“ยังไม่ไปอีก! อยากหัวขาดจริงๆ หรือ!”
ช่วงที่ชายหนุ่มพูด มู่ไคเวยก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วเหยียบก้อนหินที่ยื่นออกมานอกตัวกำแพงเหินตัวขึ้นไปด้านบน
หญิงสาวแผดเสียงเข้ม “หยุดนะ!”
แต่นั่นมิเท่ากับเป็นการ ‘เร่งกระตุ้น’ คนร้ายหรือ
ชั่วเวลานี้ ไม่ว่าจะเจ็บเนื้อปวดตัวสักเพียงใด คนร้ายก็ต้องกัดฟันแล้วฝืนหยัดกายขึ้นเพื่อหนีออกจากเมือง
มู่ไคเวยตั้งท่าจะตามแต่กลับถูกสกัดเอาไว้
เมื่อหมดห่วงให้ต้องพะวง บุรุษปริศนาก็ใช้มือเปล่าต่อกรกับหญิงสาวผู้ถืออาวุธ เงาสองร่าง…หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กเคลื่อนพลิ้วอยู่บนที่สูง หลังต่อสู้กันเกือบร้อยกระบวนท่า ในมือของบุรุษปริศนาก็มีของมีคมสีเงินขนาดประมาณครึ่งแขนโผล่ออกมาสกัดกระบี่ที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรงของมู่ไคเวยเสียงดังแกร๊ง
มู่ไคเวยผงะไปด้านหลังแล้วเสียหลักล้มลง
ลมหายใจของหญิงสาวหอบกระชั้นเล็กน้อย นางรู้สึกเจ็บง่ามมือแปลบๆ ทว่าสายตาที่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามกลับไม่กะพริบเลยแม้แต่น้อย
เพราะบัดนี้นางสามารถพิจารณาคนตรงหน้าได้อย่างละเอียดแล้ว
เขาเป็นบุรุษที่สวมชุดตระเวนราตรีสีดำ ไหล่กว้างเอวสอบ แขนขายาว รูปร่างสูงใหญ่ แต่ยังไม่ถึงขนาดหลังเสือเอวหมีหรือเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ อากัปกิริยาของเขาก็แคล่วคล่องว่องไว แม้เขาจะดูผอมเพรียว แต่กล้ามเนื้อทุกมัดเหมือนมีพละกำลังแอบแฝงอยู่ ราวกับสามารถนำออกมาใช้ได้อย่างไม่มีหมดสิ้น ช่วงที่ต่อสู้กันเมื่อครู่ มู่ไคเวยรับรู้ได้ถึงการยั้งมือของฝ่ายตรงข้าม ทำให้นางนึกสงสัยว่าเขายังไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ออกมาทั้งหมด
หรือบางที…อาจจะยังไม่ถึงแปดส่วนเสียด้วยซ้ำ
มู่ไคเวยเห็นหน้าเขาไม่ชัด เพราะยามนี้แสงจันทร์ถูกเมฆบดบังอยู่ รัศมีอ่อนๆ ที่ทอดลงมาบนกำแพงและส่องกระทบหน้ากากเนื้อบางที่เลียนแบบหนังมนุษย์ของเขาเปล่งรัศมีแปลกตา ทำให้มองเห็นนัยน์ตาสีดำเป็นมันวาว
นี่เป็นเทพจากที่ใดกัน!
การที่เมืองหลวงมียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของนางผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบาน
จู่ๆ บุรุษตรงหน้าก็ถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงห้าวทุ้มดังขึ้นจากหลังหน้ากากว่า “กระบี่สั่งทำพิเศษของหน่วยประตูหกบานไม่อาจดูแคลนได้เลยจริงๆ ทั้งน้ำหนักเบา คล่องแคล่ว และดุดัน คุณสมบัติก็ครบครัน ทำได้ทั้งแทง ฟัน พลิก และตัด ซ้ำยังเปล่งประกายในความมืดได้เป็นระยะ อีกทั้งไม่ยึดติดกับแบบแผน สามารถพลิกแพลงได้หลากหลาย สมกับเป็นอาวุธที่ดี” เขาพูดพลางโบกแท่งแหลมทำจากเงินในมือเหมือนกำลังแสดงละคร อึดใจต่อมาอาวุธแหลมชิ้นนั้นก็หายไป
น่าจะเป็นอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เขาถึงหยิบใช้ได้ตามใจเช่นนี้ มู่ไคเวยคิดด้วยอารมณ์ที่เริ่มนิ่งแล้วหลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดเสียงเย็น “ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ผู้น้อยต่ำต้อยไม่คู่ควรให้มีนามเรียกขาน”
“เช่นนั้นก็ตั้งมาสักชื่อเถิด”
การที่จู่ๆ มู่ไคเวยขอร้องมาเช่นนี้ทำให้บุรุษปริศนาชะงักงัน สองตาเขากะพริบปริบๆ ก่อนออกปากขอรับการสอนสั่งอย่างหน้าไม่อายว่า “…เหตุใดข้าจึงไม่อาจไร้นาม”
เสียงตอบของมู่ไคเวยนิ่งสนิท “หากท่านไร้นาม หน่วยประตูหกบานคงตามจับตัวลำบาก”