“ท่านหมายความเช่นไร…อ๊ะ!” พูดยังไม่ทันจบคำ มู่ไคเวยก็ถูกอีกฝ่ายกระชากให้แล่นฉิวไปเหมือนสายลม ลมเย็นจัดพรูเข้าปากที่อ้าค้างของนาง ทำให้นางถามอะไรไม่ได้
เงาร่างที่กระโดดลงมาจากกำแพงเมืองติดต่อกันล้วนเป็นยอดฝีมือผู้ชำนาญวิชาตัวเบาในหน่วยประตูหกบาน เมื่อพวกเขาเห็นมู่ไคเวยถูกจับจึงรีบติดตามมา ขณะที่คนที่เหลือพากันไปเปิดประตูเพื่อควบม้าตามมาช่วย ซึ่งนี่คือวิธีการทำงานของหน่วยประตูหกบาน ต่อให้มู่ไคเวยไม่หันไปมอง นางก็สามารถจินตนาการภาพเหตุการณ์บนกำแพงเมืองได้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือ…เฮยซานมีเป้าหมายอะไรถึงได้ทำเช่นนี้
อีกประการหนึ่ง วิชาตัวเบาของเขาก็ดูเหมือนวิชาทางสายมารอย่างมาก เนื่องจากการกระโดดโลดโผนของเขาดูไม่กินแรง ลมหายใจไม่สะดุด คล้ายไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายลมปราณระหว่างช่องอกกับจุดตันเถียน ผิดกับมู่ไคเวยที่พ่นลมหายใจออกมาเป็นกลุ่มควันสีขาว มองเห็นได้ถนัดท่ามกลางราตรีที่เหน็บหนาว และในช่วงที่สายตาของนางเริ่มพร่าเลือน มู่ไคเวยก็มายืนอยู่บนที่สูงกับเฮยซานแล้ว
นางเพิ่งจะปรับตัวรับกับการฉุดลากของเขาได้สำเร็จ แต่ร่างกายและพลังลมปราณกลับทำงานไม่ประสานกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะสามารถสลัดการเกาะกุมของนิ้วเขา หรือเปลี่ยนเป็นฝ่ายคุมตัวเขาไว้เลย
หลังเริ่มปรับลมปราณจนหายจากอาการชาหนึบแล้ว มู่ไคเวยก็ทำได้เพียงจับจังหวะการเหาะเหินและเคลื่อนไหวเพื่อพยายามตามเฮยซานไปอย่างเดียว
แต่แล้วจู่ๆ เฮยซานก็หันกลับมามองนาง
มู่ไคเวยรู้ว่าเขากำลังยิ้มเพราะดวงตาที่โค้งลงเหมือนสะพานน้อยๆ คล้ายเขากำลังชื่นชมนางว่าทำได้ไม่เลวที่สามารถปรับตัวตามเขาได้
นิ้วที่ถูกกุมแน่นของมู่ไคเวยรวบเข้าหากันอย่างแรง เหมือนอยากจะบีบเขาให้เจ็บ แต่ผลที่ได้คือนางกลับไม่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยจากชายหนุ่ม มีเพียงเสียงหัวเราะหึๆ เบาๆ เท่านั้น
มู่ไคเวยจึงเลิกเล่นงานเขา เพียงปล่อยตัวตามแรงฉุดของเขาเพื่อขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้
ที่นี่อยู่ห่างจากประตูเมืองราวยี่สิบลี้ เป็นภูเขาป่าไม้และที่ดินล้ำค่าของอารามหลังใหญ่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง สถานที่ที่ได้รับการสักการะมากที่สุด…อารามเป่าหวา
มู่ไคเวยเห็นคนผู้หนึ่งขี่อาชาสีน้ำตาลอ่อนพ่วงพีวิ่งทะยานไปตามถนน มุ่งตรงไปยังยอดเขา ซึ่งคนบนหลังม้าคือนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ฉวยโอกาสหลบหนีออกจากศาลยุติธรรมตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้ในคืนนี้
“เกือบสองเดือนที่ผ่านมา ได้เกิดคดีสตรีถูกลักพาตัวทั้งในและนอกเมือง สำนวนคดีอยู่ที่ศาลยุติธรรม ซึ่งเกินกว่าครึ่งของเจ็ดแปดครอบครัวที่เกิดเหตุล้วนแต่เป็นครอบครัวของคหบดีในเมืองหลวง” เฮยซานพูดเสียงเบา น้ำเสียงเยาะหยันมีกระแสเกียจคร้าน “หน่วยประตูหกบานถูกเบื้องบนเร่งให้รีบปิดคดี ไม่ง่ายเลยกว่าจะจับปลาเล็กปลาน้อยได้หนึ่งตัว แต่มันไม่พอให้แคะขี้ฟันหรอก เลยต้องใช้ปลาเล็กไปตกปลาใหญ่เพื่อจับตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังออกมา แค่กๆ ด้วยเหตุนี้ถึงต้องปล่อยปลาเล็กให้หนี ทั้งยังกลัวด้วยว่ามันจะมีแรงวิ่งไปขอความคุ้มครองจากปลาใหญ่ไม่พอเลยต้องเตรียมม้าให้ด้วย”
ม้าตัวสีน้ำตาลอ่อนที่คนร้ายขี่ไปเป็นหนึ่งในม้าจำนวนสิบกว่าตัวที่มู่ไคเวยให้มือปราบสามคนนำไปไว้ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง แล้วให้พวกเขาปลอมตัวเป็นพ่อค้าม้าที่นำสินค้ามารอแลกเปลี่ยนยามประตูเมืองเปิดตอนเช้า ดูจากตอนนี้ คนร้ายสามารถขโมยม้าจากฝูงเพื่อขี่หลบหนีออกจากเมืองเข้าไปในป่าได้อย่าง ‘ราบรื่น’ แล้ว