บทที่ 5
ช่วงที่หิมะกำลังละลายเตรียมรับฤดูใบไม้ผลิ ฮ่องเต้ซิงอวี้ทรงสนองพระประสงค์ของไทเฮาด้วยการพระราชทานสมรสให้แก่คังอ๋องเป็นครั้งที่สาม ทันทีที่ประกาศพระราชโองการออกมา และข่าวเรื่องผู้ที่ถูกกำหนดตัวเป็นพระชายาได้รับการยืนยัน ราษฎรในเมืองหลวงล้วนฮือฮากันอย่างมาก
พูดกันจริงๆ คือไม่มีการวางเดิมพันครั้งใหญ่เช่นนี้มานานแล้ว!
เนื่องจากการเดิมพันเรื่องของราชนิกุลไม่อาจทำอย่างประเจิดประเจ้อ ต้องทำกันอย่างลับๆ บ่อนการพนันรายย่อยทั่วทั้งเมืองหลวงจึงต่างพร้อมใจกันเปิดให้วางเดิมพันกันอย่างเงียบที่สุด ทว่าจำนวนเงินที่วางเดิมพันกลับสูงลิบลิ่วจนมืออ่อน และหัวข้อในการวางเดิมพันก็ตั้งกันอย่างง่ายๆ ว่า
ครั้งนี้คังอ๋องผู้เป็นหม้อต้มยาจะโชคดี สามารถแต่งพระชายาเข้าจวนได้อย่างราบรื่นหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ยังมีการเดิมพันอีกว่าเจ้าสาวที่ถูกเลือกให้อย่างไม่อาจปฏิเสธได้คนนี้จะสามารถกำราบดาวปีศาจนำเคราะห์สำเร็จหรือไม่
แต่สิ่งที่ทำให้การเดิมพันครึกครื้นมากขึ้นกว่าเก่า เป็นเพราะสตรีที่กำลังจะได้เป็นชายาคังอ๋อง
ล้อเล่นใช่หรือไม่?! เจ้าสาวคนนี้เป็นลูกพี่ใหญ่ของหน่วยประตูหกบานที่เป็นขุนนางขั้นสามเชียวนะ!
กระบี่ในมือแม่นางมู่ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีอาบเลือดชั่วของคนร้ายมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร สมญาอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงมิใช่ได้มาเปล่าๆ มีหรือจะเป็นพวกกินเจ?!
ด้วยเหตุนี้ การเดิมพันระหว่างดาวปีศาจนำเคราะห์กับอสุราหน้าหยกจึงเป็นที่จับตากันอย่างมาก
พิธีอภิเษกของจวนคังอ๋องถูกกำหนดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนหลังมีพระราชโองการอย่างเป็นทางการ
แม้การแต่งงานครั้งนี้จะดูเร่งร้อนเกินไปสักหน่อย เพราะได้ยินว่าไทเฮาทรงคาดหวังกับการแต่งงานครั้งนี้มาก ฮ่องเต้จึงทรงให้โหรหลวงเลือกหาวันมงคลที่เร็วที่สุด
ในสายตาของพสกนิกรเขตเมืองหลวง นี่เป็นประเด็นที่น่าถกเถียงกันอย่างมาก
ดูเอาเถอะ ขนาดพวกเชื้อพระวงศ์ยังไม่ไว้ใจในคนของตัวเอง ถึงได้เร่งเรื่องงานแต่งถึงเพียงนี้ เพราะกลัวว่าราตรียาวนานความฝันยาวไกล* หากทอดเวลานานออกไปสักหลายวันแล้ว เกิดว่าที่พระชายาคังอ๋องป่วยเป็นโรคประหลาดอีกคน เกรงว่าคงมีขุนนางผู้ใหญ่ของราชสำนักไปล้มตัวคร่ำครวญกับฮ่องเต้แน่ๆ
สรุปคือการแต่งงานของคังอ๋องทำให้บางคนอกสั่นขวัญแขวน บางคนคอยดูเรื่องสนุก บางคนเปิดรับเดิมพัน และทุกคนต่างตั้งตารอวันมงคลที่โหรหลวงเลือกเอาไว้
แม้การเดิมพันจะสิ้นสุดเมื่อคู่บ่าวสาวกราบไหว้ฟ้าดินและถูกส่งตัวเข้าห้องหอเรียบร้อย แต่ก็ยังมีคนมารอดูความครึกครื้นเป็นจำนวนมาก วันแรกของฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยความเป็นมงคลเช่นนี้ ใต้เท้าแห่งกลุ่มสี่ปักษีไม่ได้สวมชุดสีดำของขุนนาง แต่สวมชุดแต่งงานสีแดงสดปักดิ้นทองกับมงกุฎหงส์พร้อมผ้าปิดหน้า ให้แม่สื่อประคองมาคุกเข่าขอบพระคุณและอำลาบิดาที่หน้าประตู
แม้จะมองไม่เห็นหน้าเจ้าสาวแต่ดูจากรูปร่างประเปรียวกับจังหวะก้าวย่างหนักแน่นมั่นคงก็ยืนยันได้ว่าไม่ผิดตัว
ด้วยเหตุนี้จึงพอจะรู้ได้แล้วว่าผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะเพราะผลมันฟ้องชัด อสุรากัดกินภูตผีเป็นอาหาร และอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงของสกุลมู่ก็มีบรรยากาศน่าสะพรึง ให้ความรู้สึกว่าเป็นเผด็จการ พอจะฝืนสยบดาวปีศาจนำเคราะห์ของคังอ๋องได้
ก่อนหน้านี้มีเสียงเล่าลือกันไปทั่วว่าที่ไทเฮาทรงสนพระทัยแม่นางมู่ผู้องอาจกล้าหาญ เพราะเล็งเห็นความสามารถในการกำราบปีศาจคืนความร่มเย็นเป็นสุขของนาง
ราชสำนักให้ความสำคัญแก่สกุลมู่มาก แม้จะเตรียมพิธีแต่งงานกันอย่างกระชั้นชิด แต่รายการสินสอดพระราชทานกลับมีจำนวนหลายแผ่น และรายชื่อข้าวของที่อยู่ในนั้นก็มีจำนวนมากมายจนทำให้ผู้คนหน้ามืดตาลาย
นอกจากนี้ ขั้นตอนสำคัญของการแต่งงานสำหรับชาวเมืองหลวงคือพิธีรับตัวเจ้าสาว
ซึ่งก็ไม่มีใครผิดหวัง เพราะคังอ๋องที่ป่วยกระเสาะกระแสะมาโดยตลอดนำขบวนไปรับเจ้าสาวด้วยตัวเองทำให้จวนสกุลมู่ถูกกองทหารโอบล้อมจนผู้คนไม่อาจเข้าไปมุงดู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกชอบป่วนที่อยากเข้าไปใกล้ๆ
ว่ากันว่าท่านอ๋องหม้อต้มยาแห่งเมืองหลวงมีรูปโฉมงามสง่า ยิ่งวันนี้เขานั่งอยู่บนหลังอาชาตัวงาม อวดโฉมทรงเสน่ห์ให้ราษฎรได้ชื่นชมกันอย่างเปิดเผย เพื่อมารับเจ้าสาวในวันนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกชื่นมื่นกันอย่างมาก
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่าคังอ๋องคนนี้เป็นบุรุษรูปงามเหมือนสตรี
แสงตะวันยามเช้าในวันมงคลสาดจับใบหน้าและร่างกายของคังอ๋อง ทำให้ละม้ายแตะแต้มด้วยผงทองตลอดร่าง เนตรหงส์ยิบหยีเพราะแสงจ้า จนต้องกะพริบปริบๆ อยู่หลายครั้ง สันจมูกโด่งตรงได้รูปสวยเป็นเงา สะท้อนแสงสว่างไสวยิ่งกว่าผงทอง หน้าผากและผิวแก้มขาวใส ริมฝีปากสีซีด โครงหน้าชัด แม้สีหน้าจะไม่ค่อยสดใสแต่กลับดูมีเสน่ห์อย่างยากที่จะบรรยาย
