X
    Categories: JamsaiPerfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เองทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Perfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เอง บทที่ 7 – บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 25

บทที่ 7

“ไม่เป็นไร” เซียวเซียวตบที่นั่งข้างๆ บอกให้อีกฝ่ายนั่งลง

“เมื่อครู่แกสุดยอดมาก แกไม่ได้เห็น พอแกเดินออกมาแล้วหน้าของยายนั่นเขียวปั้ด ก่อนจะหลบเข้าไปอยู่ในห้องน้ำตั้งนานกว่าจะออกมา” ฉินย่าหนานพูดไปก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นกังวลใจขึ้นมา “แกคิดจะทำยังไงต่อไป”

“อย่างมากก็ลาออก” เซียวเซียวพูดอย่างไม่สนใจอะไร ครั้งนี้มีเรื่องมีราวใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ถ้าฟางเซี่ยงเฉียนไม่จากไปเธอก็คงไม่อาจอยู่ที่แผนกนี้ต่อไปได้ ทางเดียวก็คือต้องลาออก

ฉินย่าหนานหันซ้ายแลขวาแล้วตีเซียวเซียวเบาๆ “แกอย่าบ้าไปหน่อยเลย แอลวายเป็นบริษัทออกแบบที่ดีที่สุดในประเทศ เรื่องอะไรต้องลาออกเพราะยายป้านั่น ถ้ามีใครจะต้องไป ยายป้านั่นสิต้องเป็นคนไป”

“ผู้บริหารประเมินฉันไว้ต่ำอย่างนั้น ถึงฉันจะพยายามต่อไปก็ไร้ประโยชน์ โบนัสครึ่งปีแค่สองพันหยวน ทำอย่างกับเป็นเรื่องตลก ฉันไปเปิดร้านในอินเตอร์เน็ตออกแบบชุดจีนซะยังจะดีกว่า” เซียวเซียวมีความคิดนี้จริงๆ ตอนนี้การขายของในอินเตอร์เน็ตเติบโตเร็วมาก บางครั้งเธอก็เป็นฟรีแลนซ์รับงานออกแบบชุดจีนบ้าง ชุดสากลบ้าง จั่นหลิงจวินเองก็เคยพูดไว้ว่าความโกรธมีผลเสียกับการฟื้นฟูสุขภาพของเธอ ถ้าสภาพแวดล้อมยังเลวร้ายต่อไปเช่นนี้ กลับบ้านเกิดแล้วเปิดร้านในอินเตอร์เน็ตเสียยังจะดีกว่า

คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉินย่าหนานนิ่งไป เธอไม่คิดว่าเซียวเซียวจะยอมปล่อยมือไปง่ายๆ ในแววตามีความสับสนขึ้นมาแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา “นั่นไม่ใช่ความคิดเห็นของผู้บริหารหรอก เป็นอคติของยายแม่มดแก่ล้วนๆ”

“แกรู้ได้ยังไง” เซียวเซียวมองฉินย่าหนานด้วยความประหลาดใจ ระบบการให้คะแนนนี้เพิ่งจะนำมาใช้ ขั้นตอนโดยละเอียดยังไม่ได้ประกาศให้พนักงานทั่วไปรับรู้ แต่ทำไมฉินย่าหนานถึงได้มั่นใจขนาดนี้

“ฉันมีแหล่งข้อมูลเล็กๆ” ฉินย่าหนานยักคิ้วแสดงท่าอมภูมิ แล้วก็อธิบายระบบใหม่ให้เธอฟังอย่างละเอียด

ระบบใหม่ที่ว่านี้เรียกเต็มๆ ว่า ‘ระบบประเมินทดสอบพนักงาน’ มีการทับซ้อนกับการประเมินเงินโบนัส ไม่มีการประเมินข้ามชั้น แบบประเมินนั้นถือเป็นคำตอบทุกอย่าง เนื้อหาของการประเมินครอบคลุมเรื่องการสื่อสาร ผลงาน ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ ความเป็นผู้นำ ส่วนที่พวกเธอกรอกเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนในแผนกเป็นเพียงส่วนหนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาของหัวหน้าในการให้คะแนนในหัวข้อของการสื่อสารเท่านั้น เพราะฉะนั้นคะแนนรวมทั้งหมดอยู่ในกำมือของฟางเซี่ยงเฉียน

“ส่วนเรื่องการประเมินของผู้บริหารนั้น ผลการประเมินจะมีผลต่อทั้งแผนกเท่านั้น พวกเราได้โบนัสกันทุกคน ถ้าแกไม่ได้ นั่นก็แปลว่าคะแนนพื้นฐานแกต่ำมาก” ฉินย่าหนานพูดออกมาอย่างหงุดหงิด

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องเงินโบนัสนั้นขึ้นอยู่กับการประเมินของฟางเซี่ยงเฉียน ไม่ได้เกี่ยวกับผู้อำนวยการเลยสักนิด

ข้อมูลนี้สำคัญมากจริงๆ สภาพจิตใจย่ำแย่ของเซียวเซียวพลันเหมือนมีอะไรบางอย่างมากอบกู้ เดิมคิดว่าถูกใส่ร้าย แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการกระทำของคนต่ำช้า เมื่อเป็นแบบนี้วิธีการแก้ปัญหาก็ง่ายขึ้นมากเลย

“ฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจแกมากนะ” เซียวเซียวจับมือของฉินย่าหนาน รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าเป้าหมายของคนตรงหน้านี้คืออะไร แต่สุดท้ายมันก็ช่วยเธอได้

“ไม่ต้องเกรงใจ” ฉินย่าหนานยิ้มให้เซียวเซียวอย่างเขินๆ “พวกเราเป็นเพื่อนกัน ถ้าฉันไม่ช่วยแกแล้วจะให้ช่วยใคร แกออกแบบเก่งกว่าฉัน ถึงแม้บางครั้งฉันจะรู้สึกอิจฉาแกหน่อยๆ แต่ยังไงซะฉันก็ไม่มีทางทำร้ายแก ถ้าแกไปจริงๆ ฉันก็คงอยู่ในบริษัทอย่างโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่ง”

คำพูดที่พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้มีความจริงใจอยู่หลายส่วน เซียวเซียวกอดฉินย่าหนานพลางกล่าว “รอจัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วฉันจะเลี้ยงข้าวแกนะ”

“นี่แกพูดเองนะ ฉันจะกินปูตัวใหญ่ราคาแพงๆ” ฉินย่าหนานวาดมือออกเป็นวงใหญ่

“รู้แล้วน่า” เซียวเซียวผลักฉินย่าหนานเบาๆ แล้วก็หัวเราะขึ้นมา จากนั้นจึงบอกให้อีกฝ่ายกลับเข้าไปก่อน ส่วนตัวเธอจะไปหาเสี่ยวจางที่ชั้นห้า

 

“เซียวเซียว มีอะไรรึเปล่า” เสี่ยวจางทักทายด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนเคย

“มีเรื่องนิดหน่อย อยากจะขอความช่วยเหลือสักนิด” เซียวเซียวดึงเสี่ยวจางหลบไปที่มุมเงียบๆ แล้วเอ่ยปากด้วยเสียงเบา

“เรื่องอะไร” เสี่ยวจางรีบถามโดยไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธ

“ฉันอยากได้ตัวเลขยอดขายของเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน” เซียวเซียวเม้มปาก ทำงานที่บริษัทนี้มาสองปี เธอทำตามกฎเกณฑ์มาตลอด ไม่กล้าข้ามขั้นไปขอข้อมูลจากแผนกอื่นมาก่อนเลย แต่ครั้งนี้อดที่จะกังวลใจไม่ได้จริงๆ

เมื่อได้ยินเซียวเซียวพูดเช่นนี้ เสี่ยวจางที่ตอนแรกรู้สึกเครียดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “คิดว่าเรื่องอะไร ไม่มีปัญหา จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความลับอะไร แต่แค่แผนกคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะดาวน์โหลดข้อมูลเท่านั้น เดี๋ยวจะส่งเข้าอีเมลให้นะ แต่ว่าของแบบนี้อย่าส่งออกไปเชียวล่ะ”

“ได้ๆ ขอบคุณมากนะ” เซียวเซียวเอ่ยปากขอบคุณเสี่ยวจางอย่างจริงใจ

เสี่ยวจางรีบโบกไม้โบกมือ บอกว่าถ้าต่อไปต้องการตัวเลขอะไรก็ให้ส่งอีเมลถึงเขาก็พอ ที่ให้ได้เขาก็จะส่งให้ทั้งหมด

 

หลังจากนั้นเซียวเซียวก็ยังไม่กลับเข้าไปในห้องออกแบบเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับฟางเซี่ยงเฉียน เธอเดินขึ้นไปยังห้องพริ้นเตอร์ที่ชั้นห้าแล้วพิมพ์ตัวเลขยอดขายออกมา

รายงานทั้งไตรมาสยังไม่ออกมา เสี่ยวจางจึงส่งยอดขายของเดือนเมษายนทั้งเดือนกับยอดขายสัปดาห์ล่าสุดมาให้ เซียวเซียวใช้ปากกาวงรหัสเสื้อผ้าที่เธอออกแบบพลางมองแท่งกราฟสูงๆ พวกนั้นด้วยความรู้สึกสับสน

ชุดของเธอเก้าชุด มีอยู่ห้าชุดที่เป็นชุดขายดี แม้แต่ชุดจัมพ์สูทที่ถูกวิจารณ์เสียๆ หายๆ ยอดขายก็ยังขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ในแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูป นี่เท่ากับว่าผลงานของเธอเป็นที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ในห้องประชุมชั้นบนสุด ผู้อำนวยการหลัวอวี้กำลังรายงานการปรับปรุงระบบในครั้งนี้อยู่

“การประเมินตัวบุคคลสามารถประเมินผลงานของพนักงานได้ครบทุกด้าน คนที่เข้าใจพนักงานมากที่สุดก็คือหัวหน้าแผนกโดยตรง เมื่อรวมกับแบบประเมินที่พนักงานตอบกันเอง สามารถรับรองความถูกต้องของผลที่ได้” หลัวอวี้อธิบายด้วยความมั่นใจ นี่เป็นคอร์สทันสมัยที่สุดที่เขาไปอบรมมาจากอเมริกา ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เขาขึ้นเป็นรองประธานได้อย่างมั่นคง

“โบนัสครึ่งปีออกมาแล้ว มีพนักงานคนไหนไม่ได้ตามเกณฑ์บ้าง” ซีอีโออย่างโจวไท่หรานนั่งพิงเก้าอี้พลางพยักหน้าให้หลัวอวี้พูดต่อไป

“รายชื่ออยู่ในนี้” หลัวอวี้เปิดพาวเวอร์พ้อยต์ไปที่หน้าดังกล่าว

พนักงานสิบคนสุดท้ายที่ได้คะแนนรวมต่ำสุดจะได้โบนัสเพียงห้าเปอร์เซ็นต์

“ก่อนหน้านี้พวกเราตัดสินจากผลงานเท่านั้น ซึ่งเป็นการทับซ้อนกับเงินอินเซ็นทีฟ ผมคิดว่าโบนัสครึ่งปีควรจะให้ความสำคัญกับภาพรวมของพนักงาน เช่น ความสามารถในการสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น” หลัวอวี้พูดอย่างตั้งอกตั้งใจ

ผู้อำนวยการอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

“บริษัทของเราใช้รูปแบบบริษัทฝรั่งเศส ทำไมการบริหารจัดการถึงต้องใช้แบบอเมริกา มันไม่ค่อยเหมาะนะ” ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาดส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“เหมาะหรือไม่เหมาะดูความตั้งใจในการทำงานของพนักงานครึ่งปีหลังก็รู้” หลัวอวี้ตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ

ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์อย่างอเดอลีนและอาร์ตแอดไวเซอร์อย่างหลินซือหย่วนไม่สนใจงานด้านบริหารจัดการภายในบริษัท ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างซีอีโอก็จริง แต่กำลังเปิดรูปแฟชั่นวีกของซีซั่นนี้ดูไปพลางๆ ไม่ได้รู้สึกถึงความขัดแย้งระหว่างผู้อำนวยการเลยแม้แต่น้อย

“ท่านประธานคะ” เลขาฯ ที่อยู่ด้านนอกเดินเข้าห้องมากระซิบข้างหูโจวไท่หรานเสียงเบา “คุณเซียวจากแผนกออกแบบจะเข้ามาให้ได้ บอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก ดิฉันรั้งเอาไว้ไม่อยู่ค่ะ” จริงๆ แล้วคำพูดของเซียวเซียวก็คือถ้าไม่ให้เธอเข้ามา เธอก็จะพังประตูเข้ามา

“หืม?” โจวไท่หรานประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่พนักงานจะบุกเข้ามาในห้องประชุมผู้บริหาร “ให้เธอเข้ามา”

ประตูที่หนาและหนักของห้องประชุมค่อยๆ เปิดออก เซียวเซียววางเอกสารปึกใหญ่ที่หอบเข้ามาลงบนโต๊ะพลางมองไปที่ผู้บริหารทุกคน “ต้องขออภัยทุกท่าน ขอรบกวนเวลาสักห้านาทีค่ะ”

ทุกคนต่างพากันหันมามองเซียวเซียว เธอตั้งรับกับสายตาที่กดดันเหล่านั้นแล้วส่งเอกสารให้กับทุกคน

“มีอะไร” โจวไท่หรานหยิบเอกสารที่เย็บเป็นเล่มมาพลิกไปพลิกมา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกราฟ

เซียวเซียวเดินไปที่หน้าโต๊ะประชุมแล้วโค้งคำนับผู้อำนวยการหลัวอวี้ที่ยังยืนอยู่ด้านหน้าของจอใหญ่เป็นเชิงขออภัย

ในเมื่อซีอีโอต้องการฟังเซียวเซียวพูดก่อน หลัวอวี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงแค่ดึงเก้าอี้มานั่งรอฟังอีกฝ่ายเช่นกัน

“เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการวิจารณ์เพื่อโจมตีชุดจัมพ์สูทในคอลเล็กชั่นฤดูร้อนของเรา เอกสารชุดแรกนี้คือรายงานการยืนยันจากหน่วยงานเฉพาะด้านที่ดิฉันใช้บริการเพื่อให้ตรวจสอบข้อมูลการวิจารณ์เหล่านั้น ซึ่งจากข้อมูลรายงานเห็นได้อย่างชัดเจนว่าล้วนแต่เป็นฝีมือหน้าม้าของบริษัทต้าเจียง ค่าตอบแทนของการทำงานนี้มีมูลค่าไม่ถึงสองพันหยวน ซึ่งคนทำก็น่าจะเป็นคนในวงการเดียวกัน ส่วนเป้าหมายของการโจมตีเป็นดิฉันหรือบริษัทก็ไม่อาจทราบได้” เซียวเซียวเปิดเอกสารในมือพร้อมกับอธิบายไปด้วย

“คุณควรจะเอารายงานฉบับนี้ออกมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาดขมวดคิ้วอย่างสงสัย ตอนนั้นเพราะมีข่าวในแง่ลบออกมาทำให้พวกเขาปวดหัวไปพักใหญ่ เสียแรงไปไม่น้อยถึงแก้ไขสถานการณ์กลับมาได้

“ใช่ ก็เพราะเรื่องนี้ตัวแทนจัดจำหน่ายถึงขอเพิ่มค่าจัดจำหน่าย ทำให้แผนกจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายของแผนกลง” ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตและจัดส่งพูดอย่างไม่พอใจ

“วันที่ดิฉันได้รายงานฉบับนี้มาก็ได้ส่งให้กับคุณฟางเซี่ยงเฉียนที่เป็นหัวหน้าโดยตรงของดิฉันทันที” เซียวเซียวพูดถึงตรงนี้แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรต่ออีก ทุกคนในที่นี้ต่างก็มีชั่วโมงบินสูง พูดเพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รับรายงานฉบับนี้ “ความน่าเชื่อถือของรายงานฉบับนี้ดิฉันเชื่อว่าทุกท่านสามารถตรวจสอบดูได้”

เมื่อได้ยินชื่อของฟางเซี่ยงเฉียน ผู้อำนวยการทั้งสองคนก็สบตากัน ส่วนหลัวอวี้ก็ใจเต้นแรงขึ้นมา

“ด้านหลังนี้คือรายงานยอดขายล่าสุดของเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ที่วงกลมไว้คือเสื้อผ้าที่ดิฉันออกแบบ” เซียวเซียวทำท่าบอกให้ทุกคนเปิดดูที่สองหน้าสุดท้าย

โจวไท่หรานหนังตากระตุกขึ้นมาเบาๆ “คุณต้องการจะบอกอะไร” คนที่มีตามองดูก็รู้ว่าผลงานของเธอจัดได้ว่าเป็นที่หนึ่งของแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูป

ใบหน้าของเซียวเซียวแสดงความโกรธออกมาแวบหนึ่ง ฉับพลันก็พูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ถึงแม้ผลงานของดิฉันจะไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ท้ายสุดของบริษัท ทว่ากลับได้รับโบนัสครึ่งปีแค่สองพันหยวน มันทำให้ดิฉันรู้สึกว่ากำลังถูกลบหลู่”

“อะไรนะ!” ทุกคนพากันร้องตะโกนอย่างตกใจแล้วเงยหน้าขึ้นดูหน้าจอโปรเจ็กเตอร์ที่ฉายค้างอยู่ทันที

รายชื่อพนักงานสิบคนสุดท้ายยังอยู่บนหน้าจอ ซึ่งชื่อของเซียวเซียวก็อยู่ในนั้นด้วยจริงๆ

ดีไซเนอร์ยอดเยี่ยมของบริษัทกลับตกอยู่สิบอันดับสุดท้าย ได้รับเงินโบนัสครึ่งปีเพียงสองพันหยวน นี่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่!

หลัวอวี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที

โจวไท่หรานยกมือขึ้นเรียกเลขาฯ ดึงรูปเสื้อผ้าตัวอย่างที่เซียวเซียววงเอาไว้ขึ้นมาดู รูปเสื้อผ้าตัวอย่างของบริษัทจะมีชื่อของดีไซเนอร์ปรากฏอยู่ พวกนี้ยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นแบบที่ขายดี มุมหนึ่งของรูปเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘ออกแบบโดย เซียวเซียว’

“เสื้อตัวนี้ขายให้ร้านเกรดเอจนหมดแล้ว เราไม่มีสินค้าที่จะส่งให้ร้านเกรดบี ตอนนี้กำลังเร่งผลิตเพิ่มอยู่” ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตและจัดส่งขยับเข้ามาชี้ไปยังเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งด้วยความรู้สึกเสียดายมาก เขาไม่ได้ให้ค่ากับเสื้อตัวนี้สักเท่าไร คิดว่ากระโปรงน่าจะขายได้ดีกว่า ใครจะไปคิดว่าเสื้อแขนยาวที่ออกแบบแขนเสื้อเป็นเอกลักษณ์จะกลายเป็นตัวที่ขายดีที่สุดไปได้

“การตัดสินให้โบนัสครั้งนี้ไม่ได้พิจารณาจากผลงาน” หลัวอวี้รู้สึกว่าตัวเองต้องพูดอะไรออกมาบ้าง ไม่อาจปล่อยให้เซียวเซียวทำเช่นนี้ต่อไป ไม่อย่างนั้นแผนการปรับปรุงของเขาจะต้องกลายเป็นหมันอย่างแน่นอน

หลัวอวี้มองไปยังแบบประเมินพนักงานที่วางไว้บนโต๊ะของผู้ช่วย ซึ่งเขาคิดว่าจะเอามาเป็นผลงานแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่จะฆ่าเขาให้ตาย

“เอาแบบประเมินของเธอออกมาซิ” โจวไท่หรานนั่งตัวตรง พูดพร้อมกับหันไปมองผู้ช่วยของหลัวอวี้

ผู้ช่วยก็ไม่กล้าชักช้า รีบเอาแบบประเมินของเซียวเซียวออกมาด้วยความรวดเร็ว

ความสามารถในการสื่อสารบี ความสามารถในการทำงานซี การประเมินจากหัวหน้าแผนก การพูดจาไม่ดี ความสามารถในการทำงานต่ำเนื่องจากสาเหตุส่วนตัว ทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง ผลการประเมินรวมจึงได้ซี

โจวไท่หรานเลื่อนสายตาอ่านต่อไปเรื่อยๆ จนเจอกับ ‘การพูดจาไม่ดี’ เขาเงยหน้ามองเซียวเซียวที่พูดราวกับมีดโกนอาบน้ำผึ้ง ไม่ได้รู้สึกว่าการสื่อสารของเธอมีปัญหา แล้วความสามารถในการทำงานได้ซีก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย ยอดขายรวมอยู่ในอันดับหนึ่งแต่กลับไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้ปรากฏอยู่ นี่เรียกว่ากลั่นแกล้งกันชัดๆ

“ถ้าหากถูกโจมตีด้วยหน้าม้าแล้วตัดสินว่าผลงานและความสามารถในการทำงานของดิฉันมีปัญหา อย่างนั้นต่อไปดิฉันก็จ้างหน้าม้าเพื่อตอบโต้เพื่อนร่วมงานแล้วดูว่าใครมีหน้าม้ามากกว่ากันก็เท่านั้น” เซียวเซียวกอดอกแล้วทำท่าเหมือนนักเลง ทำเอาผู้บริหารที่นั่งอยู่ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง

ในฐานะที่เป็นผู้บริหารมืออาชีพ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าเหตุการณ์เช่นนี้มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้จริงๆ เพราะถ้าต้องถูกคัดออก ทุกคนก็ไม่อยากจะเป็นสิบคนสุดท้าย ต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำร้ายคู่ต่อสู้ สุดท้ายผู้ที่สูญเสียมากที่สุดก็คือบริษัท

ห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบสงัด

“คำร้องเรียนของคุณพวกเรารับมาแล้ว สำหรับเงินโบนัสของคุณจะทำการพิจารณาใหม่ ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม” โจวไท่หรานยิ้มให้เซียวเซียวอย่างเป็นกันเอง ความหมายก็คือให้เซียวเซียวกลับไปก่อน ระหว่างนี้ผู้บริหารต้องปรึกษาหารือกัน

“ยังมีอีกเรื่องค่ะ” เซียวเซียวสูดหายใจเข้าลึก “ดิฉันต้องการร้องเรียนคุณฟางเซี่ยงเฉียนหัวหน้าของดิฉัน”

เธอไม่มีสิทธิ์ในการดูตัวเลขยอดขาย ทว่าฟางเซี่ยงเฉียนเป็นหัวหน้าแผนก ย่อมมีสิทธิ์ที่จะดูตัวเลขนั้นได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผลงานจริงๆ เป็นอย่างไร แต่ก็ยังให้ผลการประเมินเธอในเชิงลบ นี่เป็นการถือโอกาสล้างแค้นส่วนตัว

เซียวเซียวทุ่มไปสุดตัว เป้าหมายของเธอไม่เพียงแค่จะเอาเงินกลับคืนมา แต่ยังต้องการล้มฟางเซี่ยงเฉียนด้วย สถานการณ์ในตอนนี้คือ ‘ถ้าเจ้าไม่ตายข้าก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้’

