“อืมๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฟู่จิ่นซีงึมงำเสียงเบา
“ท่านอ๋องพูดอะไรนะเพคะ” มู่ไคเวยได้ยินไม่ชัด
เขาจึงเลิกคิ้ว “ไม่มี…ไม่มีอะไร ข้าแค่จะบอกว่าพอใต้เท้ามู่เปลี่ยนมาใส่ชุดสตรีเช่นนี้แล้วงามมาก”
“…” มู่ไคเวยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เนื่องจากสวมชุดสตรี นางจึงไม่ได้นั่งขัดสมาธิอย่างห้าวหาญต่อหน้าอ๋องแห่งราชวงศ์เทียนเฉา แต่เลือกนั่งพับเพียบแทน ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ มู่ไคเวยก็ขัดเขินจนต้องดึงกระโปรงยาวและเอามือเช็ดกับกระโปรง “เรื่องนี้…ขอบพระคุณท่านอ๋องที่เอ่ยชม” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและกระตุ้นตนเองอีกครั้ง “ว่าแต่…ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรว่าสุสานของมารดาข้าอยู่ที่ทะเลสาบหลิ่วหูเพคะ”
รู้ได้อย่างไร…
“เจ้าหนาวหรือ” ชายหนุ่มโพล่งถาม
พาออกนอกเรื่องจนได้สินะ! “หา? เอ่อ ผู้น้อยไม่…” นางตั้งท่าจะส่ายหน้า
“ต้องหนาวแน่ ฤดูใบไม้ผลิยังไม่มาแต่ฝนฤดูหนาวกลับตกไม่หยุด ทั้งยังเพิ่งกลับมาจากทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งด้วย เจ้ากอดนี่ไว้ดีกว่า”
ร่างที่สวมเสื้อคลุมจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะลุกขึ้นนั่งตัวตรง และโน้มตัวเข้ามาหาหญิงสาว
คังอ๋องยัดบางสิ่งเข้ามาในมือนาง มู่ไคเวยยังอยู่ในท่านั่งท่าเดิม เพียงรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเกร็งขึ้นอย่างกะทันหัน และให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างแปลกๆ
ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในอุ้งมือของนาง มันอุ่นเสียจนทำให้นิ้วเย็นเฉียบของมู่ไคเวยรู้สึกเจ็บแปลบนิดๆ
เมื่อมองดูหญิงสาวก็พบว่าเป็นเตาอุ่นมืออันเล็กประณีตอันหนึ่ง บัดนี้นางถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองหนาวแต่กลับทำเหมือนความหนาวจนแข็งพวกนี้เป็นเรื่องสามัญธรรมดา
“ผู้น้อยไม่กล้าใช้เตาอุ่นมือของท่านอ๋องหรอกเพคะ” นางส่งคืน
“ไม่ได้ให้เจ้าใช้ แค่วานใต้เท้ามู่ช่วยประคองไว้ให้ข้าหน่อย เพราะรถม้ามันโคลงเคลงมาก อย่าทำมันตกเชียวล่ะ”
ฟังแล้วมุมปากของมู่ไคเวยก็กระตุกนิดๆ นางไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
นางวางมือทั้งสองข้างลงอย่างเงียบๆ และประคองเตาอุ่นมือไว้ที่หน้าอก ทำให้ได้ยินเสียงของเขาพูดต่อว่า
“ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าสุสานของจอมยุทธ์หญิงลิ่นผู้เป็นมารดาของใต้เท้าอยู่ที่ใด ในเมื่อสกุลมู่ของท่านทำงานรับใช้ราชสำนักมาถึงสามรุ่น เป็นแบบอย่างของสามตุลาการและเป็นที่เคารพยำเกรงของราษฎร สกุลมู่จึงมีความชอบอย่างใหญ่หลวง นอกจากนี้ใต้เท้ายังเข้ามารับหน้าที่ในกลุ่มสี่ปักษีของหน่วยประตูหกบานทั้งที่เป็นสตรี ซ้ำยังทำงานได้ดีกว่าบุรุษ สามารถคลี่คลายคดีได้นับไม่ถ้วน ช่วยขจัดภัยร้ายมากมายให้บ้านเมือง ในสายตาข้า ท่านถือเป็นผู้องอาจในตำนานประเภทเดินสิบก้าว สังหารหนึ่งชีวิต สามารถท่องเที่ยวไปได้สุดหล้า” พูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าคมคายที่ดูอมโรคก็ฉายแววผิดหวัง
“ตอนเด็กๆ ข้าอยากมีชีวิตที่สามารถท่องเที่ยวไปในใต้หล้าอย่างมีความสุข ทว่าจนใจที่ร่างกายอ่อนแอทำให้ทุกสิ่งที่ข้าคิดเป็นได้เพียงแค่ความคิด ในเมืองหลวงแห่งนี้ สิ่งที่ตรงกับจินตนาการของข้ามากที่สุดก็คือสกุลมู่ของเจ้า ดังนั้นข้าจึงเผลอใส่ใจสกุลมู่ของเจ้าเสมอ”
มู่ไคเวยไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ สองแก้มจึงร้อนเห่อขึ้นมาทันที