กลับมาพูดถึงมู่ไคเวยกันบ้าง
ในที่สุด ไม้คันชั่ง ก็เลิกผ้าสีแดงสดจัดจ้านที่คลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้มู่ไคเวยที่ได้รับคำอวยพรตามธรรมเนียมว่า ‘ขอให้มีความสุขสมปรารถนา’ มาทั้งวัน ถึงได้มองเห็นดวงตะวันเสียที
หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองตามมือที่ถือไม้คันชั่งขึ้นไปแล้วเห็นคังอ๋องสวมชุดแต่งงานสีแดงสดเหมือนตน ที่เอวของเขามีเข็มขัดไหมทอง บนไหล่ทั้งสองข้างและสาบเสื้อปักลวดลายด้วยไหมทอง บนศีรษะสวมรัดเกล้าทองคำประดับหยก เรือนผมยาวสลวยมัดอย่างเป็นระเบียบ มู่ไคเวยรู้สึกเหมือนราษฎรทุกคนในเมืองหลวงว่าสีแดงสด สีแห่งความเป็นมงคลได้ช่วยอาบย้อมใบหน้าหล่อเหลาของเขาให้ดูดีมีสีสันมากยิ่งขึ้น
งดงาม
เหมือนดอกไม้สีแดงที่บานตระการอวดสีสันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อฝากไว้ในโลกหล้า มีกลิ่นอายความเศร้าปะปน ด้วยเหตุนี้ยิ่งมองเลยยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก แต่ยังคงอดใจให้มองอีกไม่ได้
แต่ในสายตาของฟู่จิ่นซี สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นพลังวิเศษที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของเขา
คิ้วของหญิงสาวยาวจนหายเข้าไปในจอนผม สีคิ้วอ่อนสวย ดวงตารูปเมล็ดซิ่งสดใสเป็นประกายคล้ายต้องการจับสิ่งแปลกปลอมเอาไว้ให้อยู่มือ แววตาของนางแลดูมีชีวิตชีวา จมูกโด่งได้รูปขยับได้เหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ชอบทำจมูกฟุดฟิด ทำให้พวงแก้มที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมสีระเรื่อดูป่องนิดๆ ไม่เหมาะกับสมญาอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงของนางเลยสักนิด
ตอนที่มู่ไคเวยมองเขา ดวงตาของนางเปล่งประกายจ้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบลง
นางดูไม่เคอะเขินหรือกระสับกระส่ายอย่างที่คนเป็นเจ้าสาวควรเป็น ราวกับว่าการแต่งงานในวันนี้เป็นแค่ภารกิจอย่างหนึ่งที่นางได้รับมาจากหน่วยหยาเหมินแห่งสามตุลาการ ควรทำอย่างไรก็ทำไปเช่นนั้นเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์แล้วจะได้ปิดคดี
ทว่าสิ่งที่ทำให้นิ้วมือที่ถือไม้คันชั่งของคังอ๋องต้องคลายแล้วบีบแน่น บีบแน่นแล้วคลายคือ…
ริมฝีปากสีแดงที่แต่งแต้มด้วยชาดที่ส่งยิ้มมาให้เขา
นางยิ้มให้เขา แม้จะเป็นรอยยิ้มที่จางมาก แต่มันไม่ได้มีความน้อยเนื้อต่ำใจ เจ็บแค้นหรือชิงชัง ทำให้ความรู้สึกของเขาสงบลง
“ยินดีที่ได้พบ…ภรรยา” ชายหนุ่มยิ้มตอบนางด้วยสีหน้าละมุน
มู่ไคเวยรู้สึกไม่ค่อยชินที่ได้ยินเขาใช้คำเรียกระหว่างสามีภรรยาของคนทั่วไปมาเรียกนาง แต่มันกลับทำให้นางรู้สึกว่าทั้งสองคนใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น หญิงสาวจึงผงกศีรษะ “ยินดีที่ได้พบ…ท่านอ๋อง” ช่วยไม่ได้ ถ้าจะให้นางเรียกเขาว่าสามีตอนนี้ นางยังปรับตัวไม่ได้จริงๆ คู่แต่งงานใหม่นั่งมองหน้ากันอยู่เช่นนั้นจนแขกสตรีที่เข้ามาในห้องหอจำนวนสองสามคนต้องพูดยิ้มๆ “ขอแสดงความยินดีด้วย ขอให้ทั้งสองครองรักยืนนานจนเส้นผมหงอกขาว ร่มเย็นเป็นสุข มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเช่นมังกรหงส์”
“พระมาตุจฉากล่าวตกไปแล้ว ก่อนหน้าจะเส้นผมหงอกขาวต้องรีบมีอภิชาตบุตรก่อนสิ”
“ใช่ๆ จริงด้วย มีอภิชาตบุตรไวๆ ด้วยนะ ขอให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ครอบครัวพร้อมหน้านับร้อยปี”
บรรดาแขกสตรีที่ตามเข้ามาป่วนห้องหอล้วนมีที่มาไม่ธรรมดาทั้งสิ้น เพียงมู่ไคเวยผู้รอบรู้เรื่องเมืองหลวงประดุจฝ่ามือของตนกวาดตามองปราดเดียวก็จำได้ว่าแขกสตรีจำนวนกว่าครึ่งของกลุ่มคนทั้งหมดสิบสามสิบสี่คนนี้เป็นชายาเอกของเหล่าราชนิกุล ที่เหลือต่างก็เป็นถึงฮูหยินหรือธิดาของขุนนางระดับกั๋วกง ท่านโหวไปจนถึงขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งในราชสำนักทั้งสิ้น
ระหว่างที่พวกแขกสตรีช่วยกันสร้างความครึกครื้นให้แก่ห้องหอ ที่ห้องโถงเล็กของเรือนหลักซึ่งอยู่ด้านนอกก็มีแขกบุรุษมากันอีกหลายคน
มู่ไคเวยได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านนอกที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อยได้อย่างถนัด น่าจะเป็นผู้ดูแลจวนที่กำลังพยายามใช้คารมขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้ามาก่อกวน
แม้งานแต่งงานของคังอ๋องจะจัดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เพราะฮ่องเต้กับไทเฮาต่างคอยจับตาดู เหล่าราชนิกุลจึงต้องให้ความสำคัญ
เพียงแต่คำว่า ‘ให้ความสำคัญ’ นี้มีทั้งด้านดีและด้านร้าย ด้านดีคือผู้มาร่วมงานนำของขวัญมาอวยพรและดื่มสุรามงคลหนึ่งจอกด้วยความจริงใจ ด้านร้ายคือบางคนที่แอบคิดริษยาว่าพวกเขาต่างเป็นราชนิกุลเหมือนกัน แต่เหตุใดคังอ๋องจึงเป็นแก้วตาดวงใจของไทเฮา ชนิดที่จะวางไว้ในมือก็กลัวแตก จะอมไว้ในปากก็กลัวละลาย หาไม่แล้วไทเฮาจะเอาของดีในท้องพระคลังส่วนพระองค์มามอบเป็นของขวัญให้แก่จวนคังอ๋องเช่นนี้หรือ
