เจี่ยนเหยียนย่อมรู้ว่าที่เจี่ยนฮูหยินเรียกนางมาต้องไม่ใช่เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกแน่ จะต้องมีเรื่องอื่นที่อยากจะพูดอีก และไม่ผิดจากที่คาด หลังนางดื่มชาปี้หลัวชุนในถ้วยไปได้พอสมควร เจี่ยนฮูหยินก็ค่อยๆ ชักนำหัวข้อสนทนาไปยังเรื่องที่ตนอยากจะพูดในวันนี้
“มาอยู่ที่สกุลสวีได้สักพักหนึ่งแล้ว เจ้ากับบรรดาพี่น้องในสกุลสวีเหล่านั้นคบหากันเป็นอย่างไรบ้าง”
เจี่ยนเหยียนคิดในใจว่าวันนี้เจี่ยนฮูหยินพูดกับนางดีๆ อย่างหาได้ยากจริงๆ เรื่องนี้ย่อมมีสาเหตุจากที่เมื่อครู่นี้นางยกเรื่องเจี่ยนชิงขึ้นมา พูดคำพูดที่อีกฝ่ายชอบฟังเหล่านั้น แต่เบื้องหลังจะต้องมีเรื่องอื่นอย่างแน่นอน และตอนนี้ยังพูดไปถึงพี่น้องในสกุลสวี เกรงว่าเจี่ยนฮูหยินจะไม่สนใจพวกพี่น้องสตรีในสกุลสวี ที่สนใจคงมีแต่พี่น้องบุรุษของสกุลสวีมากกว่า ซ้ำยังมีแค่ ‘คนผู้นั้น’ เท่านั้น มิฉะนั้นเมื่อครู่นี้คงไม่มีทางโพล่งถามว่าสวีเมี่ยวจิ่นใช่น้องสาวแท้ๆ ของสวีจ้งเซวียนหรือไม่
เจี่ยนเหยียนรู้สึกจิตใจหนักอึ้งขึ้นทันใด แต่ภายนอกกลับไม่ได้แสดงออกมาสักนิด เพียงตอบอย่างนอบน้อมตามเดิม “ลูกเคยเจอคุณหนูสกุลสวีครบทุกคนแล้ว ปกติก็คบหากันได้ไม่เลวเจ้าค่ะ ส่วนบรรดาคุณชายของสกุลสวี พวกเขาล้วนพักอยู่ที่เรือนหน้า ลูกเองก็อยู่ที่เรือนใน ปกติจึงไม่ค่อยได้พบกันเจ้าค่ะ”
ไม่ค่อยได้พบกันเช่นนี้ไม่ได้ เจี่ยนฮูหยินคิดในใจ ต่อให้เจี่ยนเหยียนจะหน้าตางดงามกว่านี้ หากไม่ค่อยได้เจอกับสวีจ้งเซวียนก็เกรงว่าจะไม่มีความคืบหน้า แต่จะให้เจี่ยนเหยียนไปวนเวียนแถวเรือนหน้าทุกวันก็ไม่ดี คนในสกุลสวีมีผู้ใดเป็นคนโง่บ้าง ถึงเวลานั้นหากให้ผู้อื่นโดยเฉพาะฉินซื่อจับเจตนาของนางได้ เกรงว่าแม้แต่จะอยู่เป็นแขกที่นี่พวกนางก็คงทำไม่ได้แล้ว มิหนำซ้ำบุรุษพวกนี้ไม่ใช่ว่าชอบการหยอกเย้าครึ่งๆ กลางๆ ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธกันทั้งนั้นหรอกหรือ ถ้าหากแสดงออกชัดเจนเกินไป เกรงว่าจะสร้างความรำคาญให้ได้
เจี่ยนฮูหยินครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างแล้ว ข้ารู้สึกว่าคุณหนูสี่ผู้นั้นดูไม่เลว ซ้ำที่พักยังอยู่ใกล้กับเจ้า เวลาว่างๆ เจ้าก็ไปหาคุณหนูสี่บ่อยๆ ได้”
ในเมื่อหมายมั่นสวีจ้งเซวียนไว้ เจี่ยนฮูหยินย่อมสืบข่าวทั้งหมดที่สืบได้มาหมดแล้ว
นางรู้ว่าสวีจ้งเซวียนมีน้องสาวแท้ๆ แค่สวีเมี่ยวจิ่นคนเดียว ทั้งยังดีต่อน้องสาวผู้นี้มาก ทุกครั้งที่กลับมาช่วงวันหยุดจะต้องไปนั่งอยู่ที่เรือนของสวีเมี่ยวจิ่นทุกครั้ง ขอแค่เจี่ยนเหยียนสนิทกับสวีเมี่ยวจิ่นผู้นี้ ว่างๆ ไปเที่ยวหาอีกฝ่ายบ่อยๆ ยังต้องกลัวว่าจะไม่ได้เจอสวีจ้งเซวียนอีกหรือ
เจี่ยนฮูหยินดีดลูกคิดคำนวณในใจอย่างดี เพียงแต่เมื่อฟังเข้าหูเจี่ยนเหยียนกลับรู้สึกว่าเจี่ยนฮูหยินเห็นนางเป็นคนโง่เขลาจริงๆ ทว่าภายนอกกลับไม่สะดวกเผยท่าทีอะไรออกไป ยังคงขานรับอย่างนอบน้อมเท่านั้น “เจ้าค่ะ”