“ปิดบังข้อมูลสำคัญ เจตนาใช้อำนาจตัดเงินโบนัสของพนักงาน สมควรที่จะถูกร้องเรียน” ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาดพูดระบุความผิดของฟางเซี่ยงเฉียนด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ก่อนจะเหลือบตามองหลัวอวี้ที่มีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง

อเดอลีนไม่สนใจจะฟังเรื่องนี้อีกต่อไปจึงหันไปพูดขอตัวกับซีอีโอ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุมพร้อมกับเซียวเซียว

“ถ้าแก้ไขเรื่องเงินโบนัสไม่ได้ เดี๋ยวฉันจ่ายให้เธอสี่หมื่นหยวนเอง” อเดอลีนมองเซียวเซียวด้วยสายตาชื่นชม สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กล้าลุกขึ้นมาปกป้องการออกแบบของตัวเองและยืนหยัดในความคิดของตัวเองแล้ว เธออดที่จะชื่นชมไม่ได้

เซียวเซียวรีบกล่าวอย่างตกใจ “คุณไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันไม่ได้ทำเพราะเงินอย่างเดียว แต่ฉันต้องการเรียกร้องความยุติธรรม”

“ฉันเข้าใจ” อเดอลีนพยักหน้ารับ “ทำไมช่วงนี้เธอถึงไม่ไปที่ห้องฟิตติ้งเลย”

เซียวเซียวมองหลินซือหย่วนที่ยืนอยู่หลังอเดอลีน พูดยิ้มๆ ว่า “หน้าฉันบวมขึ้นทุกวัน ไม่กล้าไปให้อายขายขี้หน้าหรอกค่ะ”

อเดอลีนมองหน้าเซียวเซียวที่บวมขึ้น สายตานิ่งๆ นั้นไม่ได้มีร่องรอยของความรังเกียจเดียดฉันท์หรือแม้กระทั่งตกใจ มีแต่สีหน้าราบเรียบ แล้วเธอก็เอ่ยปากสอน “สิ่งที่สำคัญสำหรับนางแบบฟิตติ้งก็คือความเข้าใจอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่หน้าตา เธอกลับมาทำงานที่ห้องฟิตติ้งต่อเถอะ”

ดวงตาของเซียวเซียวเป็นประกายขึ้นมาทันใด เธอมองใบหน้าที่เข้มงวดของอเดอลีนด้วยความประหลาดใจและยินดีอย่างยิ่ง

“อเดอลีน ฉันว่าเธอน่าจะคิดดูอีกทีนะ หน้าตาแบบนี้อยู่ในห้องฟิตติ้งจะทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ” หลินซือหย่วนไม่คิดที่จะปิดบังความรังเกียจนี้แม้แต่น้อย

“ซือหย่วน ฉันไม่คิดเลยว่านายจะพูดคำพูดที่ไร้ความเป็นสุภาพบุรุษแบบนี้ออกมา” อเดอลีนโมโหขึ้นมาบ้าง

“เธอมีมาตรฐานความงามของเธอ ฉันก็มีมาตรฐานความงามของฉัน” หลินซือหย่วนจีบมือชี้นิ้วมาที่ตัวเองแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป

เซียวเซียวยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่เดิม รอจนหลินซือหย่วนเดินไปไกลแล้วจึงได้เอ่ยปากขึ้น “อเดอลีนที่รัก ขอบคุณในความหวังดีนะคะ แต่สถานการณ์ของฉันในตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะที่จะเป็นนางแบบฟิตติ้ง มันจะส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณ แต่ฉันจะไปช่วยทำงานบ่อยๆ ถ้าคุณไม่รังเกียจ”

อเดอลีนพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ก่อนทั้งสองจะแยกย้ายกันไป

 

บรรยากาศในห้องประชุมเคร่งเครียดขึ้นมาก

“ผมก็บอกแล้วว่าระบบนี้มันไม่สมเหตุสมผล ยังต้องการการพิสูจน์ แต่สุดท้ายผู้อำนวยการหลัวก็ยังยืนยันว่าจะใช้ทันที เป็นไงล่ะ เกิดเรื่องจนได้” ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาดรีบเหยียบซ้ำทันที

“คนที่มีผลงานดีแบบนี้กลับไม่ให้โบนัสเขา ต่อไปทุกคนก็ไม่ต้องออกแบบกันแล้วล่ะ แค่เล่นเกมภายในกันก็พอ ขอแค่มีของขวัญให้หัวหน้าแผนกก็จะได้รับการประเมินที่ดี” ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตและจัดส่งได้ทีจึงใส่สีตีไข่ต่อ

ใบหน้าของหลัวอวี้ยิ่งดำคล้ำ เขาพูดอะไรไม่ออก บนหน้าจอโปรเจ็กเตอร์ยังคงหยุดอยู่ตรงหน้าที่มีรายชื่อของพนักงานทั้งสิบคน เหมือนกับกำลังประจานความผิดของเขาทีละข้อๆ

โจวไท่หรานไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร ได้แต่นั่งเปิดดูแบบประเมินของพนักงานทั้งสิบคน เมื่อเขาเปิดถึงแบบประเมินของหยางเซี่ยวก็หัวเราะอย่างโมโหขึ้นมาทันที ช่างทําแพตเทิร์นอายุน้อยคนนี้ได้คะแนนการประเมินด้านความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร และความเป็นผู้นำอยู่ในระดับต่ำจนรั้งท้าย “หลัวอวี้ คุณลองมาอธิบายหน่อยซิว่าช่างทำแพตเทิร์นที่ทำงานแบบเดียวกันทั้งวันต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ต้องมีความเป็นผู้นำอะไร”

“ตอนนี้เป็นช่วงของการทดลอง ระบบยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์จึงเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น ผมต้องขออภัยอย่างสูง” หลัวอวี้เหงื่อออกเต็มหน้า อยากจะลากฟางเซี่ยงเฉียนออกมาซ้อมสักที ในเวลาสำคัญแบบนี้ยังจะสร้างปัญหาให้กับเขาอีก คงมีผีบังตาทำให้เขาคิดว่าเธอเป็นหัวหน้าที่มีความสามารถ

“งั้นคุณก็จัดการแก้ไขสิ ภายในสามวันเอามาให้ผมดูใหม่ แล้วโอนเงินโบนัสเพิ่มให้พนักงานทั้งสิบคนนี้ด้วย” โจวไท่หรานลูบคางพร้อมกับมองไปที่เอกสารเล่มหนานั้น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมๆ ว่า “คราวที่แล้วผมก็เคยพูดเรื่องฟางเซี่ยงเฉียนไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องอธิบาย ผมไม่อยากฟังเรื่องนี้อีก พรุ่งนี้ให้เธอไสหัวไปซะ อย่าให้อยู่ทำลายบริษัทผม”

 

หลัวอวี้เสียหน้ามากที่ถูกซีอีโอตำหนิต่อหน้าทุกคน เมื่อกลับถึงห้องทำงานก็เดินวนไปวนมาด้วยความหงุดหงิดอยู่ครึ่งชั่วโมง เขาทุ่มเทไปมากมายเพื่อตำแหน่งรองประธาน แต่กลับถูกฟางเซี่ยงเฉียนทำจนเสียเรื่อง ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นคนที่ฟ้าส่งลงมาทำลายเขาอย่างแน่นอน

ด้านฟางเซี่ยงเฉียนที่แต่งหน้าใหม่แล้วกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ในห้องออกแบบพลางคิดว่าจะจัดการเซียวเซียวอย่างไรต่อดี จากนั้นใบหน้าก็เผยความโหดเหี้ยมขึ้นมา ในขณะเดียวกันนั้นเองโทรศัพท์ที่โต๊ะเธอก็ดังขึ้น เธอเอื้อมมือไปรับ แต่เนื่องจากยังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดจึงรับสายด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก “ใคร”

“ผมหลัวอวี้นะ คุณมาพบผมที่ห้องทำงานหน่อย”

ฟางเซี่ยงเฉียนได้สติขึ้นมาทันทีจึงรีบปรับน้ำเสียงให้ดีขึ้น ก่อนจะลุกเดินไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว

ตอนที่เธอเดินอยู่ตรงบันไดก็บังเอิญชนเข้ากับเซียวเซียว ทั้งสองคนถลึงตาใส่กันอยู่ครู่หนึ่ง

ฟางเซี่ยงเฉียนชี้นิ้วไปที่เซียวเซียวจนเกือบจะชนจมูกของอีกฝ่าย “รอฉันไปพบผู้อำนวยการก่อน แล้วจะกลับมาจัดการเรื่องของเรา”

เซียวเซียวเหลือบตามองบนแล้วเดินเข้าไปในห้องออกแบบ พบว่าทุกคนกำลังสุมหัวรวมตัวกันอยู่ ไม่มีใครรู้ตัวว่าเธอเดินกลับเข้ามาแล้ว

“เมื่อกี้ท่าทางของพี่ฟางน่ากลัวจริงๆ แทบจะกินหัวคนได้อยู่แล้ว” ผู้ช่วยตบหน้าอกตัวเองเบาๆ

“แล้วเซียวเซียวจะทำยังไง” จ้าวเหอผิงมองคนอื่นๆ ด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม “ถ้าพวกเธอทะเลาะกันขึ้นมา พวกคุณจะช่วยใคร”

“ก็ต้องช่วยเซียวเซียวน่ะสิ พวกเราเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันนะ” ผู้ช่วยคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทางต้องการผดุงความยุติธรรม

“ผมเป็นผู้ชายนะ จะให้ตบตีกับผู้หญิงคงไม่ดีมั้ง” ดีไซเนอร์อีกคนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“คิดแล้วเครียด” จ้าวเหอผิงตบไหล่เสี่ยวหวังไปทีหนึ่ง “จะให้ตบตีกับผู้หญิงนั้นไม่ดีแน่ แต่พวกเราก็กันพี่ฟางได้นี่”

“อ้อ…” ทุกคนเข้าใจแล้ว พวกเขาไม่คิดจะตบตีใคร แต่พวกเขาสามารถกันไม่ให้ฟางเซี่ยงเฉียนทำร้ายเซียวเซียวได้

จากนั้นเสียงหัวเราะที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ของเซียวเซียวก็ดังขึ้น

“เฮ้ย!” จ้าวเหอผิงตกใจร้องออกมาพลางปัดมือไปบนโต๊ะ ข้าวของบนโต๊ะตกกระจัดกระจายเต็มพื้น เมื่อมองเห็นว่าเป็นเซียวเซียวก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก “ตกใจหมดเลย คิดว่าพี่ฟางเดินกลับมาซะอีก”

“แหม ทีเมื่อกี้ทำเป็นเก่งนะ” เซียวเซียวทำปากเบะ

ทุกคนทำเสียงโห่ใส่เขาก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

 

ฟางเซี่ยงเฉียนนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับผู้อำนวยการหลัวอวี้ เธอยืดหลังตรงราวกับไม้บรรทัด รอให้หลัวอวี้เอ่ยปาก แต่เขาก็ยังไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่มองงานที่อยู่ในมือ ทำราวกับว่าไม่มีใครนั่งอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อนั่งอยู่แบบนี้สิบนาทีเต็มๆ ฟางเซี่ยงเฉียนก็เริ่มจะทนไม่ไหว “เอ่อ…”

ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร หลัวอวี้ก็กดสายภายในเรียกผู้ช่วยให้นำเอกสารที่เขาเพิ่งเซ็นอนุมัติส่งออกเข้ามา แล้วก็สั่งงานอย่างละเอียดอีกครั้ง รอจนกระทั่งผู้ช่วยออกไปและห้องทำงานกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง จากนั้นหลัวอวี้ก็เปิดอีเมลอ่านและตอบกลับอีเมลต่อ

เสียงเคาะคีย์บอร์ดดังก้องอยู่ในห้องที่เงียบสงัด ในที่สุดฟางเซี่ยงเฉียนก็รู้สึกได้ว่าผู้อำนวยการกำลังโมโห เธอไม่กล้าเปล่งเสียงอะไรออกมา ได้แต่นั่งรออย่างสงบนิ่ง แต่ในใจก็ร้อนรนพยายามคิดทบทวนว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง

หลัวอวี้ปล่อยให้ฟางเซี่ยงเฉียนรออยู่อย่างนั้นนานถึงครึ่งชั่วโมงจึงได้วางงานในมือลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอพลางเอ่ยถาม “การประเมินแบบใหม่นี้มีปัญหาอะไรไหม”

ฟางเซี่ยงเฉียนเดาความรู้สึกของผู้อำนวยการไม่ถูกจึงตอบไปด้วยความนอบน้อม “ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แค่พนักงานบางคนมีอารมณ์ แต่ฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”

หลัวอวี้พยักหน้าก่อนหยิบนามบัตรสีขาวใบหนึ่งขึ้นมาจากกล่องนามบัตรแล้ววางไว้ตรงหน้าฟางเซี่ยงเฉียน “คุณเป็นคนมีความสามารถ การบริหารจัดการก็โดดเด่น เพียงแต่ไม่ค่อยเหมาะสมกับแผนกออกแบบสักเท่าไหร่ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะแนะนำคุณให้เพื่อนผม คุณไปทำงานที่บริษัททางนู้นจะดีกว่า”

ฟางเซี่ยงเฉียนหยิบนามบัตรนั้นมาพร้อมกับอ้าปากค้าง

นี่…นี่มันเป็นการบอกให้ลาออกเองใช่ไหม

 

ต้าต้าเหยา : คืนนี้พ่อกับแม่ฉันไม่อยู่บ้าน แกมานอนบ้านฉันได้ไหม

 

เซียวเซียวกำลังออกแบบยูนิฟอร์มให้กับซังอวี๋ อยู่ๆ ก็ได้รับคำชวนจากเหลียงจิ้งเหยา

 

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : พูดแบบนี้เหมือนแอบลักลอบคบหากันยังไงก็ไม่รู้

ต้าต้าเหยา : ก็แอบลักลอบนั่นแหละ แม่บอกให้ฉันอยู่กับแกน้อยๆ หน่อย บอกว่าความโสดเป็นโรคติดต่อ สุดท้ายจะกลายเป็นสาวแก่กันทั้งคู่

เสี่ยวเสี่ยวปู้ :

ครอบครัวของเหลียงจิ้งเหยามีฐานะดีมาก บ้านของเธอจึงเป็นห้องชุดสองชั้นหรูหราใจกลางเมืองที่อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก แต่เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่บ้านทีไรก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน ทุกครั้งที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้านเธอจึงมักจะเรียกเพื่อนมานอนด้วยเสมอ

“นี่กระโปรงของแกนะ” เหลียงจิ้งเหยาลากกระเป๋าเดินทางมาแล้วหยิบของข้างในออกมาวางไว้เต็มเตียง ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ไปกวาดซื้อมาจากฮ่องกง “แล้วยังมีน้ำหอมพวกนี้อีก ลองดมกลิ่นดู แกชอบอันไหนก็เอาไปได้เลย”

เซียวเซียวไม่คิดจะเกรงใจเพื่อนคนนี้แต่อย่างใด เธอรับกระโปรงมาคลี่ออกดูทันที

ทุกครั้งที่เซียวเซียวต้องไปทำงานนอกสถานที่ เธอก็จะมีของฝากมาให้เหลียงจิ้งเหยาเสมอ ทั้งสองคนมีของให้กันไปมา ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระอะไร

“นี่อะไรอ่ะ” เซียวเซียวหยิบกล่องกำมะหยี่ขึ้นมาดู มองแล้วเหมือนเป็นกล่องเครื่องประดับ เมื่อเปิดออกจึงเห็นว่าเป็นกระดุมแขนเสื้อไพลินคู่หนึ่ง “เอ๋?”

ในกองของใช้ผู้หญิงที่มีแต่เครื่องสำอางกับน้ำหอมกลับมีกระดุมแขนเสื้อและเนกไทปนอยู่ด้วย เซียวเซียวเคยเห็นเนกไทเส้นนี้จากรูปถ่ายมาก่อนแล้ว จึงขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าตอนมองจากรูปถ่ายนั้นไม่เห็นอะไรที่เป็นพิเศษ แต่เนกไทสีน้ำเงินเข้มเกือบดำเส้นนี้ถ้าอยู่ใต้แสงไฟจะเห็นเหลือบระยิบระยับเหมือนกับพิมพ์ดวงดาวลงไปในเนื้อผ้า สวยจนไม่อาจละสายตาไปได้

“เนกไทสวยจริงๆ” เซียวเซียวหยิบเนกไทขึ้นมาพลางเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก แล้วก็มองไปที่เพื่อนรักอย่างเจ้าเล่ห์ “จะเอาไปให้ใคร ไม่น่าจะให้คุณอาหรอกใช่ไหม”

ถ้าหากจะให้พ่อก็ต้องให้ตั้งแต่วันที่กลับมาแล้ว ที่สำคัญเนกไทที่มีรูปแบบสะดุดตาเช่นนี้ไม่เหมาะกับผู้ชายมีอายุ

“อืม…แกไม่ต้องสนใจเลย” เหลียงจิ้งเหยาแย่งเนกไทกับกระดุมแขนเสื้อกลับมาวางไว้ข้างกาย

เดิมทีก็คิดว่าจะแซวเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าเหลียงจิ้งเหยาจะอ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้ ทำให้เซียวเซียวเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที เธอเอื้อมมือไปจิ้มเนื้อนิ่มๆ ตรงเอวของเพื่อนรัก “ฉันว่าต้องมีอะไรแน่ๆ”

“โอ๊ย ไม่ใช่ อย่ามั่วน่า” เหลียงจิ้งเหยารีบปฏิเสธอย่างร้อนรน ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็ไม่ยอมพูด คว้าสตรอเบอรี่ยัดใส่ปากของเซียวเซียวเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดพูด

ฟางเซี่ยงเฉียนไม่มาทำงานติดต่อกันสองวันบอกว่าพักร้อน ทุกคนต่างพากันดีใจ ทำงานกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง

“คนบ้างานอย่างฟางเซี่ยงเฉียนรู้จักพักร้อนด้วยเหรอ” จ้าวเหอผิงเอ่ยขึ้นอย่างงุนงง

ฉินย่าหนานยิ้มอย่างมีลับลมคมใน ก่อนจะเดินมาชนด้านข้างเซียวเซียวเบาๆ “แกว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับฟางเซี่ยงเฉียนรึเปล่า”

เซียวเซียวหันกลับไปมองอีกฝ่าย “แกกำลังจะบอกอะไรฉันรึเปล่า”

ฉินย่าหนานมองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบข้างหูเธอเสียงเบาว่า “ฉันบอกแกแล้วแกก็เหยียบไว้นะ ฟางเซี่ยงเฉียนโดนไล่ออกแล้ว”

“หา?” เซียวเซียวหันมามองฉินย่าหนานอย่างตกใจ

“รู้อยู่ในใจก็พอแล้ว อย่าพูดออกไปล่ะ” ฉินย่าหนานขยิบตาให้กับเธอแล้วเดินออกไปอย่างมีความสุข

เซียวเซียวครุ่นคิดอะไรบางอย่างขณะมองแผ่นหลังของฉินย่าหนาน คนคนนี้ชอบที่จะไปหาข่าวเรื่องที่ตัวเองอยากรู้ แต่ข่าวนี้มันเร็วเกินไปหรือเปล่า หรือว่าฉินย่าหนานมีเพื่อนอยู่แผนกบุคคลหรือแผนกการเงิน

เมื่อคิดไม่ตกก็ไม่อยากจะคิดต่ออีก เซียวเซียวเร่งมือทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ แล้วค่อยออกแบบยูนิฟอร์มให้กับซังอวี๋ต่อ

ตอนนี้เธอออกแบบเสร็จแล้วทั้งหมดหกชุด เหลือเพียงชุดของจั่นหลิงจวินกับเลี่ยวอี้ฟานเท่านั้น สำหรับชุดของจั่นหลิงจวินเธอต้องคิดให้ละเอียดลออมากกว่าคนอื่นหน่อย

จั่นหลิงจวินต้องการจะใช้สีดำ ผู้ชายคนนี้สวมเสื้อผ้าสีดำแล้วดูดีจริงๆ เพียงแต่เดิมทีเธอตั้งใจจะใส่โลโก้ของซังอวี๋ลงไปทว่าดูไม่ค่อยเข้ากัน จะวาดต้นไม้สองต้นลงไปบนชุดกีฬาหรือชุดลำลองอย่างไรก็ได้ แต่หากวาดลงบนเสื้อที่ดูหรูหราจะทำให้ลดเกรดของเสื้อผ้าทันที

เซียวเซียวหยิบกระดาษสีดำขึ้นมา ใช้ปากกาเคมีเส้นเล็กวาดโลโก้ของซังอวี๋ลงไป วาดเสร็จรูปหนึ่งก็วาดต่ออีกรูป ครั้งนี้ดูเรียบง่ายกว่ารูปก่อนหน้า

จากนั้นเธอก็วาดออกมารวมทั้งหมดสิบรูป รูปแบบมีตั้งแต่ต้นไม้ที่มีกิ่งก้านใบไปจนถึงเป็นแค่ลายเส้น เมื่อเอาลายเส้นสแกนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ก๊อปปี้วางต่อกันจนเป็นผืนใหญ่ ทำให้มีความรู้สึกเหมือนกับเส้นลายเมฆในเสื้อผ้าสมัยโบราณ

เมื่อนำเส้นลายเมฆมาวางลงบนคอเสื้อหรือแขนเสื้อสีดำทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างความเป็นจีนกับตะวันตก ให้ความรู้สึกคลาสสิก ซ้ำยังดูมีค่าขึ้นอีกต่างหาก

เซียวเซียวรีบเอาลายเมฆวางไปบนเสื้อผ้าอื่นอีกหกชุด จากนั้นก็ปรับแต่งรายละเอียดอีกเล็กน้อย ใส่องค์ประกอบที่ดูโบราณลงไปอีกหน่อย ซึ่งได้ผลดีกว่าที่คาดไว้มาก เมื่อทำรูปสำเร็จออกมาได้ก็ทำให้เธอถึงกับตะลึงในความสวยงามตรงหน้า

เซียวเซียวจ้องมองรูปในคอมพิวเตอร์นิ่งๆ ครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ค้นพบแนวทางการออกแบบใหม่ หรือจะพูดว่าเป็นทางลัดสำหรับคนขี้เกียจก็ได้

การนำความนิยมแบบดั้งเดิมมาผสมผสานกับเสื้อผ้าสมัยใหม่แบบนี้มีคนทำมาโดยตลอด เพียงแต่บริษัทที่มุ่งผลิตแต่เสื้อผ้าทันสมัยไม่ค่อยใช้รูปแบบนี้มากนัก นานวันเข้าทุกคนก็พากันวิ่งตามแฟชั่นยุโรปกับอเมริกา เพราะอยากจะเข้าไปในวงการนี้จึงพากันใช้ทั้งรูปแบบและเนื้อผ้าที่อิงไปในทางตะวันตก นานวันเข้าก็สูญเสียจุดเด่นของตัวเองไป