มู่ไคเวยคอยจับสังเกตการเคลื่อนไหวข้างนอกอย่างเงียบๆ และในระหว่างนั้น นางได้ยินฟู่จิ่นซีถามเจ้าพิธีว่า
“ต่อไปต้องทำอะไรอีก”
“บ่าวสาวเข้าไปในม่านแล้วโปรยพุทรา ถั่วลิสง ผลกุ้ยและเม็ดบัว จากนั้นให้เจ้าสาวนั่งบนเตียง ห้ามพูดคุย หัวเราะ และเดินเพ่นพ่าน ให้สมดังคำว่า ‘นั่งเหย้าเฝ้าเรือน รับทรัพย์ปลูกลาภ’ ส่วนท่านอ๋องให้ออกไปรับรองแขกจนเลยยามโหย่ว* แล้วค่อยกลับมา เสร็จแล้วให้บ่าวสาวคล้องแขนดื่มสุรามงคลก็เป็นอันเสร็จสิ้น”
“เช่นนั้นหรือ” ฟู่จิ่นซียิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน “ข้าขอไม่ออกไปที่โถงหน้า อยู่แต่ในห้องหอได้หรือไม่”
เจ้าพิธีที่ถูกถามชะงัก “…ก็ มิใช่ไม่ได้ เพียงแต่…แต่ว่า…”
เจ้าพิธียังไม่ทันได้พูดว่า “มันไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม” ท่านอ๋องหม้อต้มยาผู้มีใบหน้าไร้สีเลือดก็ชิงพูดเสียงเนิบ
“วันนี้เป็นวันแต่งงานของข้า ฮ่องเต้จึงทรงส่งราชองครักษ์จำนวนหนึ่งหน่วย กับหมอหลวงอีกสองคนมาช่วยรับเจ้าสาวโดยเฉพาะ เพราะทรงกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า และไทเฮาก็ทรงกำชับว่าไม่ให้ข้าฝืนตัวเองเกินไป เช่นนี้ ข้าย่อมต้องรับสนองพระเสาวนีย์ด้วยการไม่ฝืนตัวเองออกไปต้อนรับแขก หรือท่านเจ้าพิธีคิดเห็นเป็นประการใด”
“เอ่อ ย่อมต้องรับสนองพระเสาวนีย์อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” สมองของเจ้าพิธีวิ่งเร็วจี๋ เขาคิดในใจว่าคังอ๋องไปรับเจ้าสาวตั้งแต่เช้า ขากลับก็เหน็ดเหนื่อยมาก การที่เขาฝืนตัวเองเอาไว้จนถึงตอนนี้ได้ก็ถือเป็นโชคดีอย่างมหาศาลแล้ว เวลานี้จึงเหมาะที่จะจัดการเรื่องที่เหลือให้เสร็จสิ้นไปโดยไว เพราะหากผลักหม้อต้มยาออกไปที่ห้องโถงตามธรรมเนียมคร่ำครึแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำให้พิธีสมรสช่วงสุดท้ายไม่เรียบร้อย ฮ่องเต้กับไทเฮาทรงเอาเรื่องขึ้นมา ผู้ใดจะรับผิดชอบ
ด้วยเหตุนี้ คู่บ่าวสาวจึงได้คล้องแขนดื่มสุรามงคลกันต่อหน้าแขกสตรีทุกคน
จอกสุราที่ทำมาจากผลน้ำเต้าครึ่งซีกอันหนึ่งถูกยัดเข้ามาในมือของมู่ไคเวย และอีกครึ่งที่เหลืออยู่ในมือของฟู่จิ่นซี โดยตัวจอกทั้งสองอันมีแถบผ้าสีแดงมัดโยงกันเอาไว้และใส่สุราเอาไว้ครึ่งจอก
“ห่างกันพันลี้มีบุพเพเชื่อมหา คล้องแขนดื่มสุรา ร่วมชีวารวมใจ” เจ้าพิธีพูดเป็นจังหวะจะโคน
มู่ไคเวยเห็นฟู่จิ่นซียกน้ำเต้าขึ้นดื่มสุราจึงทำตาม จากประสบการณ์ที่เคยร่วมดื่มสุรากับพี่น้องในหน่วยประตูหกบาน การดื่มสุราต้องดื่มให้หมด สำหรับมู่ไคเวย สุราในผลน้ำเต้าครึ่งซีกนี้แค่ดื่มสองสามอึกก็หมดแล้ว นางจึงแหงนหน้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดอย่างไม่กินแรงแม้แต่น้อย จากนั้นก็ก้มหน้าใช้แขนเสื้อของชุดแต่งงานสีแดงสดเช็ดปากแทนผ้าเช็ดหน้าก่อนช้อนสายตาขึ้นมอง
ห้องทั้งห้องเงียบกริบ
“มีอะไร หรือห้ามดื่มสุราจนหมด?” หญิงสาวเลิกคิ้วที่ตั้งใจวาดให้ยาวขึ้นเพื่อการออกเรือนในวันนี้แล้วกวาดตามองเหล่าพระญาติหญิงและฮูหยินกับคุณหนูตระกูลขุนนางชั้นสูงที่กำลังมองนางตาค้าง
น้ำเสียงของมู่ไคเวยหนักแน่นมั่นคง ท่วงทีกิริยาดูสบายๆ แต่ทันทีที่สายตานิ่งๆ ของนางวาดผ่านกลับให้ความรู้สึกเหมือน…ถูกหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานสอบปากคำ ทำให้พวกนางรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
มู่ไคเวยกวาดตามองบรรดาแขกสตรีแล้วหันไปมองเจ้าบ่าว
ตอนแรก คังอ๋องก็ชะงักแต่พอสบเข้ากับแววตาที่มีคำถามของนาง ริมฝีปากรูปกระจับของเขากลับค่อยๆ แย้มยิ้มและยกสุรามงคลที่ตนจิบไปแค่นิดหน่อยขึ้นดื่มอีกครั้ง
เจ้าพิธีเห็นก็รีบบอก “ทูลพระชายา สุรานี้ใช่ว่าจะดื่มให้หมดไม่ได้ ถ้าดื่มหมดได้จะดีมาก สรุปคือ…ดีมาก แต่สำหรับท่านอ๋อง…ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ท่านดื่มช้าหน่อยเถอะ ไม่ต้องดื่มสุราให้หมดก็ได้ ท่านห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!” โอย เช่นนี้จะเป็นอย่างไรต่อล่ะนี่
เจ้าพิธีตกใจจนแทบกระโดด นึกอยากเข้าไปแย่งจอกน้ำเต้าในมือของฟู่จิ่นซีใจแทบขาด
อึกๆๆๆ…อึกๆๆๆ…
สายไปแล้ว เพราะสุราในน้ำเต้าครึ่งซีกเข้าไปอยู่ในท้องเจ้าบ่าวผู้ฝืนกำลังตัวเองเรียบร้อย
“ข้าดื่มหมดแล้ว ดูสิ!” ฟู่จิ่นซียื่นจอกน้ำเต้าที่มองเห็นก้นมาตรงหน้าเหมือนกำลังอวดของล้ำค่า น้ำเสียงของเขากลั้วเสียงหัวเราะก่อนมีอาการเซและเรอออกมาเบาๆ
คราวนี้ เปลี่ยนเป็นมู่ไคเวยตะลึงบ้างแล้ว
เพราะรีบเร่งดื่มสุราที่เหลือทำให้พวงแก้มขาวซีดของคังอ๋องมีสีแดงจัดจ้าขึ้นมาทันตา
เนตรหงส์ของเขามองจ้องนางตาเป็นประกายชนิดไม่ยอมกะพริบ คล้ายอยากประจบเอาใจและอยากได้รับคำชมจากนาง แต่ที่มากยิ่งไปกว่านั้นคือ…อยากปกป้องนาง?
