“ที่แท้มุกเม็ดนี้ก็อยู่ที่เจ้า” เขานิ่งไปนิดหนึ่ง “นี่คือลูกประคำที่เสด็จย่าใส่ติดข้อพระหัตถ์มานานหลายปี ใช้ไข่มุกจำนวนสิบแปดเม็ดที่มีลักษณะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนร้อยเป็นสร้อยประคำข้อพระหัตถ์เพื่อให้เสด็จย่าทรงใช้เวลาสวดมนต์ หลังเกิดเหตุที่อารามเป่าหวา ไม่รู้ว่าสร้อยประคำขาดตั้งแต่เมื่อไร พวกนางกำนัลเก็บเม็ดมุกกลับมาแต่หาเม็ดสุดท้ายไม่พบ”
มู่ไคเวยเอ่ยตอบ “ผู้น้อยเก็บได้จากข้างเท้าของกวนจี ตอนนั้นสถานการณ์วิกฤตทำให้กวนจีเกือบหนีไปได้ คิดไม่ถึงว่าเขาเกิดลื่นล้มในช่วงเวลาความเป็นความตายจนลุกไม่ขึ้น”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว คิ้วที่ยาวจนเกือบถึงจอนผมของฟู่จิ่นซีก็เลิกขึ้นสูงก่อนผงกศีรษะ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ข้าเข้าใจแล้ว สร้อยประคำคงขาดตอนนั้น แล้วไข่มุกเม็ดที่อยู่ในมือใต้เท้าก็กลิ้งไปอยู่ข้างเท้าของกวนจีทำให้เขาบังเอิญเหยียบถูกมันเข้าเลยเสียหลักล้มลงไปกินมูลสุนัข”
เห็นนางเม้มปากนิ่งงัน ฟู่จิ่นซีก็เอนตัวเข้าหานางอีกครั้ง “หรือใต้เท้าไม่ได้คิดเช่นนี้?”
มู่ไคเวยยิ้มขื่นอยู่ในใจ
หากข้าไม่คิดเช่นนี้แล้ว จะให้คิดว่ามีใครสักคนยื่นมือมาช่วยด้วยการใช้อัญมณีเป็นอาวุธลับเล่นงานกวนจีจนหมอบราบโดยที่ข้าจับพิรุธไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ใบหน้าคมคายผงะถอยห่างออกไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งจะเข้าไปแอบหลังแขนเสื้อกว้างเพื่อก้มหน้าไอเบาๆ
มู่ไคเวยเลิกคิดมาก นางรีบยื่นเตาอุ่นมือกับไข่มุกไปให้ “ท่านอ๋อง…โปรดรักษาสุขภาพด้วย”
เสียงไอไม่ได้หยุดลงง่ายๆ เขาไอจนเนตรหงส์มีน้ำตาเล็ด
ชายหนุ่มเอียงหน้ามองนางพลางกระพือขนตาช้าๆ ริมฝีปากซีดเซียวแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนกำลัง
มู่ไคเวยรู้ว่าตนเองพูดปลอบใครไม่เก่ง ทั้งที่ควรจะพูดอะไรให้มากกว่าคำว่า ‘รักษาสุขภาพ’ ที่ดูไม่มีสาระเช่นนี้
“ที่ข้านั่งรถออกมาวันนี้เพราะคำสั่งของพวกหมอหลวงที่บอกว่าการมาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นอกเมืองจะทำให้ร่างกายแข็งแรง และสภาพจิตใจดีขึ้น” ฟู่จิ่นซีรับเตาอุ่นมือที่มู่ไคเวยส่งคืนมาซุกเข้าในเสื้อคลุม “แต่การได้เจอใต้เท้ามู่ และได้นั่งรถม้าคันเดียวกัน ได้พูดคุยกันเช่นนี้ กลับทำให้ข้ารู้สึกสบายใจได้มากกว่า”
‘คำสารภาพ’ ของเขาทำให้มู่ไคเวยนิ่งงัน ริมฝีปากขยับคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมารถม้ากลับหยุดลงพอดี น้ำเสียงแจ่มใสของผู้ติดตามดังมาจากนอกม่านดิ้นทองผืนหนาหนักว่า “ท่านอ๋องขอรับ เรามาถึงหน้าจวนสกุลมู่แล้ว”
พอมู่ไคเวยได้ยิน นางก็ทำท่าจะแหวกผ้าม่านลงจากรถม้า