เรื่องประเภทถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่แต่ในเรือนแห่งหนึ่ง วันๆ แก่งแย่งชิงดีกับหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง สังเกตว่าวันนี้สามีของตนเองเข้าห้องหญิงสาวคนใด พรุ่งนี้จะวางแผนให้ตนเองได้รับความโปรดปรานมากกว่านี้อีกสักหน่อยอย่างไร นางไม่คิดจะทำหรอก ชีวิตของนางต่อให้ไม่อาจยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยก็จะต้องมีอิสรเสรี
นางคิดเช่นนี้มาตลอดทาง หลังกลับไปถึงเรือนแยกทิศตะวันออกก็นอนเอนหลังพิงบนพนักพิงเกราะผ้า หันหน้าออกไปมองภายนอกหน้าต่าง
ข้างนอกหน้าต่างปลูกต้นกล้วยเอาไว้ กิ่งใบดกหนา ใบห้อยตกลงมา ส่วนตรงมุมกำแพงที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยปลูกต้นจื่อเวยเอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูของดอกจื่อเวย จึงมีแค่ใบเขียวชอุ่มเท่านั้น
เวลาที่นั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างบานหน้าต่างทิศใต้สามารถมองเห็นไปถึงประตูเรือนได้ ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงได้เห็นซื่อเยวี่ยที่กำลังรีบร้อนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“คุณหนูเจ้าคะ” ซื่อเยวี่ยเลิกม่านไผ่เซียงเฟยที่ยาวจรดพื้นบนประตูกั้นขึ้นพร้อมเดินตรงเข้ามาเรียกนาง
เจี่ยนเหยียนมองนางพลางถาม “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมีสีหน้ากังวลใจเพียงนี้”
ซื่อเยวี่ยขยำผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมืออย่างไม่สบายใจขณะเอ่ยตอบ “ก่อนหน้านี้คุณหนูสั่งให้บ่าวไปหาผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนปักลายช่อดอกกล้วยไม้ตรงมุมที่ริมฝั่ง แต่เมื่อครู่นี้บ่าวไปหาที่ริมฝั่งมารอบหนึ่ง กระทั่งในพงหญ้าก็ค้นหา กลับไม่พบผ้าเช็ดหน้าที่คุณหนูพูดถึงผืนนั้นเลย จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“หาไม่เจอก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไร จะร้อนใจเพียงนี้ไปไย หากผู้อื่นพบเห็นเข้าจะคิดอย่างไร วันหน้าต่อให้ในใจจะมีปัญหาหนักหนากว่านี้ แต่บนใบหน้าก็ห้ามแสดงความร้อนรนออกมา ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นที่เจตนาไม่ดีเห็นเข้าแล้วอาจจะนำไปพูดอะไรก็ได้”
ซื่อเยวี่ยรับปาก ทว่าคิดไปคิดมาก็ยังถามออกมาอยู่ดี “แต่ว่าคุณหนู นั่นเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ท่านพกติดตัวไว้นะเจ้าคะ!”
“ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าพกติดตัวไว้แล้วอย่างไรกัน” เจี่ยนเหยียนถามอย่างประหลาดใจ “ผ้าเช็ดหน้าข้าต่อให้มีไม่ถึงยี่สิบผืนก็มีอย่างน้อยสิบแปดผืน หายไปผืนหนึ่งแล้วอย่างไร เดิมทีผืนนั้นก็ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าชอบที่สุดอยู่แล้ว”
ถึงอย่างไรซื่อเยวี่ยก็อายุยังน้อย รู้แค่ว่าผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวนั้นสำคัญมาก ทำหายไม่ได้ แต่ก็พูดเหตุผลไม่ออก
สุดท้ายไป๋เวยที่อยู่ด้านข้างจึงเป็นคนอธิบาย “คุณหนู ผ้าเช็ดหน้านั้นเทียบกับของอย่างอื่นไม่ได้ ท่านไม่เคยดูการแสดงงิ้ว จึงไม่ทราบว่าสิ่งของที่มอบให้คนในดวงใจมักเป็นพวกของที่พกติดตัวอย่างถุงหอม กำไล พู่หยก รวมถึงผ้าเช็ดหน้าทั้งสิ้น ท่านทำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้หายไป แม้สิ่งของจะเล็กน้อย แต่หากให้คนจิตใจต่ำช้าเก็บได้แล้วนำมาพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ถึงเวลานั้นกลับไม่อาจอธิบายชัดได้ มิใช่เป็นการทำลายชื่อเสียงของท่านหรอกหรือ”
เจี่ยนเหยียนถึงได้เข้าใจว่ายังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย แม้นางจะใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณมาสิบสามปีแล้ว แต่ความคิดบางอย่างก็ยังคงเป็นปัจจุบันอยู่ดี เห็นว่าก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเท่านั้น เมื่อชาติก่อนนางเคยทำโทรศัพท์มือถือหายไปตั้งหลายเครื่อง หากอิงตามหลักการนี้ มิใช่ว่านางไม่เหลือชื่อเสียงอะไรไปนานแล้วหรือ
ยามนี้ซื่อเยวี่ยยังคงเอ่ยอย่างร้อนใจ “เช่นนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ แต่ว่าบ่าวตามหาทั่วริมฝั่งทุกที่ก็ยังหาผ้าเช็ดหน้าของคุณหนูไม่พบ พี่ไป๋เวย ไม่เช่นนั้นพวกเราไปหาด้วยกันอีกสักครั้งดีหรือไม่”
ไป๋เวยยังไม่ทันพูดอะไรเจี่ยนเหยียนก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “ช่างเถอะ จะไปตามหาอีกเพื่ออันใดกัน ต่อให้ถูกคนเก็บไปจริงๆ บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นก็ไม่ได้ปักชื่อของข้าเอาไว้ คนอื่นเก็บไปแล้วยังจะทำอะไรได้เล่า จะรู้ว่าเป็นของข้าได้อีกหรือ ต่อให้รู้ แต่ขอแค่ข้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ของข้า เขายังจะทำอย่างไรได้อีก หากพวกเจ้ารีบร้อนออกไปตามหาที่นั่นในตอนนี้ กลับจะทำให้คนที่มีเจตนาร้ายรู้ทันทีว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าของข้า ดังนั้นก็ไม่ต้องตามหาแทนเสียเลย แค่ทำเป็นไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก็พอ”
ซื่อเยวี่ยกับไป๋เวยได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ปล่อยให้เป็นเช่นนี้แล้ว