มู่ไคเวยไม่สนใจว่าใครจะใส่กุญแจมือใคร เพราะมือซ้ายที่สวมกุญแจมือของนางคว้าหมับเข้าที่ข้อมือขวาที่มีกุญแจมือของเฮยซาน ส่วนมือขวาตั้งท่าจะจับไหล่เขา
“ตาข่ายแปดทิศ ปล่อย!” เสียงใสของนางตะโกนก้อง และไม่รู้ว่ากำลังพลของหน่วยประตูหกบานมาแอบซุ่มอยู่บนกำแพงตั้งแต่เมื่อไร
ทว่าพริบตานั้น แหตาถี่แปดมุมขนาดใหญ่สองผืนก็ทิ้งตัวคลี่คลุมลงมาจากท้องนภาในยามราตรี พร้อมการโจมตีจากด้านซ้ายและขวา คนของหน่วยประตูหกบานแต่ละคนล้วนผ่านการฝึกปรือมาอย่างเข้มข้นและรู้ทางกันเป็นอย่างดี จนสามารถทำงานประสานกันได้ดุจอาภรณ์ฟ้าไร้ตะเข็บ สิ่งที่มู่ไคเวยคิดคือเฮยซานมีฝีมือสูงกว่านาง หากสู้กันตัวต่อตัว นางย่อมไม่มีทางชนะ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีอื่นมาสยบชายหนุ่ม ด้วยการฉวยโอกาสตอนที่ตาข่ายคลุมลงมาบนร่างของพวกเขาแล้วให้กำลังพลตีโอบลักษณะในสามชั้นและนอกสามชั้น นางไม่เชื่อว่าจะจับเขาไม่ได้
แต่…มู่ไคเวยกลับพลาด!
เพราะนางจับไหล่เขาไม่อยู่ ซ้ำมือที่จับมือขวาของชายหนุ่มไว้ก็ถูกเขาซัดพลังใส่จนชาหนึบไปครึ่งร่าง ทำให้นางต้องเปลี่ยนมากดมือของตนเองแทน
“ข้าคงอยู่ในตาข่ายดักของหน่วยประตูหกบานไม่ได้แล้ว!” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงใส เขาไม่ได้ทะยานตัวขึ้นเพื่อหาทางรอด แต่กลับลากตัวมู่ไคเวยวิ่งออกไปทางด้านข้างแทน
สถานการณ์เปลี่ยนผันรวดเร็วมากเสียจนมู่ไคเวยรู้สึกว่าเลือดลมในร่างแข็งค้างไปแล้ว ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางอ่อนยวบลง เพิ่งจะอ้าปากร้องเตือนพวกพ้องของตนให้ระวัง เจ้าหน้าที่กลุ่มสี่ปักษีจำนวนสี่คนก็ถูกเฮยซานเล่นงานจนลงไปนอนกองตามๆ กันแล้ว
เขาไม่ปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อ แต่เลือกพุ่งตัวออกจากวงล้อมไปทันที ทั้งยังลากหญิงสาวกระโดดออกไปนอกกำแพงด้วย
“ไม่เป็นไรนะ ข้าคอยคุ้มกันอยู่” ราวกับรู้ว่าเลือดลมในตัวมู่ไคเวยแข็งค้าง ช่วงที่ทิ้งตัวลงมาจากกำแพงที่มีความสูงเท่าอินทรีเหิน เขาจึงไม่ลืมที่จะหันมาปลอบ คล้ายกับกลัวว่านางจะไม่ยอมตามมา และไม่อาจปล่อยนางทิ้งไว้ได้
สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการถูกปกป้องอย่างมู่ไคเวยถึงกับหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันที หัวใจก็เหมือนกับหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง
นางจ้องดวงตาที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา มือซ้ายที่เริ่มมีแรงกลับคืนมาแล้วบีบตอบมือเขากลับไปทันใด
นางบีบมือเขาแรงมาก คล้ายเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจนทำให้เขารู้สึกได้ว่า ‘นางไม่ยอมให้เขาหนี หากเขาจะหนี ไม่ว่าจะหนีไปที่ใดย่อมต้องพานางไปด้วย’ อย่างชัดเจน
“ท่านซานมีที่พักอยู่ในเมืองหลวงแล้วจะหนีไปที่ใด และจะหนีได้นานสักเพียงใดกัน”
“หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีคิดจะหยั่งเชิงข้าสินะ แต่ท่านก็คิดได้ถูกจุด เพราะตอนนี้ข้าอยู่เมืองหลวงจนคุ้นแล้วจึงไม่มีความคิดจะย้ายรัง เพราะฉะนั้นข้าไม่หนี” เฮยซานยกมือของทั้งสองคนที่กุมกันแน่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีใดถึงทำให้มือใหญ่เลื่อนจากข้อมือไปแนบอยู่ที่มือของหญิงสาวได้ แม้แต่นิ้วของทั้งสองยังสอดประสานกันอย่างแนบแน่น
“ท่านทำอะไรน่ะ!” มู่ไคเวยเข้ามารับหน้าที่ตั้งแต่อายุสิบห้า จนวันนี้นางอายุยี่สิบห้าปีแล้ว มีเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระโจนออกมานอกอกน้อยมาก แต่ชั่วขณะนี้ การมีชายหนุ่มมาประสานมือและกอบกุมนิ้วของนางอย่างแนบแน่นจนไม่อาจหลบหนีได้นี้ เป็นเรื่องที่มู่ไคเวยไม่เคยพบเจอมาก่อน น้ำเสียงของนางจึงเครียดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
ชายหนุ่มมองนางด้วยดวงตาเป็นประกายพลางยิ้มอย่างสดใส “คนร้ายเข้ามาอยู่ในรัศมีแล้ว หากเรายังไม่ปล่อยธนูอีก ไม่เท่ากับเป็นการปล่อยโจรไปเปล่าๆ หรือ”