สโมสรซังอวี๋ซึ่งใช้โครงสร้างการฟื้นฟูแบบตะวันตกแต่กลับใช้ชื่อที่มีความหมายดูโบราณ การใช้ชื่อ ‘ซังอวี๋’ ซึ่งเป็นคำที่มีอยู่ในสำนวน ‘สูญเสียตงอวี๋ ได้มาซึ่งซังอวี๋’ ย่อมดีกว่าใช้ชื่อศูนย์ฟื้นฟูแฮงค์หรือคลับอลิซาเบธมาก

เซียวเซียวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเซียนที่ฝึกฌานขั้นสูง รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ เมื่อละทิ้งกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ผูกมัดตัวเอาไว้ไป โลกที่อยู่เบื้องหน้าก็พลันกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต

“หยางเซี่ยว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยขึ้นฟ้าแล้ว” เซียวเซียวหันหลังกลับไปสบตามองช่างทำแพตเทิร์นหนุ่มด้วยดวงตาเป็นประกาย

“งั้นก็ยินดีกับเธอด้วย” แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่หยางเซี่ยวก็หันมาบอกเธอด้วยความจริงใจ

“ฮ่าๆๆๆ” เซียวเซียวเท้าเอวหัวเราะเสียงดัง เมื่อมองดูนาฬิกาก็เห็นว่าได้เวลาแล้วจึงปิดคอมพิวเตอร์ แขวนไม้บรรทัดโค้งอันโปรดเข้าที่แล้วก็เลิกงาน

 

วันนี้เป็นวันที่จะวัดตัวให้กับ

จะได้เห็นลายเส้นของกล้ามเนื้อในระยะใกล้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้แอบลูบๆ คลำๆ บ้าง

ไม่ได้ๆ นี่จะลามกเกินไปแล้ว

เซียวเซียวยืนอยู่หน้าประตูของซังอวี๋ ส่ายหน้าไปมาเพื่อสลัดความคิดลามกนั้นออกไป แล้วท่องประโยคที่ว่า “สุภาพชนชื่นชมไกลๆ ไม่ต้องเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ” วนไปวนมา

เธอวางจั่นหลิงจวินไว้เป็นเทพบุตร เพราะฉะนั้นต้องไม่มีความคิดแบบนี้ต่อเขาสิ

ต้องไม่มีสิ

เมื่อรวบรวมสมาธิได้แล้วเซียวเซียวก็ก้าวเข้าไปในห้องทำงานของจั่นหลิงจวิน แต่เมื่อมองเห็นอีกฝ่าย ความตั้งใจที่มีอยู่ทั้งหมดก็พังครืนลงทันที

จั่นหลิงจวินยังคงแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำพร้อมผูกเนกไทสวยงามเหมือนเคย เนกไทเส้นนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ

นั่นมันเนกไทลิมิเต็ดอีดิชั่นที่เหยาเหยาซื้อมาจากฮ่องกง?! 

บทที่ 8

 เธอน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพื่อนรักของเธอสุขภาพร่างกายแข็งแรง ทำไมถึงได้รู้จักศูนย์ฟื้นฟูนี่ นั่นก็ต้องเป็นเพราะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคนที่นี่อย่างไรล่ะ และตอนนั้นเหลียงจิ้งเหยาก็ยังเคยพูดกับเธอว่า ‘อย่าบอกนะว่าหนุ่มชานมของแกแซ่จั่น’

พวกเขารู้จักกันอยู่แล้วแต่เหลียงจิ้งเหยาไม่เคยพูดถึงจั่นหลิงจวินต่อหน้าเธอ คงเพราะเธอคลั่งไคล้เขาจนเห็นชัดขนาดนี้จึงทำให้เหลียงจิ้งเหยาทำอะไรไม่ถูกล่ะมั้ง

ก่อนหน้านี้เซียวเซียวก็คิดว่าตัวเองคิดดีแล้ว ตั้งใจจะมองจั่นหลิงจวินเป็นเพียงเทพบุตร แค่ได้มองใบหน้าที่หล่อเหลานั่นอยู่ไกลๆ ก็พอ แต่เมื่อได้เห็นหน้าเขา หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที

ถ้าต้องเห็นเขาเป็นของคนอื่น ฉันคง

จั่นหลิงจวินมองเห็นเธอขณะที่ตั้งใจจะคลายเนกไทออก เนกไทเส้นนี้เป็นของขวัญวันเกิดของเขา ทั้งสีและรูปแบบถูกใจเขามาก วันนี้ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านเขานึกขึ้นได้ว่าเซียวเซียวจะมาวัดตัว ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาหยิบเนกไทเส้นนี้ขึ้นมา

“คุณมาแล้วเหรอ” จั่นหลิงจวินรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ ที่ตั้งใจแต่งตัวให้ดูดีเป็นพิเศษ หลังจากทบทวนมาทั้งวัน ในที่สุดก็คิดว่ามันเป็นแรงกดดันเพราะจะต้องเผชิญหน้ากับดีไซเนอร์

“อืม ฉันมาวัดตัวน่ะ” เซียวเซียวพยายามจะยิ้มออกมาพร้อมกับก้าวเข้าไปด้านใน

จั่นหลิงจวินถอดเสื้อนอกออก ก่อนจะค่อยๆ ยืดแขนทั้งสองออกไปด้านข้างเหมือนกับเทพอะพอลโลที่กำลังง้างคันธนูเวทมนตร์สีเงิน แผ่กลิ่นอายดึงดูดให้คนเข้าไปหาอย่างไม่อาจต้านทานได้ แม้ว่าจะต้องถูกแผดเผาด้วยความร้อนแรงของรถม้าพระอาทิตย์ก็ไม่เสียดายชีวิต

ปลายนิ้วของเซียวเซียวสั่นเล็กน้อย เธอเดินไปรอบๆ ตัวจั่นหลิงจวินพลางหยิบเอาสายวัดมาวัดตัวอย่างละเอียด

ในฐานะดีไซเนอร์ สิ่งที่เธอจะเห็นเป็นอันดับแรกก็คือสัดส่วนของคนคนนั้น ครั้งแรกที่ได้เห็นไหล่กว้างของจั่นหลิงจวินก็ดึงดูดสายตาเธอเอาไว้แล้ว ความกว้างไหล่ ความยาวแขน รอบอก รอบเอว ค่อยๆ วัดไปทีละส่วน เธอยังคงรักษามารยาทในการสัมผัส เซียวเซียวบันทึกตัวเลขที่สมบูรณ์แบบนี้ลงไปในสมุดบันทึกเล่มเล็กของเธอ ในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบถึงขนาดอยากจะร้องไห้อยู่หน่อยๆ
หลังจากที่กลับถึงบ้าน เซียวเซียวนอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอยู่นานก็ยังไม่หลับสักที ในหัวสมองคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างเหลียงจิ้งเหยากับจั่นหลิงจวินไปต่างๆ นานา ถ้าทั้งสองคนมีใจให้กัน ต่อไปเธอคงต้องไปที่ซังอวี๋ให้น้อยลงแล้ว

สำหรับเซียวเซียวแล้วเหลียงจิ้งเหยานั้นแตกต่างจากคนอื่น เป็นความผูกพันที่มากกว่าเพื่อน ตอนที่เธอไข้ขึ้นสูงนอนหนาวสั่นอยู่ในห้องก็ได้เหลียงจิ้งเหยาที่โทรหาเธอแล้วรู้ว่าเสียงเธอผิดปกติ

‘ทำไมแกถึงพูดเสียงสั่นแบบนี้ล่ะ ไข้ขึ้นหรือเปล่า’

‘เหมือนจะใช่…’

ตอนนั้นเซียวเซียวไข้ขึ้นแทบไม่ได้สติจนไม่รู้ตัวว่ากำลังป่วยแล้ว หลังจากวางสายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเหลียงจิ้งเหยาก็ปรากฏตัวขึ้นที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ ก่อนจะทั้งลากทั้งแบกพาเธอไปส่งโรงพยาบาล

เซียวเซียวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดไปที่ห้องสนทนาของต้าต้าเหยา ก่อนจะพิมพ์ข้อความออกไป

 

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : เหยาเหยา แกชอบจั่นหลิงจวินใช่ไหม

 

เมื่อกดส่งออกไปแล้วเซียวเซียวก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา คำพูดนี้เหมือนกับกำลังซักไซ้ แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรไปซักไซ้แบบนั้นกัน พอคิดจะกดยกเลิกการส่งข้อความก็พบว่าข้างๆ ข้อความนั้นมีเครื่องหมายตกใจสีแดงอยู่ แปลว่าข้อความยังไม่ได้ถูกส่งออกไป

เซียวเซียวมองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งกว่าแล้ว แอพพลิเคชั่นของซังอวี๋ตัดอินเตอร์เน็ตอัตโนมัติไปเรียบร้อยแล้ว เธอจึงรู้สึกดีใจ จากนั้นก็กดลบข้อความที่ส่งออกไม่สำเร็จ ก่อนจะนอนลืมตามองดูฝ้าเพดานต่อไปเงียบๆ

เหลียงจิ้งเหยาชอบจั่นหลิงจวินหรือเปล่าเซียวเซียวไม่รู้ รู้แต่ว่าเวลานี้ขณะนี้เธอแน่ใจว่าตัวเองชอบจั่นหลิงจวินเข้าให้แล้ว ได้รู้จักเพียงหนึ่งเดือนสั้นๆ การกระทำของเขาทุกอย่าง คำพูดของเขาทุกคำ ภาพทุกภาพชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เมื่อรู้ว่าเขาอาจจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมันไม่อาจหลอกลวงกันได้เลยจริงๆ

ถ้าไม่ได้ป่วยคงจะดี…

แต่ถ้าไม่ได้ป่วยแล้วจะเจอจั่นหลิงจวินได้อย่างไร…

ถ้าจั่นหลิงจวินเป็นของเธอจะดีสักแค่ไหน…

 

เมื่อนอนไม่หลับทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเซียวเซียวจึงมีอาการสะลึมสะลือ ไปทำงานแบบเหม่อๆ ไม่ค่อยมีสติเท่าไรนัก

“เซียวเซียว แกดูชุดที่ฉันออกแบบหน่อยสิ” ฉินย่าหนานถือสมุดออกแบบมาส่งให้เธอดูอย่างลับๆ ล่อๆ

เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ถูกรูปสเก็ตช์ชุดกระโปรงในสมุดนั่นดึงความสนใจไปทันที

นั่นเป็นเดรสที่ทิ้งตัวได้สวยงาม สามารถช่วยปิดหน้าท้องได้ดีมาก ทำให้คนที่สวมชุดนี้ดูผอมเพรียวเหมือนกับต้นสุ่ยซาน แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ที่เข็มขัดสองเส้นที่เปลี่ยนดอกซานซู่ให้มีลักษณะเหมือนครีบปลานิ่มๆ ม้วนเป็นทรงกลมแล้วทิ้งชายลงมาตามกระโปรง ช่วยพรางขาทั้งสองข้างให้ดูเรียวขึ้นและยังสามารถผูกให้เป็นดอกซานซู่ตรงเอวได้อีกด้วย

นี่มันสวยมากจริงๆ ช่าง…เต็มไปด้วยความรู้สึก

“สวย…สวยจริงๆ” เซียวเซียวพลันคิดถึงการแข่งขันออกแบบเสื้อผ้าระดับอุดมศึกษารายการหนึ่ง ในปีนั้นฉินย่าหนานก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ในรอบนั้นเธอไม่อาจแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่จึงทำให้ไม่ติดหนึ่งในสาม ทั้งที่จริงๆ แล้วอีกฝ่ายเป็นคนที่มีความสามารถมากทีเดียว