เจี่ยนฮูหยินจึงฝากฝังนางอีกบางเรื่อง เป็นคำพูดจำพวกวันหน้าไม่ให้นางแต่งตัวจืดชืดเกินไป เป็นเด็กสาววัยกำลังสดใส มิหนำซ้ำช่วงเวลาไว้ทุกข์ของบิดานางแม้จะยังไม่ครบตามเวลาแต่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว ทั้งยังอยู่บ้านผู้อื่น แต่งตัวจืดชืดเกินไปผู้อื่นจะมองอย่างไร ดังนั้นแต่งกายให้ดูสดใสหน่อยจะดีกว่า
เจี่ยนเหยียนเอาแต่ทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ยังคงขานรับอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”
เจี่ยนฮูหยินยังกำชับเรื่องบางอย่างกับเจี่ยนเหยียนต่อ จากนั้นก็โบกมือให้นางกลับไป รอหลังเจี่ยนเหยียนเดินออกไปจากห้อง ร่างกายที่นั่งยืดหลังตรงของนางก็เอนไปด้านข้าง แขนเท้าอยู่บนหมอนหนุนสีเหลืองอมเขียวทอลายมังกรตัวเล็ก ขณะที่คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน
เจินจูยกถาดที่วางชาถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา เสิ่นมามาที่ยืนอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดยื่นสองมือออกไปรับแล้ววางลงบนโต๊ะเบาๆ
“เสิ่นมามา” ทันใดนั้นก็ได้ยินเจี่ยนฮูหยินถอนหายใจถามขึ้นมากะทันหัน “เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจะทำเช่นไรดี”
เสิ่นมามาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง นางโน้มตัวลงเอ่ยถาม “ฮูหยินมีเรื่องลำบากใจอะไรหรือเจ้าคะ”
เสิ่นมามาเป็นคนสนิทของเจี่ยนฮูหยิน เรื่องของเจี่ยนเหยียน เจี่ยนฮูหยินย่อมเล่าให้นางฟังทุกอย่าง ดังนั้นเจี่ยนฮูหยินจึงบอกปัญหาในใจตนเองออกไปตรงๆ “เดิมทีคุณชายใหญ่สวีก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน เหยียนเจี่ยเอ๋อร์ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเด็กสาวหน้าบาง เจ้าดูตอนที่เมื่อครู่นี้พูดถึงบรรดาคุณชายสกุลสวีสิ ศีรษะนางแทบจะก้มไปถึงพื้น เกรงว่านอกจากตอนกินอาหารเมื่อเดือนก่อนที่ทั้งสองคนเคยพบกัน หลังจากนั้นจะต้องไม่เคยพบกันอีกแน่นอน แต่สองคนนี้จะไม่พบกันได้อย่างไร ต่อให้เหยียนเจี่ยเอ๋อร์จะหน้าตาถูกใจคนกว่านี้แล้วอย่างไร ต้องให้คุณชายใหญ่รู้เรื่องนี้ก่อนจึงจะถูก ดังนั้นจะต้องหาหนทางทำให้ทั้งสองคนได้พบหน้ากันบ่อยๆ ถึงจะดี แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งคือ…ห้ามให้ผู้อื่นรู้สึกว่าข้าจงใจทำ อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่คนของบ้านใหญ่ผู้นั้น เจ้ายังจำคำที่นางพูดกับข้าเมื่อเดือนก่อนได้หรือไม่ ต่อหน้าคนมากมายเพียงนั้นไม่ใช่ว่าทำให้ข้าขายหน้าหรือ หากให้นางล่วงรู้ความคิดนี้ของข้า เกรงว่าจะโวยวายขึ้นมา ถึงเวลานั้นพวกเราก็อยู่ในสกุลสวีกันไม่ได้แล้ว”