ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ชายเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
หลังครอบครัวของเจี่ยนฮูหยินมาถึงจวนสกุลสวี นางก็จ่ายเงินซื้อฐานะลูกศิษย์สำนักศึกษาให้เจี่ยนชิง แล้วส่งไปเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาทันที แต่ว่าสำนักศึกษากลับอยู่ในเมืองหลวง ไม่สะดวกอย่างมากต่อการเข้าเรียนเลิกเรียน ท้ายที่สุดจึงได้แต่ทำตามสวีจ้งเซวียน ซื้อเรือนเล็กๆ ให้เจี่ยนชิงพักอยู่ที่เมืองหลวง ทั้งยังส่งบ่าวรับใช้ไปเป็นสหายร่วมเรียนและคอยปรนนิบัติที่นั่น รอมีเวลาว่างค่อยกลับทงโจวมาเยี่ยมเจี่ยนฮูหยินกับเจี่ยนเหยียนที่จวนสกุลสวี และเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่เจี่ยนฮูหยินกับเสิ่นมามาไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับให้เจี่ยนเหยียนที่เมืองหลวง ย่อมต้องแวะไปเยี่ยมเจี่ยนชิงมาด้วย ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงถามเช่นนี้
เจี่ยนฮูหยินตอบว่า “ดูผอมลงกว่าเดิมอยู่บ้าง ข้าก็ถามแล้ว เห็นว่าการเรียนของทางนี้หนักกว่าที่บ้านเราทางนั้น”
เจี่ยนเหยียนจึงเอ่ยปลอบนางไปรอบหนึ่งเป็นคำพูดว่า “เรียนหนักก็นับเป็นเรื่องดี เช่นนี้พี่ชายจะได้ก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิม รอปีนี้สอบเซียงซื่อผ่าน ความลำบากเหล่านี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านี้ของเจี่ยนเหยียนทำให้เจี่ยนฮูหยินผงกศีรษะติดๆ กัน กระทั่งสีหน้ายังดีขึ้นมาบ้าง หากมองแค่ภายนอกก็ยังดูเหมือนแม่ลูกคู่หนึ่งนั่งสนทนาสัพเพเหระกันจริงๆ