เขาดื่มสุรามงคลหมดเกลี้ยงเช่นเดียวกับมู่ไคเวย เพราะไม่อยากให้นางรู้สึกว่าทำตัวผิดระเบียบ และกลัวว่านางจะรู้สึกไม่ดีที่ทำเรื่องน่าอายต่อหน้าเหล่าพระญาติหญิงทั้งที่เพิ่งแต่งเข้าจวนคังอ๋องใช่หรือไม่
นี่เป็นเรื่องใหม่ที่นางเป็นฝ่ายถูกบุรุษผู้มีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยแต่สุขภาพอ่อนแอปกป้อง แม้มู่ไคเวยจะรู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่มันก็ทำให้นางรู้สึกว่าเขามีแง่มุมที่น่าสนใจอยู่ลึกๆ เพราะในสายตานาง คังอ๋องเป็นคนดีมาก อะไรควรทำก็ทำ แต่พอได้ยินเจ้าพิธีบอกให้นางนั่งอยู่บนเตียง ห้ามพูดคุย ห้ามลงจากเตียง ต้องนั่งอย่างสงบเสงี่ยมเป็นเวลาหลายชั่วยาม ท่านอ๋องก็เกิด ‘ฝืนสังขารไม่ไหว’ ต้องพูดขอให้เจ้าพิธียอมผ่อนปรนให้อย่างได้จังหวะ ทำให้เจ้าสาวไม่ต้องนั่งเบื่ออยู่ในห้องและลัดขั้นตอนไปยังพิธีคล้องแขนดื่มสุรามงคลตอนสุดท้ายกันได้เลย
สิ่งที่เขาทำเพื่อนาง นางย่อมรับรู้ทั้งหมด
และไม่เพียงรู้อย่างเดียว แต่ยังจะตอบแทนเขาเป็นเท่าทวีด้วย
หลังจากต้องนิ่งงันเพราะเรื่องคังอ๋องดื่มสุราจนหมดจอก ในที่สุดใครคนหนึ่งในกลุ่มพระญาติหญิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“คิก ได้ยินไทเฮาเล่าว่าคังอ๋องอ่านหนังสือมากถึงห้าคันรถ โดยเฉพาะเรื่องตำนานในพระพุทธศาสนา จนสามารถถกกับพระภิกษุชั้นสูงได้ติดกันสามวันสามคืนโดยไม่หยุดพัก ทำให้ไทเฮาต้องทรงบ่นเพราะกลัวว่าคังอ๋องจะมีใจใฝ่พระธรรมจนไม่อาจถอนตัวและต้องปลงผมออกบวชเพื่อละทางโลกในสักวัน แต่ดูจากตอนนี้ที่ท่านอ๋องรักถนอมเจ้าสาวแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านยังละทางโลกไม่ได้ ไทเฮาคงวางพระทัยได้เสียที” ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกไป บรรยากาศภายในห้องก็ดีขึ้นทันตา
แต่มู่ไคเวยฟังออกว่าผู้พูดมีเจตนาประชดประชันอย่างแนบเนียน เพียงแต่เวลานี้นางเป็นคนใหม่ที่เพิ่งมาถึง สิ่งใดทนได้ก็ต้องทนไว้ก่อน และนางยังทนได้จึงไม่มีปัญหา
แขกสตรีที่เป็นสาวน้อยอีกคนโบกผ้าเช็ดหน้าหอมกรุ่นพลางกล่าว “ไทเฮาทรงลำเอียงนัก ทั้งที่มีพระราชนัดดาตั้งมากมาย แต่มีผู้ใดบ้างที่ได้รับความโปรดปรานเหมือนอย่างคังอ๋อง เรื่องเช่นนี้ ไม่รู้ว่าต้องสร้างบุญกุศลสักกี่ชาติถึงจะได้ เท่าที่ข้าเห็น ขนาดรัชทายาทแห่งวังตะวันออกยังไม่มีบุญถึงเพียงนี้ พวกเจ้าว่าเช่นนี้น่าอิจฉาหรือไม่เล่า”
ช้าก่อน พูดจาเช่นนี้ทำให้สตรีผู้เป็นอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
อ้อ ที่แท้คนพูดก็เป็นคนขององค์ชายห้าหลีอ๋อง
มู่ไคเวยมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งสงบ แต่จดวีรกรรมของแขกสตรีหน้าตาอ่อนเยาว์คนที่พูดประโยคนี้เอาไว้ในใจแล้ว
คังอ๋องฟู่จิ่นซีต้องสูญเสียบิดามารดาไปตอนอายุแปดขวบและมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ทำให้ได้รับพระกรุณาจากไทเฮา ทว่าสิ่งเหล่านี้จะเรียกได้ว่าเป็นบุญกุศลที่เขาทำมาเป็นเวลาหลายชาติได้หรือ ชายหนุ่มจึงรับฟังโดยไม่ได้โต้แย้ง เพราะต่อให้แย้งไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และเขายังติดค้างบุญคุณของไทเฮาอีกด้วย
โชคดีที่แขกคนสำคัญไม่ได้มีเจตนาร้ายกันทุกคน จึงมีสองสามคนที่ย่นหัวคิ้วนิ่งๆ และมีหลายคนที่ไม่ยอมตอบรับ ทำให้ชายาหลีอ๋องวางหน้าไม่ถูกจึงพูดเสียงสูงขึ้นอีก
“อะไรกัน ข้าพูดผิดไปหรือ คังอ๋องเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ต่อให้ใครอยากจะเหมือนเขาก็ไม่มีทางเหมือนได้ พระชายาคังอ๋องเองก็มีบุญมากเหมือนกัน เพราะได้รับพระราชทานสมรสมาที่จวนคังอ๋องแทนที่จะเป็นที่อื่น อีกทั้งแต่งเข้ามาก็ได้เป็นชายาเอกทันที ทั้งยังไม่มีพ่อแม่สามีให้ต้องคอยปรนนิบัติ สามีก็นิสัยดีถึงเพียงนี้ เช่นนี้จะไม่เรียกว่ามีบุญได้หรือ”
“ชายาห้า ดูเจ้าพูดเข้าสิ วันนี้เป็นวันมงคลของคังอ๋อง เจ้าก็เลิกพูดเหน็บแนมคังอ๋องกับเจ้าสาวได้แล้ว เกิดเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งเข้ามาหนีไป ดูสิว่าเจ้าจะไปอธิบายกับไทเฮาอย่างไร” ในฐานะสะใภ้เหมือนกัน ชายาเอกขององค์ชายสี่ ชิ่งอ๋องจึงพูดเตือนอย่างกึ่งหยอกเย้ากึ่งเอาจริง
เสียดายที่ชายาหลีอ๋องเป็นพวกสอนไม่ได้ ซ้ำยังระเบิดโทสะออกมาเหมือนประทัดแตก “ให้พูดก็พูดสิ! แค่ใช้ปากอย่างเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ?! ต่อให้หน่วยประตูหกบานส่งคนมาสอบต่อหน้าพระพักตร์ ข้าก็ยังจะพูดเช่นเดิม เพราะความจริงย่อมเป็นความจริง มีอะไรน่ากลัวกัน?!”
