ความคิดของหญิงสาวเรียบง่ายมากคือพอลงจากรถม้าแล้วนางจะยืนตัวตรงเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และทำความเคารพเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างสำรวม ทว่ามู่ไคเวยกลับไม่ได้ทำดังใจคิด เพราะคังอ๋องเลือกที่จะยื่นนิ้วมาหยิบไข่มุกในมือนางไปตอนนี้พอดี
ผลคือ…มือของนางถูกมือเขายึดไว้พร้อมไข่มุกเม็ดนั้น
“ท่านอ๋อง?” มู่ไคเวยไม่เคยสนใจเรื่องที่ว่าชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดกันทั้งการให้และการรับ แต่การถูกรวบมืออย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หัวใจของนางเต้นกระหน่ำรัวเร็วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ภายในรถม้าเงียบสนิท สายตาของคังอ๋องที่จับจ้องอยู่ที่นางฉายแววลึกซึ้งคล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด
“ตอนเด็ก ท่านพ่อท่านแม่พาข้าไปหาหมอทำให้ถูกสังหาร แต่ตัวข้าที่ควรตายมากกว่ากลับรอดชีวิต พอข้ากลับมาที่เมืองหลวงเลยถูกคนลือว่ามีชะตาพิฆาตบิดามารดามาโดยตลอด ตอนอายุสิบแปดปี ข้าได้รับพระกรุณาจากเสด็จย่าและเสด็จลุงช่วยเฟ้นหาชายาเอกให้…เรื่องนี้ หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีที่ตระเวนอยู่ในเมืองหลวงน่าจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง”
มู่ไคเวยรับคำ “หลานสาวผู้อาวุโสจูเก๋อ และบุตรีของใต้เท้าเสนาบดีแห่งกรมพิธีการน่ะหรือ” อันที่จริง นางสามารถแกะมือออกจากอุ้งมือของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงไม่ทำเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เทียนเฉาผู้สูงศักดิ์ ทว่า…การสลัดมือเขาออกไปอาจทำให้…เขาเสียความรู้สึก เมื่อคิดได้เช่นนี้มู่ไคเวยก็ไม่อยากทำให้ฟู่จิ่นซีต้องเสียใจ
ถ้าจะให้บอกเหตุผลกันจริงๆ ล่ะก็…อืม น่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มมีรูปโฉมเหมือนคนที่ต้องการการคุ้มครองอย่างมากกระมัง
ริมฝีปากรูปกระจับของฟู่จิ่นซีกระตุกเบาๆ เป็นรอยยิ้มอันฝืดฝืน “ถูกต้อง…มิผิด แต่พอมีคำสั่งพระราชทานสมรสให้คุณหนูสกุลจูกับข้าแล้ว คุณหนูสกุลจูก็เกิดล้มป่วย หลับไม่ยอมตื่น ทำให้ผู้อาวุโสจูต้องร่ำไห้มาทูลฟ้อง คนแก่อายุร่วมแปดสิบร้องไห้ฟูมฟาย ขอร้องฮ่องเต้ให้ถอนราชโองการ ยกเลิกการแต่งงานระหว่างคุณหนูสกุลจูกับข้า ฮ่องเต้จำต้องทำตามคำขอร้องของขุนนางเก่าแก่สามแผ่นดินด้วยการยกเลิกการหมั้นหมาย เมื่อนั้นคุณหนูสกุลจูถึงฟื้น จากนั้น…เรื่องทำนองนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกในการพระราชทานสมรสครั้งที่สอง บุตรีของใต้เท้าเสนาบดีแห่งกรมพิธีการหลับไม่ยอมตื่นเช่นเดียวกัน จนมีการยกเลิกการหมั้นแล้วถึงได้ฟื้นคืนสติ”