“ฮิๆ” ฉินย่าหนานก็พอใจในผลงานของตัวเองมาก นี่เป็นผลงานที่เธอตรากตรำคิดมาเป็นอาทิตย์ถึงจะคิดออกมาได้ แต่ก็ยังต้องแก้ไขกลับไปกลับมาอยู่ยี่สิบกว่าครั้ง “มันได้มาจากความคิดที่แกพูดเมื่อคราวที่แล้ว ก็เลยมาบอกแกก่อน”

คนที่มีความสามารถเป็นคนที่มีคุณค่า ควรค่าแก่การนับถือ เซียวเซียวโบกมือ “ไม่มีอะไรหรอก หัวข้อนี้ไดเร็กเตอร์ก็เห็นด้วย ทุกคนก็ต้องเอาไปเป็นแนวทางในการออกแบบ แต่ว่าแกก็อย่าเที่ยวเอาแบบไปให้คนอื่นดูง่ายๆ แบบนี้ล่ะ”

ฉินย่าหนานหัวเราะพร้อมกับปิดสมุด “จะกลัวอะไร เราสองคนน่ะไม่แบ่งเขาแบ่งเรา แบบชุดนี้ให้แกก็ยังได้”

ท่าทางที่เปิดเผยจริงใจของฉินย่าหนานทำให้เซียวเซียวลดความระแวงลง บางทีครั้งก่อนฉินย่าหนานอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แค่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เท่านั้น

ทว่าเรื่องที่ควรจะป้องกันก็ยังต้องป้องกันอยู่ แม้เซียวเซียวจะชื่นชมการออกแบบของฉินย่าหนาน แต่ก็ไม่คิดจะเอาผลงานการออกแบบของตัวเองมาให้อีกฝ่ายดู แล้วฉินย่าหนานก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจ เดินเอาผลงานของตัวเองไปอวดกับจ้าวเหอผิงต่อ

“เธอเจ๋งมาก สวยจนโลกตะลึงไปเลย” จ้าวเหอผิงหยิบสมุดขึ้นมาชื่นชมอยู่พักใหญ่

ฉินย่าหนานหัวเราะกับคำพูดของเขาพลางยกสมุดขึ้นตีไปที่ไหล่เขาทีหนึ่ง

ระหว่างที่กำลังหัวเราะคิกคักกันอยู่ จู่ๆ ผู้อำนวยการหลัวอวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ก่อนจะเคาะประตูกระจกที่ต้องสแกนนิ้วมือ

จ้าวเหอผิงรีบเดินไปเปิดประตู ต้อนรับผู้อำนวยการด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ทำอะไรกันอยู่” หลัวอวี้เดินเข้ามาพลางมองไปรอบๆ ห้อง มองพวกดีไซเนอร์ที่เข้ากันได้ดี แล้วก็มองโต๊ะของฟางเซี่ยงเฉียนที่ดูแปลกแยกและโดดเดี่ยว จึงต้องยอมรับว่าตัวเองตัดสินใจผิดจริงๆ ที่ใช้คนนอกสายงานมาจัดการคนในสายงาน ถึงแม้จะสามารถลดอคติในวิชาชีพไปได้ แต่ข้อเสียมีมากกว่าข้อดีเยอะมาก

หลัวอวี้ดูแลแผนกการเงินและแผนกบุคคล เป็นผู้อำนวยการฝ่ายที่ใกล้ชิดกับแผนกออกแบบที่สุด แต่ก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่เท่าไรนัก เฉพาะเวลาที่มีเรื่องสำคัญเท่านั้นจึงจะมาที่นี่ด้วยตนเอง

ยามนี้ทุกคนจึงพากันลุกขึ้นยืน รอฟังข่าวอะไรก็ตามที่ผู้อำนวยการจะมาแจ้ง

“พวกคุณคงจะสังเกตเห็นแล้วว่าคุณฟางเซี่ยงเฉียนหัวหน้าแผนกของพวกคุณไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว เพราะเธอพบทางที่ดีกว่า หัวหน้าฟางได้ยื่นใบลาออกไปเมื่อหลายวันก่อน…” หลัวอวี้พูดอย่างช้าๆ จากประสบการณ์ในการทำงานมาหลายปีทำให้เขายังเปิดทางเหลือไว้ด้วย ดังนั้นการที่ฟางเซี่ยงเฉียนลาออกไปเขาจึงไม่คิดจะว่าร้ายให้เสียหาย ตอนประกาศข่าวนี้ก็ยังคงรักษาหน้าให้เธออยู่ ถึงแม้วันนี้ฟางเซี่ยงเฉียนจะถูกเขาไล่ออก แต่วันข้างหน้าเธอก็จะรู้สึกขอบคุณเขา

“นี่เรื่องจริงใช่ไหม” เสี่ยวหวังถามอย่างงงๆ

“ทำไม ไม่อยากให้เธอไปเหรอ” หลัวอวี้หันมามองเขาด้วยแววตาหยอกล้อ

“ไม่ๆ รู้สึกเหมือนอยู่ๆ ความสุขก็วิ่งมาหาอย่างไม่ทันตั้งตัว” เสี่ยวหวังวางมือไว้ที่อก รู้สึกว่าความดีใจแทบจะล้นทะลักออกมา

“ฮ่าๆๆๆ” ทุกคนในแผนกออกแบบหัวเราะกันเสียงดัง

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ถึงแม้พี่ฟางจะไปแล้ว พวกคุณจะมาเลือดเย็นไร้ความรู้สึกแบบนี้ได้ยังไง” จ้าวเหอผิงโบกมือพร้อมกับแสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด แล้วตัวเองก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “ฮ่าๆๆๆ ขอโทษที ผมขอหัวเราะสักครู่”

“ฮ่าๆๆๆ” ทุกคนพากันหัวเราะแล้วเดินไปตบหลังจ้าวเหอผิง บรรยากาศภายในห้องออกแบบครึกครื้นขึ้นมา ไม่มีใครสนใจผู้อำนวยการที่ยืนอยู่อย่างอึดอัดใจ

เมื่อแม่มดแก่ของแผนกออกแบบไปแล้ว ทาสที่ถูกปลดปล่อยต่างก็ลุกขึ้นร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนานพร้อมกับตกลงกันว่าจะไปเลี้ยงฉลองในมื้อกลางวันกัน จึงพากันเดินไปที่ร้านปิ้งย่างอย่างคึกคัก ทั้งกินทั้งดื่มกันเต็มที่

เซียวเซียวมองทุกคนที่ดื่มเบียร์อย่างอิจฉา ตัวเองได้แต่จิบน้ำผลไม้คำเล็กๆ เท่านั้น ตั้งแต่เป็นโรคนี้เธอจะแตะต้องแอลกอฮอล์ไม่ได้ตลอดชีวิต

ร้านปิ้งย่างนี้เป็นร้านปิ้งย่างที่บนโต๊ะมีเตาปิ้งไฟฟ้า ที่บาร์ก็เปิดดนตรีร็อกเสียงดังสนั่น บรรยากาศสนุกสนานเช่นนี้ แต่เซียวเซียวไม่อาจทำตัวให้ร่าเริงได้

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งรูปสเก็ตช์แบบเสื้อผ้าของจั่นหลิงจวินไปให้เขาดู แล้วก็ไม่ได้ส่งข้อความอะไรที่นอกเหนือความจำเป็นแม้แต่นิดเดียว

 

จั่นหลิงจวินเอส : คืนนี้มารับบัตรวีไอพีของคุณได้

 

แปลว่าถูกใจชุดที่ออกแบบมากใช่ไหม

เซียวเซียวรู้สึกยินดีขึ้นมาบ้างจึงพิมพ์ตอบรับว่า ‘ได้’ แล้วเมื่อคิดอีกทีก็พิมพ์ส่งไปอีกประโยคหนึ่ง

 

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : เนกไทลายท้องฟ้าของคุณสวยมาก ซื้อมาจากที่ไหนเหรอ

 

แม้ใจอยากจะถามว่าใครซื้อให้ แต่มันจะชัดเจนเกินไป เลยพิมพ์แล้วก็ลบทิ้ง

 

จั่นหลิงจวินเอส : ไม่รู้สิ ลูกพี่ลูกน้องให้น่ะ

 

อะไรนะ!

เซียวเซียวยืดตัวขึ้น จ้องมองคำว่า ‘ลูกพี่ลูกน้อง’ อยู่หนึ่งนาทีเต็มๆ ราวกับจะมองคำคำนี้ให้เห็นอะไรขึ้นมา

ลูกพี่ลูกน้อง ลูกพี่ลูกน้อง ลูกพี่ลูกน้อง

ผ่านไปครู่หนึ่งจั่นหลิงจวินก็ส่งข้อความมาอีก

 

จั่นหลิงจวินเอส : คุณไปถามเหลียงจิ้งเหยาดู พวกคุณสองคนรู้จักกันไม่ใช่เหรอ

เซียวเซียวอ้าปากค้าง ความคลางแคลงใจก่อนหน้านี้ถูกร้อยเรียงเชื่อมต่อกันทั้งหมด คิดถึงตอนไปที่ซังอวี๋ครั้งแรก ท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของจั่นหลิงจวินตอนรู้ว่าคนที่แนะนำเธอมาแซ่เหลียง…

ตอนนี้เธออยากจะขุดหลุมแล้วฝังกลบตัวเองจริงๆ

มิน่าล่ะจั่นหลิงจวินถึงได้ดูแลเธอมากเป็นพิเศษ ต้องเป็นเพราะเพื่อนรักของเธอกำชับไว้แน่ๆ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเหลียงจิ้งเหยาถึงอ้ำๆ อึ้งๆ นั้น…

‘ลูกพี่ลูกน้องฉันหล่อมากนะ เป็นตั้งแต่เดือนห้อง เดือนสาขา เดือนมหาวิทยาลัย เดือนประเทศ โอ้วๆ’

‘ฉันอยากจะแนะนำแกให้ลูกพี่ลูกน้องฉัน แต่เขาไม่ยอม เขาบอกว่าเพื่อนของฉันก็ต้องติงต๊องเหมือนฉัน พูดบ้าๆ!’

‘พี่ชายฉันพิลึกจริงๆ ให้นาฬิกาปลุกโบราณเป็นของขวัญวันเกิดฉัน นี่มัน…อสรพิษชัดๆ’

เมื่อก่อนเหลียงจิ้งเหยาพูดถึงพี่ชายแทบจะทุกวัน ทว่าตั้งแต่ที่เธอรู้จักกับจั่นหลิงจวินก็ไม่เคยพูดถึงอีกเลย คิดว่าคงเป็นเพราะ ‘เพื่อนรักหลงใหลพี่ชายอสรพิษ’ เป็นเรื่องที่ไม่อาจทนดูได้ แล้วยังเรื่องที่เธอเข้าใจผิดว่าจั่นหลิงจวินเป็นผู้ชายโฮสต์คลับอีก จึงไม่กล้าแนะนำล่ะมั้ง

“ฮ่าๆๆๆๆๆ” เซียวเซียวกอดโทรศัพท์มือถือแล้วหัวเราะอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ในตอนนี้เองโทรศัพท์มือถือก็มีเสียงเตือนข้อความเข้าดังตึ๊ง

 

‘หมายเลขบัญชีสี่ตัวท้ายเก้าแปดแปดหกของท่านมีเงินเข้า 38,000 หยวน’

 

โบนัสครึ่งปีเพิ่มเข้ามาแล้ว?!

