ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าคืนนี้ตนได้กลายเป็นก้างชิ้นใหญ่ที่ไม่ว่าอย่างไรมู่ไคเวยก็คงไม่ยอมปล่อยไป หากวันนี้นางจับเขาไม่ได้ พรุ่งนี้หญิงสาวย่อมต้องติดประกาศไปทั่วเมืองและใช้กำลังของหน่วยประตูหกบานตามจับเขาไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวแน่ ทว่าการจับคนต้องมีใบหน้าและชื่อที่ชัดเจน เรื่องใบหน้า…เขามีแล้ว ซ้ำยังชัดแจ้งหนักแน่นดุจขุนเขา ขาดเพียงนามเท่านั้น
บุรุษปริศนาเกาหูพลางหัวเราะหึๆ “หรือไม่ หัวหน้ามู่แห่งกลุ่มสี่ปักษีลองตั้งสมญานามดีๆ ให้ข้าสักชื่อเถิด”
คนผู้นี้กะล่อนอย่างหาตัวจับได้ยาก รู้จักยอกย้อนกลิ้งกลอก ช่วงที่คุยกัน มู่ไคเวยจับได้ว่าอีกฝ่ายมีสำเนียงการพูดอย่างคนเมืองหลวงแท้ๆ หากไม่ใช่ทหารหลวงของราชสำนักที่เป็นฝ่ายธรรมะ ก็ต้องเป็นคนที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงมานานมากแล้ว
หัวคิ้วของมู่ไคเวยย่นเข้าหากันเล็กน้อย นางโค้งริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแค่บนใบหน้า แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มด้วย
“ท่านสวมชุดสีดำปลอด เช่นนั้นก็แซ่เฮยเถอะ แซ่เฮยนามว่าซาน ดีหรือไม่”
“…เฮยซาน?” ดวงตาสองข้างเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
มู่ไคเวยพูดต่อ “หากไม่ชอบเฮยซานจะเป็นโม่ซาน เสวียนซานหรืออูซานก็ได้ เลือกมาสักชื่อหนึ่งเถอะ”
บุรุษปริศนาแผดเสียงลั่นอย่างอดไม่อยู่ “เหตุใดต้องเป็นลำดับสาม ข้าเป็นลูกคนโตและเป็นลูกโทนของบ้าน เหตุใดถึงถูกเตะโด่งให้เป็นอันดับสามเสียได้เล่า”
อ้อ…ลูกโทนเช่นนั้นหรือ เบาะแสเล็กน้อยนี้ทำให้หัวใจของมู่ไคเวยกระตุกเล็กน้อย ทว่าสีหน้ายังคงนิ่งสนิท
“เที่ยวท่องยุทธภพต้องรับอันดับสาม นี่เป็นมารยาทที่พึงมีในยุทธภพเพื่อแสดงให้เห็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน มิกล้าอวดโอ่ตน ในเมื่อท่านเรียกตัวเองว่า ‘ผู้ต่ำต้อย’ ย่อมชื่อ ‘เฮยต้า’ ไม่ได้”
ชายหนุ่มถูกดักคอจนเถียงไม่ออก สองตายิ่งเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นหญิงสาวเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก เขาก็ต้องหรี่ตาลง แววตาเป็นประกายวับวาว
มู่ไคเวยไม่คิดจะคอยคำตอบ นางพูดขึ้นเองว่า “ท่านซานใช้มือเปล่าต่อสู้กับกระบี่ของข้า เป็นการต่อให้ข้าอย่างมาก เช่นนั้น เรามาประมือกันอีกยกหนึ่งดีกว่า ข้าเคยฝึกวิชามือคว้าจับเจ็ดสิบสองท่ามาบ้าง ไม่ทราบว่าท่านซานจะกล้ารับคำท้าหรือไม่”
บุรุษปริศนาชะงักก่อนจะรู้ตัวว่า ‘ท่านซาน’ ที่นางเรียกหมายถึงตัวเขา ใบหน้าคมคายจึงบึ้งตึงและมุมปากกระตุก เขานึกดีใจที่มีหน้ากากเนื้อบางช่วยซ่อนท่าทีทั้งหลายนี้เอาไว้
อีกประการคือนางกำลังยั่วเขาเพื่อถ่วงเวลารั้งเขาเอาไว้ เพราะนับตั้งแต่ที่มู่ไคเวยถามชื่อจนเป็นฝ่ายตั้งสมญานามให้นั้น บทสนทนาที่ดำเนินไปเรื่อยๆ นี้มีเป้าหมายอยู่ที่การรั้งเขาไว้ ไม่ยอมให้จากไป
เขามองออก แต่กลับหนีไปไม่ได้
ไม่ใช่เพราะหนีไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากหนี
เขาอยากพูดคุยกับนาง อยากได้ยินเสียงนาง เป็นความปรารถนาที่มีมานานแสนนานแล้ว