มู่ไคเวยเม้มริมฝีปาก “เหตุใดท่านอ๋องจึงเล่าเรื่องนี้ให้ผู้น้อยฟังเล่า”
ฟู่จิ่นซีถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือ การที่เสด็จย่าอยากให้เจ้าเป็นชายาเอกของคังอ๋อง เพราะเจ้าสังหารนักบวชชั่วและตามจับคนร้ายที่อารามเป่าหวาได้อย่างดุดัน มีประสบการณ์โชกโชน สามารถปิดประตูจัดการศัตรูได้อย่าง หากเจ้าแต่งเข้าจวนคังอ๋องแล้ว จะต้องกำราบปีศาจ และกำราบดาวปีศาจนำเคราะห์อย่างข้าได้”
มู่ไคเวยคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ ทั้งที่เวลาบุรุษสตรีคุยเรื่องแต่งงานกันน่าจะมีความรู้สึกเขินอาย แต่เขากลับไม่มี มีแต่สีหน้าคิดหนักและเป็นกังวล ส่วนนางก็ไม่มีอารมณ์ขัดเขินเช่นเดียวกัน นางคิดเพียงแต่ว่าเขา…น่าสงสาร
ไม่รู้ว่าควรพูดปลอบอย่างไร นางจึงพลิกมือเพื่อจับมือของเขา แต่เพราะกลัวว่าไข่มุกในมือจะไปกดถูกมือชายหนุ่ม มู่ไคเวยจึงผ่อนแรงลง ไม่กล้าบีบมือเขาแรง
แววตาของฟู่จิ่นซีเปลี่ยนไปทันที ได้แต่มองจ้องนางตาไม่กะพริบ
“ท่านอ๋อง…มิใช่ดาวปีศาจนำเคราะห์อะไร ท่านอย่าคิดมากเกินไป”
เอ่อ…ข้าพูดไม่เก่งจริงๆ
บางสิ่งวาบผ่านมาในสมอง มู่ไคเวยเชิดหน้าขึ้น “แล้วผู้น้อยเล่า ท่านอ๋องก็เห็นอยู่ว่าแม้ไทเฮาจะยกผู้น้อยให้ท่าน ผู้น้อยก็ยังอยู่ดีมีสุขมิใช่หรือ มิใช่ผู้น้อยโอ้อวดตนเอง แต่ผู้น้อยสุขภาพดีมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลยสักครั้ง แข็งแรงพอๆ กับวัว ผู้น้อยก็อยากรู้เหมือนกันว่าโรคหลับไม่ตื่นนี่จะทำอะไรผู้น้อยได้หรือไม่!”
ช้าก่อน ไม่ถูกสิ ข้าแค่จะพูดให้เขาสบายใจขึ้นมิใช่หรือ เหตุใดสุดท้าย…กลับเหมือน…เหมือนข้าสามารถสยบไอปีศาจได้จริงๆ และไม่มีทางหลับไม่ตื่นเพราะได้รับพระราชทานให้แต่งงานกับเขา
ปวดหัวนัก ลำบากใจเสียจริง! ข้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไรอยู่นี่
ทว่าฟู่จิ่นซีกลับยิ้มจนมองเห็นฟันขาว เสียงหัวเราะอันเสนาะหูมีกังวานเปี่ยมพลังจนทำให้คนได้ยินใจสั่น
เพียงแต่เขากำลังขบขันคำพูดที่เผลอหลุดปากไปของนาง หรือขบขันเพราะถูกนางเย้าแหย่ มู่ไคเวยก็ไม่แน่ใจ นางรู้แต่เพียงว่าการที่คนหน้าตาดูดีมาตั้งแต่เกิดอย่างเขายิ้มมากๆ เช่นนี้ เป็นเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดินอย่างยิ่ง
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มค่อยๆ เบาลง เขาเผลอใช้นิ้วโป้งคลึงผิวของนาง แววตาก็พลันสงบลง
“ข้าเข้าใจว่าตนเองไม่ใช่คู่ที่ดีสำหรับใต้เท้ามู่ หากใต้เท้ามู่รู้สึกลำบากใจที่จะปฏิเสธงานสมรสพระราชทานจากไทเฮาครั้งนี้ ข้าสามารถจัดการให้ได้ และจะทำอย่างดีเพื่อเป็นการชดเชย ไม่ให้สกุลมู่ของใต้เท้ามู่ต้องเดือดร้อนเป็นอันขาด”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 พ.ย. 62)