“เพื่อนๆ ทุกคน” เซียวเซียวตบมือลงบนโต๊ะ เพื่อนๆ ที่กำลังสนุกสนานกันอยู่พากันตกใจ ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อ “มื้อนี้ฉันเป็นเจ้ามือเองนะ!”

“โอ้ คุณแม่ครับ ผมขอดื่มให้คุณแม่หน่อย” จ้าวเหอผิงเรียกเซียวเซียวว่า ‘คุณแม่’ พลางยกแก้วไปทางเซียวเซียว แสดงท่าทางที่บอกว่าใครมีเงินก็นับญาติขึ้นมาทันที

ทุกคนพากันหัวเราะเสียงดังพร้อมกับรุมตีไหล่ตีหลังเขาไปด้วย

 

ตกเย็นเซียวเซียวก็ไปที่ซังอวี๋ เธอนำรูปสามมิติติดตัวไปด้วยเพื่อเตรียมอธิบายชุดให้แต่ละคนฟัง

“ว้าว นี่เราจะมีชุดใหม่ใส่กันแล้วใช่ไหม” หลี่เหมิงดีใจมากถึงขนาดทิ้งคนไข้ที่กำลังยืดเส้นอยู่แล้ววิ่งออกมา

เซียวเซียวยิ้มรับ ขณะที่กำลังคุยกับหลี่เหมิงอยู่นั้นจั่นหลิงจวินกับเลี่ยวอี้ฟานก็เดินออกจากลิฟต์มาพร้อมกัน

“อาการของคุณมู่คนนี้ควรจะให้จิงจิงไปพูดคุยกับเขานะ” ท่าทางของเลี่ยวอี้ฟานเหมือนกำลังถกเถียงกับจั่นหลิงจวินอยู่ เธอสวมกางเกงขาบานสีขาวที่ใส่เป็นประจำเดินออกมา

ตอนที่วัดตัวนั้นเซียวเซียวรู้แล้วว่าทำไมเลี่ยวอี้ฟานถึงชอบใส่กางเกงขาใหญ่ๆ เพราะอีกฝ่ายมีต้นขาเล็กแต่น่องใหญ่ กางเกงขาบานที่ทิ้งตัวช่วยปกปิดรูปขาที่ไม่ค่อยน่าดูของเธอไว้ได้ดี

“เขาไม่มีปัญหาทางด้านจิตใจ ถ้าคุณเป็นเขาก็ไม่มีทางยืนหยัดขึ้นมาได้” จั่นหลิงจวินสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาปกปิดความหงุดหงิดเอาไว้มิด

“หลิงจวิน คนไข้ดื้อรั้น คุณก็ไม่ควรจะดึงดันไปกับเขา” เลี่ยวอี้ฟานยังคงถกเถียงต่อ คำเรียกที่สนิทสนมนั้นทำให้ลดความตึงเครียดลงได้ไม่น้อย

เซียวเซียวได้ยินเลี่ยวอี้ฟานเรียกแบบนั้นหัวใจก็กระตุกขึ้นมาทันที

ในที่สุดคนไข้ที่ยืดเส้นอยู่ก็หลุดออกจากเครื่องทำกายภาพมาได้อย่างทุลักทุเล แล้วเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาเกาะไหล่ของหลี่เหมิง ก่อนจะชะโงกเข้ามาดู “นี่คุณหมอจั่นกับคุณหมอเลี่ยวเป็นแฟนกันใช่ไหม ได้ยินมาว่าพวกเขาเรียนจบจากที่เดียวกัน มหาวิทยาลัยอะไรในอเมริกานะ”

หลี่เหมิงจับคนไข้ไว้แน่น “คุณยืดเส้นเสร็จแล้วเหรอ”

“เดี๋ยวอีกสักพักค่อยทำใหม่ ขอผมดูก่อนสิ” คนไข้ถูกหลี่เหมิงพยายามดึงกลับไป “ได้ยินมาว่าคุณหมอเลี่ยวอยู่ที่ซังอวี๋เพราะคุณหมอจั่น จริงหรือเปล่า โอ๊ย! เจ็บๆๆๆ”

เซียวเซียวมองคนทั้งคู่แล้วค่อยๆ เม้มปากแน่น

จั่นหลิงจวินชะงักฝีเท้า หันมามองหน้าเลี่ยวอี้ฟานอย่างจริงจัง “คุณหมอเลี่ยว ที่นี่เป็นที่ทำงาน คุณจะเรียกผมว่าคุณหมอจั่น รุ่นพี่จั่น หรือผู้อำนวยการจั่นก็ได้ แต่อย่าเรียกผมว่าหลิงจวิน”

เมื่อได้ยินประโยคนี้เลี่ยวอี้ฟานก็หน้าซีดเผือดทันที เธอยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป

จั่นหลิงจวินไม่ได้สนใจเลี่ยวอี้ฟานอีก เขาเดินมาตรงหน้าเซียวเซียวแล้วล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบบัตรสีขาวจนเกือบใสออกมาส่งให้เธอ “นี่บัตรของคุณ”

“เดี๋ยวก่อน” เลี่ยวอี้ฟานก้าวเข้ามาแล้วดึงบัตรในมือจั่นหลิวจวินกลับไป “ตอนแรกบอกไว้ว่าต้องให้ทุกคนพอใจถึงจะได้บัตรวีไอพีนี่”

เซียวเซียวกะพริบตาปริบๆ มองสายตาแหลมคมของเลี่ยวอี้ฟานที่ถูกบดบังด้วยแว่นตานั่น ราวกับเธอแย่งความรักของรุ่นพี่ที่มีต่ออีกฝ่ายไปอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกยินดีขึ้นมา “ไม่มีปัญหา ขอยืมใช้คอมพิวเตอร์หน่อย เดี๋ยวฉันจะโชว์ให้ทุกคนดู”

 

ชั้นสองของซังอวี๋เป็นห้องที่มีโปรเจ็กเตอร์ เมื่อจั่นหลิงจวินพาเซียวเซียวและคนอื่นๆ ขึ้นมาข้างบน เธอก็ตรงเข้าไปเปิดโปรเจ็กเตอร์แล้วแสดงรูปชุดทั้งแปดชุดขึ้นมา คนที่ไม่มีงานต้องทำในตอนนี้ก็พากันเข้ามาดูเพิ่มขึ้น จั่นหลิงจวินนั่งอยู่ที่แถวแรก เลี่ยวอี้ฟานก็นั่งลงข้างๆ เขา มองรูปที่เซียวเซียวแสดงขึ้นมาด้วยสายตาจับผิด ทว่าตอนนี้เป็นภาพรวมทั้งหมดจึงยังมองไม่เห็นข้อดีข้อเสียอะไร

ยามนั้นเองพยาบาลสาวสองคนที่มือกำลังเกาะประตูและชะโงกหน้าเข้ามาก็พูดขึ้น “ได้ยินว่ามีของพวกเราด้วย”

“ใช่ค่ะ ของพวกคุณก็มีค่ะ” เซียวเซียวยิ้มแล้วเชิญพยาบาลทั้งสองคนเข้ามา

สโมสรซังอวี๋นอกจากจะมีนักบำบัดแล้วก็ยังมีพนักงานอีกหลายคน รวมทั้งพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานบริการ พยาบาลฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งดีไซเนอร์อย่างเซียวเซียวก็ออกแบบให้พวกเขาทุกคนอย่างครบถ้วน

เริ่มแรกด้วยการเปิดรูปชุดของนักกายภาพบำบัด สีของเสื้อผ้าจะใช้สีขาวและสีดำเป็นหลัก ทั้งเนื้อผ้าและแบบยังช่วยให้สะดวกในการเคลื่อนไหว หลี่เหมิงคิดว่าชุดของตัวเองต้องเป็นชุดรัดรูป เมื่อมองดูรูปสามมิติจึงถึงกับตะลึง จากที่คิดว่าจะต้องเป็นกางเกงแบบกระชับแต่กลับถูกแทนที่ด้วยกางเกงผ้าฝ้ายแบบกางเกงกังฟู สามารถช่วยปกปิดก้นเล็กที่เป็นข้อด้อยของเขาได้ ให้ความรู้สึกว่าฐานมั่นคง เสื้อกล้ามเว้าหลังก็ถูกปรับให้เข้ากับกางเกง ยังคงแนบติดตัวเหมือนเดิม แต่ด้านข้างมีลายปักลายเมฆแบบโบราณอยู่

“ลายเมฆนี้ไม่ใช่ลายเมฆจริงๆ แต่จะใช้โลโก้ของซังอวี๋แทน” เซียวเซียวนำเอารูปที่เธอเคยวาดไว้เป็นสิบรูปมาทำเป็นภาพเคลื่อนไหวเพื่อให้ทุกคนค่อยๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงว่าต้นซังกับต้นอวี๋ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นลายเส้นที่เรียบง่าย

“สุดยอดไปเลย!” เถียนเถียนพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ร้องออกมาอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่

เซียวเซียวยิ้มให้เถียนเถียน จากนั้นจึงดึงชุดของเถียนเถียนขึ้นมา ชุดพนักงานหน้าเคาน์เตอร์เป็นชุดกระโปรงบานตัวเล็กๆ แบบตะวันตก ใช้สีขาวและสีดำเหมือนการวาดพู่กันหมึกสีดำบนกระดาษขาว ด้านหน้ามีกระดุมจีนแบบหลอก เวลาสวมจะใช้ซิปที่อยู่ด้านหลัง ก่อนหน้านี้เธอเคยคุยเล่นๆ กับเถียนเถียน เลยรู้ว่าเถียนเถียนชอบเสื้อผ้าแบบโลลิตาของฝรั่งจึงตัดสินใจออกแบบสไตล์นี้ ทว่าอย่างไรนี่ก็คือชุดทำงาน จะทำให้ยุ่งยากมากไม่ได้ จึงเปลี่ยนเชือกผูกหลังให้เป็นซิปแทน แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ก็ยังทำให้เถียนเถียนพุ่งเข้ามากอดเธอด้วยความยินดีได้

“ฉันชอบมากเลยค่ะ นี่ฉันจะใส่ชุดนี้ทำงานได้จริงๆ ใช่ไหมคะ” เถียนเถียนพุ่งไปตรงหน้าจั่นหลิงจวินพลางมองเขาด้วยแววตาอ้อนวอน

เซียวเซียวคิ้วกระตุกทีหนึ่ง พนักงานหน้าเคาน์เตอร์จะใส่ชุดอะไรทำไมต้องได้รับความยินยอมจากจั่นหลิงจวินด้วยนะ

“ถ้าทุกแบบผ่านหมด…ก็ได้” จั่นหลิงจวินพูดเรียบๆ

เลี่ยวอี้ฟานมีสีหน้าเปลี่ยนไป เธออดที่จะถลึงตามองจั่นหลิงจวินไม่ได้ เขาพูดแบบนี้ออกมา คนที่ถูกใจเสื้อผ้านี้ก็จะพากันกดดันคนอื่นไปด้วย ถึงเวลานั้นถ้าเธอตั้งใจจะหาข้อเสียขึ้นมาติแล้วบอกว่าไม่ชอบก็จะทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นไม่ชอบใจ

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เถียนเถียนที่สนิทสนมกับทุกคนในซังอวี๋กวาดตามองทุกคนในที่นั้นราวกับแสงไฟสาดส่อง หากใครมีทีท่าว่าไม่เห็นด้วยเธอก็จะเข้าไปหว่านล้อมชักจูง

