บทที่ 2
กลิ่นเย็นฉุนจากร่างของบุรุษคนนั้นยังคงอยู่ แม้กลิ่นจะน้อยลงไปบ้างแล้ว แต่กลับกรุ่นกลิ่นจางอยู่ในสายลมของภูเขาเย็นจัดยามที่พัดผ่านมา
หลังจัดวางกำลังใหม่เรียบร้อย มู่ไคเวยส่งงานให้ปี้โถวกับพรรคพวกดูแลต่อก่อนสะกิดเท้าไล่ตามกลิ่นเข้าไปในป่า
ฆานประสาทของนางเฉียบไวกว่าคนทั่วไป หากพูดตามอย่างบิดาของนางมู่เจิ้งหยางบอกเอาไว้ก็คือจมูกนางไวกว่าคนปกติสิบสองส่วน
เนื่องจากมู่ไคเวยมีความสามารถในการจำแนกกลิ่นได้อย่างละเอียดชัดเจน ขอเพียงเป็นกลิ่นที่นางสนใจแล้วจะไม่มีวันลืมเลือน
กลิ่นที่นางได้จากตัวเฮยซานในคืนนี้เหมือนกับกลิ่นแปลกๆ บนสัมภาระที่มารดานางทิ้งไว้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
นางจะต้องตามหาเขาให้พบ
สิบเจ็ดปีผ่านไป ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เบาะแสเล็กๆ ชิ้นนี้ แล้วจะให้นางปล่อยไปง่ายๆ ได้หรือ
อยู่นั่น! อยู่ตรงนั้น! ข้าหาเจอแล้ว!
พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากด้านหลัง เงาร่างสูงเพรียวของบุรุษก็ออกมาให้นางเห็นแค่แวบเดียวแล้วหลบเข้าไปในมุมมืดของป่าที่ไร้แสงจันทร์ส่อง ดวงตาวาววับที่จดจ้องหญิงสาวมีตาดำกับตาขาวแยกกันชัดเจน คล้ายเขากำลังตกใจมากที่นางไล่ตามมาได้
หน้ากากเนื้อบางของชายหนุ่มเลื่อนหลุดออกไปแล้ว พอมู่ไคเวยสังเกตเห็น นางก็ยืนนิ่งโดยไม่ได้ก้าวเข้าไปใกล้อีก
เพราะบุรุษที่สวมหน้ากากทำงานย่อมไม่อยากให้ผู้ใดเห็นใบหน้าที่แท้จริง หากนางไล่ตามติดมากเกินไป เกรงว่าเขาจะหนีไปไกลกว่าเดิม วิชาตัวเบาของมู่ไคเวยสู้เฮยซานไม่ได้ หากบีบให้เขาต้องหนี การไล่ตามเขาจะต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาล
ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงหยุดเท้า
ระยะห่างจากจุดที่ชายหนุ่มเร้นกายเข้าไปในความมืด ทำให้มู่ไคเวยเห็นเครื่องหน้าของเขาได้ไม่ถนัด แต่นางยังมองออกว่าชายหนุ่มยกมือขึ้นมากุมจมูก..ชั่วขณะนั้น มู่ไคเวยทั้งรู้สึกขำและรู้สึกผิดในคราวเดียวกัน
“จมูกของท่านซาน…ยังดีอยู่หรือไม่”
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัด อึดใจต่อมา เสียงเล็กเสียงน้อยของบุรุษก็ดังอึกอักมาว่า
“วิชาโขกศีรษะเหล็กของใต้เท้ามู่ทำให้ใบหน้าอันดูดีของข้า…ยังพอไหวกระมัง”
มู่ไคเวยอยากหัวเราะมาก แต่นางไม่ได้เปล่งเสียงหัวเราะออกไป เพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเพราะน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดของชายหนุ่ม
“ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถาม ขอท่านซานโปรดช่วยไขข้อข้องใจให้ด้วย”
ชายหนุ่มอุทานแล้วหัวเราะเสียงแปลกๆ “เป็นเพราะท่านจับตัวข้าไม่ได้ หรือถึงจับได้ก็ขังข้าไว้ไม่สำเร็จ ท่านเลยยังไม่ยอมแพ้จึงเปลี่ยนวิธีเพื่อมารับมือกับข้าใช่หรือไม่”