บทที่ 1
ณ เมืองหลวงแห่งเทียนเฉาอันเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์ ปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้บรรยากาศช่วงสิ้นปียังคงเหลืออยู่ ทว่าคุกของศาลยุติธรรมกลับเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างกะทันหัน เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นในช่วงกลางดึกที่มีหิมะโปรยบางเบาจึงสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ยิ่งถ้ายืนอยู่บนที่สูง แม้จะห่างออกไปสิบกว่าช่วงถนนก็ยังมองเห็นไฟสีแดงวาบๆ นั้นได้
ศาลยุติธรรมเป็นหนึ่งในสามตุลาการ แห่งราชวงศ์ซึ่งมีหน้าที่ลงโทษจำคุกและสืบสวนคดีต่างๆ ทำให้มีเอกสาร หนังสือราชการ และหลักฐานจำนวนมหาศาลถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นเวลาหลายปี หากทุกอย่างถูกเปลวอัคคีกลืนกินไปจนหมด ผลลัพธ์คงยากจะคาดเดา ประกอบกับในห้องขังยังมีนักโทษถูกจองจำอยู่ด้วย พวกเขาย่อมไม่อาจละเลยเพลิงที่มาเยือนในช่วงกลางดึกนี้ได้
นี่ไม่ใช่เรื่องของเขา และเขาไม่ควรเข้ามายุ่ง แต่กลับจำเป็นต้องยุ่ง
บุรุษหนุ่มในชุดตระเวนราตรีสีดำย่างกรายไปตามสายลมเพื่อเข้าไปสำรวจบริเวณที่ไฟมอดไปแล้ว
ดูเหมือนจะมีนักโทษอุกฉกรรจ์คนหนึ่งฉวยโอกาสตอนที่พวกผู้คุมกำลังช่วยกันดับไฟอย่างวุ่นวายแอบหนีออกไปจากคุกของศาลยุติธรรม โดยมีเหล่ามือปราบกำลังตามไปจับกุมนักโทษที่หลบหนีคนนั้นอยู่
อืม…แต่…แทนที่จะบอกว่า ‘จับกุม’ มิสู้บอกว่า ‘ตามหาร่องรอย’ จะดีกว่า
เนื่องจากมือปราบใหญ่น้อยในเมืองหลวงมีจำนวนเกือบร้อยคน ทำให้ทางเข้าออกของที่ว่าการสามตุลาการล้วนอยู่ภายใต้กฎระเบียบและธรรมเนียมอันเคร่งครัด อาคารที่ว่าการตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองจะมีประตูเปิดไปทางทิศใต้ แม้อาคารจะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่กลับมีประตูใหญ่ที่เปิดออกไปทางทิศใต้ซึ่งนำไปสู่ภายนอกได้เพียงทางเดียว ทำให้สามตุลาการมีประตูที่จะเปิดออกไปได้แค่สามบาน ซึ่งประตูทุกบานจะมีลักษณะเป็นประตูบานคู่ที่ทาด้วยสีดำ ยามประตูทั้งสามเปิดออกพร้อมกันจะมีบานประตูทั้งหมดหกบานพับ
เวลานี้ มือปราบของหน่วยประตูหกบานได้แยกออกกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองถึงสามคน โดยกำลังคนและม้าสองกลุ่มกำลังไล่ล่านักโทษด้วยการควบม้าไปตามถนนใหญ่และตรอกเล็ก พวกเขาพูดคุยกันเสียงดังเหมือนกลัวชาวบ้านจะไม่รู้ว่าหน่วยประตูหกบานกำลังปฏิบัติภารกิจอย่างไรอย่างนั้น ส่วนกำลังคนและม้าอีกสามกลุ่มที่เหลือเมื่อได้รับสัญญาณก็เร้นหายไปในความมืดอย่างเงียบเชียบราวกับไม่มีตัวตน
ดูน่าสนใจไม่น้อยเลย
ที่แท้นักโทษแหกคุกที่ได้ลมช่วยหนุนนำใบเรือก็ไม่ได้ดวงดีจริงๆ แต่เพราะมีใครบางคนจงใจ ‘ปล่อยเสือกลับภูเขา’ เพื่อ ‘คลำตามเถาวัลย์ไปหาผลแตง’ ต่างหาก
ดูสิ พอกองหน้ามั่นใจว่าคนร้ายหนีออกไปได้ ‘โดยสะดวก’ ไฟด้านหลังก็ถูกควบคุมได้อย่างเรียบร้อย
เยี่ยมยอด!
ชายหนุ่มที่หมอบอยู่บนที่สูง มองหญิงสาวในชุดเจ้าหน้าที่สีน้ำหมึกด้วยแววตาวาวโรจน์
นางมีรูปร่างอรชรแน่งน้อย ยิ่งมาอยู่กับพวกมือปราบหลังเสือเอวหมีที่มีรูปร่างกำยำล่ำสันแล้ว ก็ยิ่งเน้นให้เห็นถึงความอ้อนแอ้นบอบบางชัดเจนยิ่งขึ้น ทว่าทั้งเอวและแผ่นหลังของหญิงสาวกลับหยัดตรงสู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
นางปล่อยไหล่ ทิ้งศอก ท่วงท่าดูสบายๆ ก็จริง แต่กลับให้ความรู้สึกงามสง่าเด็ดเดี่ยว ภายนอกงดงามหมดจดสดใส เปี่ยมด้วยความน่าค้นหา ทว่าภายในกลับแกร่งกร้าวอย่างน่าเหลือเชื่อ เขารู้ว่านางเป็นบุคคลชั้นยอด
การเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองหลวงและใช้ชีวิตอย่าง ‘หลบๆ ซ่อนๆ’ คอยมองและฟังข่าวจากทั่วทุกสารทิศอาจทำให้เขาไม่รู้จักคนอื่นๆ แต่ไม่มีทางไม่รู้จักนาง หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบาน
ขุนนางหลวงขั้นสามผู้มีสมญา ‘อสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง’
ศิษย์น้องของเมิ่งอวิ๋นเจิง ‘มือปราบเทวดา’ คนปัจจุบัน
บุตรสาวของมู่เจิ้งหยาง ‘มือปราบเทวดา’ คนก่อน
มู่ไคเวย
เมื่อคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะพบว่ามู่ไคเวยอายุเท่ากับเขา แต่ในช่วงระยะเวลาหลายปีนี้นางได้คลี่คลายคดีไปจำนวนไม่น้อยจนกลายเป็นหัวหน้าสี่ปักษีและขุนนางหลวงขั้นสาม ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ และยิ่งไม่ใช่เพราะมีบิดาช่วยหนุนหลัง
ชายหนุ่มถึงกับทอดถอนใจเพราะสตรีนางนี้มีฝีไม้ลายมือเหนือกว่าเขามาก