“อยากให้หน่วยประตูหกบานส่งคนมาสอบหรือ ได้สิ” ผู้พูดคือมู่ไคเวย
นางพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงเนิบๆ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แต่พอจะลงมือก็พลันรู้สึกได้ว่าในมือยังมีจอกน้ำเต้าอยู่ นางจึงปรายตาไปมองเจ้าพิธีที่ไม่รู้ว่าถอยหลังออกไปห่างๆ ตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นจึงเอ่ยถาม “พิธีเสร็จสิ้นแล้วใช่หรือไม่” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ ข้ากำลังถามเจ้า”
เจ้าพิธีที่คิดว่าจะถอยออกไปจากสมรภูมิเงียบๆ ตัวสั่นเทิ้มทันทีที่ถูกเรียก เขาตอบเสียงดังฟังชัด “พิธีเสร็จสมบูรณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
มู่ไคเวยผงกศีรษะ “ดีมาก”
แม่สื่อที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างรีบเข้ามาเก็บจอกสุราจากคู่บ่าวสาว เท้าทั้งสองข้างของมู่ไคเวยที่นั่งอยู่บนเตียงห้ามสัมผัสถูกพื้น นางจึงเหยียบที่วางเท้าแล้วค่อยทิ้งตัวลงมา
หญิงสาวจ้องหน้าชายาหลีอ๋องที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “เมื่อสามเดือนก่อน หลีอ๋องเมาสุราแล้วไปพูดพล่ามเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ทำให้ฮ่องเต้กริ้วจึงทรงลงพระอาญากักบริเวณหลีอ๋อง เท่าที่ข้ารู้ พระบัญชากักบริเวณยังไม่ได้ถูกยกเลิก พระชายากับหลีอ๋องมิต้องร่วมแรงร่วมใจ อยู่คู่เคียง รับโทษร่วมกันหรือ เหตุใดวันนี้ท่านจึงแต่งหน้าแต่งตัวเฉิดฉายมาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าผู้คน ทั้งยังบอกว่าไม่กลัวถูกสอบต่อหน้าพระพักตร์ด้วย? แผนการของชายาหลีอ๋องทำให้ข้าคันไม้คันมือ อยากจับกุมคนจริงๆ”
“เจ้า เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน” ใบหน้าที่ได้รับการตบแต่งจนสวยพริ้งของชายาหลีอ๋องบิดเบี้ยว
“ข้าพูดเหลวไหลที่ใด ขอให้พระชายาหลีอ๋องช่วยชี้แนะด้วย”
“เรื่องที่ข้าบอกว่าไม่กลัวถูกสอบต่อหน้าพระพักตร์ ก็คือเรื่อง…เรื่องคังอ๋องมีบุญ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพยายามโยง หากเจ้าใส่ความข้า เจ้าต้องได้รับโทษแน่”
“ชายาห้าพอได้แล้ว!” ชายาชิ่งอ๋องพูดเสียงดุกว่าเดิม
“เลิกคุยกันได้แล้ว วันนี้เป็นวันมงคล เหตุใดต้องมีปากเสียงกันเช่นนี้ด้วย”
“นั่นสิ เฮ้อ พวกเรามาป่วนห้องหอแต่ห้ามสร้างเรื่องกันจริงๆ มิใช่หรือ ต้องไว้หน้าบ่าวสาวบ้างสิ”
เหล่าพระญาติหญิงพยายามพูดคลี่คลายสถานการณ์กันอย่างเจ้านิดข้าหน่อย บางคนมีเจตนาดีจริง แต่บางคนก็ตั้งใจใส่ไฟ
มู่ไคเวยหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ แต่สีหน้ายังคงนิ่งสนิท
ปากบอกให้ไว้หน้าบ่าวสาว แต่เวลานี้นางกลับไม่ต้องการหน้าตาพวกนั้น
นางกำลังคิดอยู่ว่าจะเอาตัวหลีอ๋องมาอย่างไร สวรรค์ก็เหมือนจะได้ยินความปรารถนาของนางจึงส่งคนให้เข้าประตูมาพอดี
ปัง!
เสียงบุรุษด่ากราดดังมาจากข้างนอกอย่างได้ยินชัดถนัดหู
“เล่นบ้าอะไร?! กล้ามาขวางทางข้า เบื่อชีวิตกันแล้วใช่หรือไม่?!”
“องค์ชายห้า องค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ! ท่านเสียงดังเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ! ผู้น้อยไม่ได้ขวางท่านแต่…ข้างในเป็นห้องหอของท่านอ๋องกับพระชายา ไม่สะดวกให้แขกบุรุษเข้าออก ผู้น้อย…โอ๊ย! เจ็บ!” คนถูกเตะจนล้มต้องสะกดกลั้นต่อความเจ็บจนลมหายใจสะดุด
มู่ไคเวยคอยจับสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกมาโดยตลอด
นางพอจะคาดการณ์ได้ว่าเจ้าของเสียงๆ หนึ่งในกลุ่มบุรุษหลายคนที่กำลังเอะอะโวยวายกันเต็มที่ น่าจะเป็นคนที่นางกำลังต้องการตัว ทั้งยังเห็นชายาหลีอ๋องแยกตัวออกจากกลุ่มแขกสตรี ทำให้นางเดาเรื่องทั้งหมดได้
ซึ่งก็เป็นจริงตามคาด เพราะความโกลาหลที่ห้องชั้นนอกทวีความรุนแรงมากขึ้นจนบ่าวของจวนไม่อาจขวางหลีอ๋องเอาไว้ได้อีก
“จะขวางอะไรกันนักหนา ขืนยังขวางข้าอีก ข้าจะตัดหัวพวกตาไร้แววอย่างพวกเจ้า! เจ้าหนูจิ่นซีได้รับพระราชทานสมรสเป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สามแล้วนะ ฮ่าๆๆ ในที่สุดครั้งนี้ก็รับสนองพระราชโองการสำเร็จ…มา! มานี่ๆ! ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าร่วมหอเป็นหรือไม่ อย่าทำให้เจ้าสาวต้องผิดหวังเชียว!”
ร่างอ้วนท้วนพุ่งเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าโซซัดโซเซเล็กน้อย กลิ่นสุราคลุ้งกระจายเต็มห้องอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลีอ๋องผู้มีอายุเพียงยี่สิบหกปีเป็นพวกตะกละกินดื่ม ทำให้มีถุงใต้ตา คางมีเหนียงสองชั้น ใบหน้าขาวแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราอย่างไม่มีราศี ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้อง บรรดาแขกสตรีต้องโบกผ้าเช็ดหน้ากันให้วุ่น ทำท่าเหมือนไม่อยากสมาคมกับเขา แต่ก็อยากจะยืนชมเรื่องสนุกอยู่ที่ด้านข้าง
มีเพียงชายาหลีอ๋องเพียงคนเดียวที่โผเข้าไปหา
“ท่านอ๋อง ท่านเข้ามาได้อย่างไร โอย ดื่มเยอะขนาดนี้เชียว! ไหนท่านบอกว่าวันนี้จะมาอวยพรบ่าวสาวและคุยกับคนอื่นแก้เบื่อ แต่จะไม่แตะสุราเด็ดขาดมิใช่หรือ เหตุใดถึงดื่มจนกลายเป็นเช่นนี้ได้ ท่าน…ว้าย!” ร่างบางถูกสะบัดจนล้มลงกับพื้นอย่างแรง
“หนวกหู! เดี๋ยวจะโดน…” หลีอ๋องยกขาหมายจะเตะชายาที่ล้มอยู่บนพื้น
บรรดาแขกสตรีตกใจ พากันส่งเสียงกรีดร้อง แต่ก่อนที่ชายาหลีอ๋องจะโดนเตะเข้าจริงๆ กลับมีเงาร่างสีแดงสายหนึ่งพุ่งเข้าไปขวาง ขาของหลีอ๋องจึงถูกกระบี่ที่อยู่ในมือเงาร่างสีแดงสกัดเอาไว้!
หลีอ๋องชะงักค้างไปในบัดดล แต่เพราะความเมาทำให้เขาทรงตัวไว้ไม่อยู่ ร่างอ้วนฉุจึงล้มหงายไปด้านหลังจนก้นกระแทกพื้นจ้ำเบ้า
ภาพนี้ทำให้เหล่าแขกสตรีส่งเสียงร้องลั่นกว่าเดิม แต่พอเห็นถนัดว่าในมือของเจ้าสาวที่พุ่งตัวออกไปมีกระบี่เล่มยาว เสียงพวกนั้นกลับติดขัดอยู่แค่ในคอ เหลือเพียงอาการปากอ้าตาค้างเท่านั้น
นี่มันกระบี่ประจำตำแหน่งของหน่วยประตูหกบานมิใช่หรือ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนตาลาย หลีอ๋องอับอายจนกลายเป็นคลุ้มคลั่งเพราะฤทธิ์สุรา เขาตะกายตัวขึ้นมาจากพื้นและพุ่งเข้าใส่เงาร่างสีแดง พร้อมกับส่งเสียงคำรามลั่นและยื่นนิ้วทั้งสิบที่กางออกเป็นกรงเล็บ
มู่ไคเวยไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝักแต่ยืนปักหลักรอรับการโจมตีอยู่ที่เดิม
ป๊าบๆๆๆ…ป๊าบๆๆ…ป๊าบๆ…ป๊าบ!
กระบี่ของหญิงสาวสะบัดว่องไวปานสายฟ้าที่ฟาดลงมาจนปิดหูกั้นเสียงไม่ทัน แรงฟาดแต่ละครั้งล้วนหนักหน่วง และฟาดเต็มๆ ลงไปบนร่างของหลีอ๋อง ทั้งแขนขา ข้างเอว แผ่นหลัง พุงป่อง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเสยปลายคางจังๆ จนเหนียงสองชั้นสั่นระรัว ดวงตาเหลือกลาน ตัวอ่อนยวบก่อนจะล้มลงหมดสติไป
เงียบ
เงียบเหมือนทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นกลายเป็นก้อนหิน
ทันใดนั้น
“ฆ่าคน! ช่วยด้วย! ท่านอ๋องๆ…อย่าเป็นอะไรนะเพคะ ท่านห้ามทิ้งข้าเอาไว้คนเดียวเด็ดขาด! ฆ่าคน ชายาคังอ๋องใช้อาวุธสังหารราชนิกุลต่อหน้าธารกำนัล! ฮือๆๆ” ทันทีที่ชายาหลีอ๋องผู้เกือบถูกสามีเตะได้สติก็รีบโผเข้าไปหาหลีอ๋องเหมือนแม่ไก่ที่พยายามกางปีกปกป้องลูกจากพญาเหยี่ยวอย่างมู่ไคเวย
นอกจากขาข้างที่ใช้สกัดการกระทำอุกอาจของหลีอ๋องแล้ว มู่ไคเวยไม่ได้ก้าวเท้าเลยแม้แต่ก้าวเดียว นางถือกระบี่ยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆ ไม่พูดเลยสักคำ แต่กลับมีมือข้างหนึ่งมาเคาะไหล่นางเบาๆ เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็สบเข้ากับเนตรหงส์เรียวแต่ไม่หรี่แคบของคังอ๋องเข้าพอดี
หญิงสาวชักเริ่มรู้สึกหวาดๆ แต่การที่เขามองนางตาปริบๆ ริมฝีปากรูปกระจับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้น
มู่ไคเวยรู้สึกว่าตนต้องมนต์เสน่ห์ของเนตรหงส์คู่งามนี้ราวแปดส่วน ทำให้เกิดอาการใจลอยจนพูดไม่ออก คอยจนนางตั้งสติได้อีกครั้ง คังอ๋องก็เดินมายืนเคียงข้างนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ทำให้ทุกคนสงบลงได้ว่า
“ชายาหลีอ๋องพูดเช่นนี้ไม่ถูก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หลีอ๋องถูกเสด็จลุงสั่งกักบริเวณแต่เขากลับมาอยู่ที่จวนของข้า ในเมื่อพวกท่านสองสามีภรรยาบอกว่าอยากมาอวยพรงานแต่ง จิ่นซีย่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ทว่าการทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการขัดพระบัญชา แต่เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้คงยอมลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่งเพื่อให้เรื่องนี้จบ ไม่ต้องไปถึงพระเนตรพระกรรณของเสด็จลุง”
เขาพูดเหมือนยินดีให้อภัยชายาหลีอ๋อง แต่กลับยกประเด็นเรื่อง ‘ขัดพระบัญชา’ ขึ้นมา
ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป เพราะเรื่องนี้จะว่าเล็กก็ว่าเล็ก จะว่าใหญ่ก็ว่าใหญ่ แต่เรื่องจะใหญ่หรือจะเล็กก็อยู่ที่ว่าจะมีคนใส่ไฟมากเท่าไร ต่อให้ชายาหลีอ๋องโง่เพียงใดก็ยังไม่โง่ถึงขั้นฟังความนัยนี้ไม่ออก
ฟู่จิ่นซีก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ “อีกประการ สิ่งที่อยู่ในมือของชายาข้าก็ไม่ใช่อาวุธสังหาร เนื่องจากขุนนางหญิงของราชวงศ์เราหากแต่งงาน แม้จะสามารถดำรงตำแหน่งเดิมได้ แต่ก็ต้องลาออกจากราชสำนักและมอบชุดขุนนางกับของใช้ในงานของทางการคืนให้หลวง และในตอนที่นางไปถวายหนังสือลาออกจากกลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานกับฝ่าบาทอย่างเป็นทางการ ฮ่องเต้ทรงเล็งเห็นถึงความยากลำบากของสกุลมู่จึงพระราชทานกระบี่ประจำตำแหน่งเล่มนี้ให้แก่ชายาข้า การที่ชายาหลีอ๋องเรียกของพระราชทานว่าเป็นอาวุธสังหารเช่นนี้ คงไม่ดีกระมัง”
“ข้า…คือ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่หลุดปากออกไปเพราะตกใจ…” ชายาหลีอ๋องตกใจจนลืมทำน้ำตาไหล นางรีบหันไปมองแขกสตรีที่เป็นราชนิกุลหญิงซึ่งบัดนี้พากันถอยหลังไปไกล หากแต่ละคนกลับเอาแต่ก้มศีรษะและเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่มีสักคนที่ยอมมองสายตาอ้อนวอนของนาง
มู่ไคเวยคิดไม่ถึงว่าคังอ๋องจะรู้เรื่องที่ฮ่องเต้พระราชทานกระบี่ให้แก่นาง และยิ่งคิดไม่ถึงว่าบุรุษอ่อนแอคนนี้จะเป็นฝ่ายเข้ามายืนเคียงข้าง ซ้ำยังก้าวออกไปยืนขวางหน้าให้นางอีกด้วย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของเขาแล้วพลันรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าสูงกว่าร่างเล็กจ้อยของนางเยอะ และไหล่ทั้งสองข้างก็กว้าง…แค่ก ดูไม่เหมือนคนที่อ่อนแอจนไม่อาจทานแม้แต่แรงลมเลย
“ชายาหลีอ๋องไม่ต้องตกใจ” สีหน้าและน้ำเสียงของมู่ไคเวยยังคงราบเรียบไม่เปลี่ยน “เมื่อครู่ข้าแค่ป้องกันตัวอย่างเดียว ไม่ได้ใช้แรงมาก หลีอ๋องเพียงสลบไปสักพักก็ฟื้นแล้ว”
ฟู่จิ่นซีหันไปมองหญิงสาวเป็นเชิงหารือ “หรือจะให้หลีอ๋องพักอยู่ที่จวนสักคืน? ให้เขาหลับให้เต็มอิ่มแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“ฮ่าๆๆ ถ้าพี่จิ่นซีทำเช่นนี้จริง พรุ่งนี้สำนักตรวจการต้องโกลาหลแน่” น้ำเสียงใสแจ๋วดังมาจากด้านนอก ผู้พูดเป็นเด็กชายอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เขาก้าวยาวๆ เข้ามาพลางบอก “พวกขุนนางจำนวนแปดส่วนต้องเอาเรื่องเล็กเท่าเม็ดถั่วเม็ดงาแค่นี้ไปกราบทูลเป็นแน่ว่าถึงแม้คังอ๋องรู้ดีว่าองค์ชายห้าขัดพระบรมราชโองการแต่ยังซุกซ่อนให้เขาค้างแรมในจวน”
กล่าวจบ เด็กชายผู้สวมชุดปักดิ้นทองหน้าตาหล่อเหลาก็หันไปส่งยิ้มให้บรรดาแขกสตรีเป็นการทักทายก่อนสุดท้ายสายตาของเขาจะมาหยุดอยู่ที่ชายาหลีอ๋องผู้ตกใจจนหน้าซีด เด็กชายถอนหายใจ “พี่สะใภ้ห้า เวลานี้สิ่งที่ท่านควรทำคือรีบพาพี่ห้ากลับจวนไปจะดีกว่า เพราะเรื่องที่พี่ห้ามาดื่มสุราจนเมาในงานเลี้ยงที่จวนคังอ๋องแล้วเข้ามาอาละวาดในห้องหอคงปิดไม่อยู่อีก พอพี่ห้าสร่างเมาเมื่อไรก็เร่งให้เขาเขียนฎีกาขออภัยโทษจากเสด็จพ่อฉบับหนึ่ง ท่านต้องจำเอาไว้ให้ดีและเตือนพี่ห้าด้วย”
ชายาหลีอ๋องพยักหน้ารับอย่างตื่นๆ เด็กชายจึงหันไปยักคิ้วให้ฟู่จิ่นซีอย่างซุกซน “วันนี้เป็นวันแต่งงานของพี่จิ่นซี ในที่สุดหลังได้รับพระราชทานสมรสมาสามครั้ง ท่านก็ทำสำเร็จจนได้ ดังนั้นท่านต้องทำตัวเป็นเจ้าบ่าวที่ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
ฟู่จิ่นซียิ้มนิดๆ แต่ไม่ตอบ เด็กชายจึงสรุปว่าเขาอนุญาต
ขณะต่อมา เด็กชายก็ปรบมือดังๆ สองครั้งแล้วองครักษ์สองคนที่อยู่นอกห้องก็เข้ามาอย่างว่องไว พวกเขาแบกหลีอ๋องที่เมาหนักทั้งยังถูกซ้อมจนหน้ามืดออกไปอย่างเงียบกริบและรวดเร็ว
ชายาหลีอ๋องเห็นดังนั้นก็รีบตะเกียกตะกายตามไป นางหอบหายใจพูดเสียงสั่น “…นะ นี่จะไปที่ใด จะไปที่ใดกัน?!”
เด็กชายพูดเสียงอ่อนโยน “พี่สะใภ้ห้าตามองครักษ์สองคนนี้ไปได้เลย รถม้าจอดรออยู่ด้านหลังนอกจวนคังอ๋อง ขอเชิญพี่สะใภ้กับพี่ห้าไปกันก่อน ข้าจะอยู่จัดการคนทางนี้สักครู่แล้วจะไปส่งพวกท่านกลับจวนหลีอ๋องก่อนกลับวัง”
ชายาหลีอ๋องรับคำ นางไม่มีแก่จิตแก่ใจจะบอกลาใคร หรือมองเหล่าพระญาติหญิงสักแวบหนึ่ง ได้แต่เดินออกจากห้องหอไปอย่างโซซัดโซเซเล็กน้อย โดยมีสาวใช้สองคนที่ไม่สามารถเข้าไปด้านในจึงต้องรออยู่ที่นอกห้อง ช่วยประคองนางซ้ายขวาเพื่อพาจากไป
“เสร็จพิธีแล้ว เช่นนั้น…พวกเราไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงหน้ากันดีหรือไม่”
“จริงด้วยๆ ยากนักกว่าที่คังอ๋องจะได้เป็นเจ้าบ่าว การที่ท่านไม่กลับไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงหน้าแต่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าสาวเช่นนี้ก็ดีแล้ว ดีมากๆ ด้วย”
“เช่นนั้นพวกเราอย่าอยู่เป็นก้างที่นี่อีกเลย โบราณกล่าวไว้ว่าราตรีวสันต์มีค่าพันตำลึงทอง ให้คู่บ่าวสาวเขาได้มีความสุขร่วมกันดีกว่า พวกเราขอลาก่อน ไม่รบกวนแล้ว”
พวกแขกสตรีที่เข้ามาป่วนห้องหอแย่งกันออกไปจากห้องหอที่โดนป่วนอย่างสุดๆ ด้วยรอยยิ้มแข็งค้าง พลางหาเรื่องคุยไปเรื่อย เพียงชั่วพริบตา พวกนางก็หายออกจากห้องไปกันหมด โดยเฉพาะเจ้าพิธีที่ราชสำนักส่งตัวมายิ่งไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าเขาเผ่นหายไปตั้งแต่เมื่อใด
เวลานี้ ในห้องหอจึงเหลือแค่คู่บ่าวสาว กับสาวใช้ในจวนคังอ๋องที่รับหน้าที่เป็นแม่สื่อจำนวนสองคน และหลันกูกูที่ติดตามมาจากสกุลมู่ซึ่งยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงมุมห้องตลอดเวลา
ทุกคนต่างเข้าใจว่าที่เด็กชายยังคงรั้งอยู่เพราะอยากพูดเรื่องสำคัญ แต่กลับเห็นเขาเอาแต่เม้มปาก สีหน้าท่าทางเหมือนคนที่กำลังตื่นเต้นดีใจมาก เด็กชายเดินเข้าไปหาเจ้าบ่าวก้าวหนึ่งก่อนหันไปหาเจ้าสาว และยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้มู่ไคเวย
“พี่สะใภ้!” เขาเรียกเสียงกระตือรือร้น “ข้าชื่อจิ่นอี้ ข้ารู้สึกว่าพี่สะใภ้เก่งมากๆ! เก่งมากๆ เลยด้วย!” เขายกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้นมาประกอบ
ฟู่จิ่นอี้
พระราชโอรสองค์ที่เก้าของฮ่องเต้ซิงอวี้ เป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องในเวลานี้
พระราชโอรสองค์ที่หก เจ็ดและแปด จำนวนสามองค์ต่างล้มป่วยและเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าขวบ ดังนั้นเมื่อองค์ชายเก้าฟู่จิ่นอี้เกิด เขาจึงเหมือนได้รับการปกป้องดูแลจากสวรรค์เป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่เล็กมาเขาไม่เคยป่วยเลย สุขภาพแข็งแรง จนสามารถกระโดดโลดเต้นได้ตลอด ทำให้องค์ชายที่เกิดมาพร้อมดาวนำโชคคนนี้ได้รับความโปรดปรานอย่างที่สุด แม้จะอายุยังน้อย ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องหรือมีจวนเป็นของตัวเอง แต่การที่ฮ่องเต้ให้เขาอยู่ในวัง อยู่ข้างกายบิดา ย่อมแสดงถึงความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมีต่อองค์ชายเก้าอย่างชัดเจน
คำชมที่องค์ชายเก้ามีให้มู่ไคเวยอย่างกะทันหันทำให้อารมณ์ที่นิ่งสงบของนางเกิดความรู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตื่นเต้นและเกร็งมากจนไม่อาจคอยให้หญิงสาวพูดก่อนได้
“ข้าเคยได้ยินว่าพี่สะใภ้นำหน่วยประตูหกบานไล่ล่าสังหารคนชั่ว อภิบาลคนดี กำราบความอยุติธรรมในใต้หล้า มาวันนี้ได้เห็นท่านร่ายรำกระบี่แล้วรู้สึกตื่นตะลึงอย่างมาก ข้าเห็นแล้ว…อา! ไม่นับว่าเห็นสิ เพราะข้าแค่แอบเห็นนิดเดียวเอง” เขาถอนหายใจเบาๆ “ถึงจะแค่นี้แต่ก็ทำให้อารมณ์เดือดพล่านจนอดชื่นชมไม่ได้! พี่สะใภ้…” เขาเรียกเสียงดังกังวานอีกครั้ง
หัวใจของมู่ไคเวยกระตุกแต่จำเป็นต้องรับคำ “…เพคะ”
“หากวันใดมีเวลาว่าง จิ่นอี้จะขอมาคารวะท่าน ถึงตอนนั้นคงต้องรบกวนพี่สะใภ้ด้วย”
“รบกวนเรื่องอะไรหรือ” มู่ไคเวยอดยิ้มน้อยๆ ให้เด็กชายผู้งามเหมือนหยกขาวแกะสลัก ที่มีชีวิตชีวาและร่าเริงคนนี้ไม่ได้
“รบกวนให้ท่านสอนวรยุทธ์ที่ใช้กับพี่ห้าเมื่อครู่ให้ข้า!” เขากะพริบตาปริบๆ
มู่ไคเวยเม้มปากกลั้นหัวเราะ
แต่มุมปากของท่านอ๋องอีกคนกลับกระตุกไม่หยุด นึกอยากฟาดองค์ชายน้อยที่กำลังทำท่าน่ารักน่าเอ็นดูใส่เจ้าสาวหมาดๆ ของเขาให้สลบแทบขาดใจ
“แค่กๆ…แค่กๆๆ…แค่กๆ…แค่กๆๆๆ…”
คังอ๋องไออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนหน้าซีดๆ แดงจรดใบหูภายในชั่วพริบตา ร่างสูงงอตัวลง และเหมือนจะไอเอาเครื่องในทั้งหมดออกมาด้วย
มู่ไคเวยตกใจ นางโยนกระบี่ในมือไปให้หลันกูกูรับไว้แล้วใช้สองมือที่ว่างเปล่าประคองฟู่จิ่นซี
“ท่านอ๋อง?” กลิ่นที่โชยเข้าจมูกนางมีแต่กลิ่นยา
ชั่วขณะนั้นมู่ไคเวยฉุกคิดถึงเรื่องที่เขาเคยเล่าให้ฟัง ฟู่จิ่นซีบอกว่าเขาป่วยเป็นโรคประหลาด กว่าจะรักษาได้ก็เฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง และร่างกายยังเสียหายอีก หญิงสาวคิดแล้วอดรู้สึกปวดใจไม่ได้
นางประคองฟู่จิ่นซีที่ไอจนตัวกระตุกกลับไปนั่งที่เตียงก่อนหันไปกล่าวขออภัยองค์ชายเก้าว่า “ขอองค์ชายโปรดประทานอภัย แต่หม่อมฉันกับสามีคงต้องขอตัวพักผ่อนก่อน ไว้วันหลังเราค่อยคุยกันใหม่ได้หรือไม่”
“ได้ๆ แล้วแต่พี่สะใภ้เลย!” ฟู่จิ่นอี้พยักหน้ารัวๆ เหมือนทุบกระเทียมแล้วเดินออกไปข้างนอก แต่ยังไม่ลืมส่งเสียงมาว่า “พี่จิ่นซีรักษาสุขภาพด้วยนะ คืนนี้เป็นวันดี เป็นฤกษ์มงคลอย่างยิ่ง อย่าให้เสียเปล่าเด็ดขาด น้องชายหวังเหลือเกินว่าพวกท่านสองคนจะภิรมย์สมสุขกันไปตลอดกาล!”
คังอ๋องที่ไล่คนได้สำเร็จไม่ได้รับคำ ศีรษะสวยได้รูปเอนพิงไหล่ของภรรยา แต่ริมฝีปากรูปกระจับกลับยกยิ้ม
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 พ.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.