การออกแบบของเซียวเซียวไม่ได้ทำให้เถียนเถียนต้องออกไปออดอ้อนเว้าวอนมากเท่าไร ชุดแต่ละชุดที่แสดงขึ้นมามีความโดดเด่นเฉพาะตัว ชุดสไตล์แคชวลของซ่งถังและชุดสไตล์อ่อนหวานของโม่จิงจิงนักจิตวิทยาก็ได้รับการยอมรับจากทั้งสองคน ส่วนอีกสองชุดซึ่งเป็นชุดของพนักงานบริการและพยาบาลไม่ได้ออกแบบมาเฉพาะบุคคล ทว่าออกแบบมาให้เป็นแบบเดียวกัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ดูสวยกว่าชุดที่ขายตามร้านธรรมดาทั่วไปมาก

“ว้าว ชุดแบบนี้ฉันสามารถใส่ไปข้างนอกได้เลยนะ” พยาบาลสาวสองคนพูดคุยกันอย่างคึกคัก

เลี่ยวอี้ฟานดูชุดที่ออกแบบให้กับตัวเองซึ่งเป็นชุดทำงานสีขาว กางเกงขาบานสีขาว ช่วงบนแคบช่วงล่างกว้าง ส่วนของต้นขามีการเก็บให้แคบลง ใต้เข่าลงมาก็บานออกเหมือนกับดอกลำโพง ทำให้เธอดูมีขาที่เล็กเรียว แล้วก็ช่วยปกปิดน่องที่อ้วนใหญ่ได้ ถ้าเดินห้างแล้วเจอชุดแบบนี้เธอจะต้องซื้ออย่างไม่ลังเลแน่นอน ถึงเวลานี้แล้วจึงไม่มีอะไรจะพูด ทำได้เพียงพยักหน้าให้ผ่านเท่านั้น

ในที่สุดเซียวเซียวก็ได้บัตรวีไอพีอย่างที่หวังไว้ เธอรีบเติมเงินเป็นบัตรรายสามเดือนทันที ที่จริงเธออยากจะทำเป็นบัตรรายปีเสียด้วยซ้ำ แต่เงินโบนัสครึ่งปีอันน้อยนิดนั่นไม่พอที่จะให้เธอทำอย่างนั้นได้ รอเงินโบนัสจากชุดคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนออกมาก่อนแล้วค่อยมาเติมเงินเป็นบัตรรายปีแล้วกัน

“ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นลูกค้าวีไอพีของซังอวี๋ ห้องรับรองชั้นสามเปิดประตูรอรับคุณแล้วค่ะ ทุกเดือนมีบริการตรวจรักษานอกสถานที่สามครั้ง หมดเดือนต่อเดือน ไม่มีการเก็บสะสมในเดือนถัดไป สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ค่ะ” เถียนเถียนแจ้งหัวข้อสำคัญๆ อีกรอบ

บริการนอกสถานที่ต้องนัดหมายล่วงหน้า สามารถนัดหมายใครก็ได้ในสโมสรนี้

“นักกายภาพบําบัดจะไปนวดให้ที่บ้านก็ได้ นักโภชนาการไปทำกับข้าวให้ที่บ้าน นักจิตวิทยาไปพูดคุยนอกสถานที่ พยาบาลไปให้การพยาบาลนอกสถานที่ พนักงานบริการสามารถไปทำความสะอาดถึงบ้านได้เช่นกัน ขอบเขตการใช้บริการนักบำบัดองค์รวมก็ไม่จำกัดแต่ต้องถูกต้องตามกฎหมายนะคะ” เถียนเถียนยักคิ้วหลิ่วตาให้

“แล้วพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ล่ะ” เซียวเซียวเอ่ยปากแซวออกไป

“พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็ไปจัดการทำบัตรนอกสถานที่ให้ได้ค่ะ” เถียนเถียนตอบด้วยท่าทางจริงจัง

“…” เซียวเซียวทำปากยื่น ใครจะอยากให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ไปเก็บเงินถึงบ้านกันล่ะ

“ใครบอกว่านักโภชนาการมีบริการทำอาหารให้ เถียนเถียน อย่าพูดอะไรมั่วซั่ว เดือนนี้ผมต้องไปทำกับข้าวถึงบ้านมาสามครั้งแล้วนะ แถมผมยังต้องเตรียมเครื่องปรุงกับวัตถุดิบไปด้วย” ซ่งถังพุ่งเข้ามาเพื่อจะหยุดเถียนเถียนที่กำลังโฆษณาหลอกลวง “นักโภชนาการรับผิดชอบชิมอาหาร ควบคุมปริมาณอาหารของลูกค้า พูดง่ายๆ ก็คือคุณสั่งอาหารมาหนึ่งอย่าง กินได้เพียงสองร้อยกรัม ที่เหลือก็เป็นของนักโภชนาการ เข้าใจไหม”

“ก็ในเมื่อพนักงานหน้าเคาน์เตอร์แนะนำแบบนี้ฉันก็เชื่อแบบนี้แหละ ถ้าไม่ไปทำอาหารให้ที่บ้าน ฉันร้องเรียนได้ไหม” เซียวเซียวถามด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์

“ร้องเรียนได้” หลี่เหมิงเดินเข้ามาแล้วยกมือขึ้นยีหัวซ่งถังเบาๆ “คืนนี้ไปทำกับข้าวให้ด้วยนะ ฉันซื้อปลาไว้แล้ว”

“ไสหัวไปซะ” ซ่งถังกับหลี่เหมิงหยอกล้อกันเสียงดัง

เมื่อได้เป็นลูกค้าวีไอพีแล้วเซียวเซียวก็รู้สึกมีความสุขมากขึ้นทันที เธอตั้งใจว่าจะทำงานออกมาให้ดีที่สุด จึงคิดจะเริ่มติดต่อโรงงานผลิตยูนิฟอร์มให้กับซังอวี๋เลย “บอสคุณคือใคร ฉันขอคุยกับเขาหน่อยสิ”

เถียนเถียนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองจั่นหลิงจวินที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียวเซียว

“คุณคิดจะไปที่ต้าเหลียงช่วงซื่อ?” จั่นหลิงจวินเก็บธัมบ์ไดรฟ์ของเซียวเซียวที่เธอลืมไว้ในห้องโถงมาคืนให้

“ใช่” เซียวเซียวรับธัมบ์ไดรฟ์มาแล้วยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง “เกือบลืมไป นั่นมันบริษัทของน้าเขยคุณนี่ คุณไปเองน่าจะได้ราคาถูกกว่าฉันอีก”

บริษัทของเหลียงจิ้งเหยาก็เป็นผู้ผลิตหลักให้กับบริษัทแอลวาย เพราะเธอสนิทสนมกับเหลียงจิ้งเหยาจึงมักจะให้บริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อทำงานส่วนตัวให้บ้าง ก่อนจะรับปากออกแบบยูนิฟอร์มให้ที่นี่เธอก็คิดไว้อยู่แล้ว

“ถึงตอนนั้นคุณไปกับผมแล้วกัน”

จั่นหลิงจวินพยักหน้าตอบรับ ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ยอมให้เซียวเซียวผลักภาระให้เขารับผิดชอบคนเดียว

เมื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปแล้ว เซียวเซียวก็ลืมเรื่องที่จะถามเกี่ยวกับบอสใหญ่ของซังอวี๋ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นไปทำงานถึงนึกขึ้นได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกๆ

ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะคิดอะไรออก เสียงสแกนนิ้วที่ประตูก็ดังขึ้น

ในที่สุดฟางเซี่ยงเฉียนก็ปรากฏตัวหลังจากหายหน้าไปหลายวัน เธอก้มหน้าเก็บข้าวของส่วนตัวที่โต๊ะทำงานโดยไม่ปริปากพูดอะไร

ทุกคนในห้องพากันสบตากัน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเดินไปพูดกับเธอ

เมื่อฟางเซี่ยงเฉียนเก็บของเรียบร้อยก็หอบกล่องกระดาษขนาดไม่ใหญ่นักเดินมาที่หน้าประตูแล้วกวาดตามองรอบๆ “ฉันกำลังจะไปแล้ว ยังไงก็เคยทำงานด้วยกันมา พวกคุณไม่คิดจะเดินไปส่งฉันเลยรึไง”

ทุกคนพากันเงียบกริบ บรรยากาศในห้องออกแบบค่อยๆ เปลี่ยนไปจนน่าอึดอัด

เซียวเซียวเม้มปากแล้วลุกขึ้นยืน “ฉันไปส่งคุณเอง”

ทุกคนตกใจอย่างมาก ต่างหันไปมองหน้ากัน เพราะทุกคนล้วนรู้อยู่ว่าในแผนกออกแบบนี้คนที่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของฟางเซี่ยงเฉียนก็คือเซียวเซียว

จ้าวเหอผิงหันไปสบตากับเสี่ยวหวังพร้อมคุยกันทางสายตา คิดว่าเซียวเซียวคงคิดจะเอาคืนก่อนอีกฝ่ายจะไปแน่ๆ พวกเขาจึงไม่คิดจะไปดูอะไร

ฟางเซี่ยงเฉียนไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับเซียวเซียว

“คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายคนที่มาส่งฉันจะเป็นเธอ” ฟางเซี่ยงเฉียนหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบริษัทพร้อมกับมองลอดแว่นมาที่เซียวเซียว

“ฉันมีอะไรอยากจะพูดด้วย” เซียวเซียวก็ยืนนิ่งเช่นกัน เธอจ้องใบหน้าของฟางเซี่ยงเฉียน “ฉันหวังว่าคุณจะขอโทษฉันเรื่องที่ฉันป่วยแต่คุณกลั่นแกล้งไม่ให้ฉันไปหาหมอ เพราะคุณเป็นต้นเหตุทำให้ฉันเกิดความเครียดและความเหนื่อยล้า เป็นสาเหตุให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย ต้องนอนโรงพยาบาล เสียโฉม ถ้าคุณขอโทษฉันจะถือว่าแล้วกันไป”

ฟางเซี่ยงเฉียนมองหน้าเธอพร้อมกับหัวเราะออกมา “ฉันไม่ขอโทษ เธอก็โตแล้ว ถ้าหากฉันตั้งเงื่อนไขที่มากเกินไป ทำไมถึงไม่ตอบโต้ ถ้าไม่ตอบโต้ก็สมควรถูกรังแก นี่มันเป็นกฎเกณฑ์การอยู่รอดในสังคม”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นความโกรธของเซียวเซียวก็พุ่งขึ้นสูงปรี๊ด ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่าฟางเซี่ยงเฉียนเป็นคนที่ยึดกฎเกณฑ์ตายตัวถึงได้เข้มงวดเช่นนี้ แต่ไม่คิดว่ายังมีการ ‘กลั่นแกล้งรังแก’ อยู่ในนั้นด้วยจริงๆ

“แล้วยังไงล่ะตามกฎเกณฑ์การอยู่รอดของคุณ ตอนนี้ไม่ใช่ถูกไล่ออกเหรอ”

“เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย” ฟางเซี่ยงเฉียนรู้สึกเหมือนจะระเบิดอยู่แล้ว คำว่า ‘ถูกไล่ออก’ เมื่อพูดออกมาก็เหมือนกับกระชากผ้าที่ปกปิดความอับอายของเธอออก ความอับอายในห้องผู้อำนวยการก่อนหน้านี้ที่เคยถูกกดเอาไว้ระเบิดออกมาทันที เธอโยนกล่องกระดาษลงไปที่พื้นพร้อมตั้งท่าจะเอาเรื่อง

“ก็แค่อยากเตือนคุณไว้ว่าต้องรู้จักเคารพชีวิตมนุษย์ด้วยกันสักหน่อย คุณดูถูกคนอื่น สักวันกรรมก็จะตามสนอง” เซียวเซียวพูดอย่างไม่เกรงกลัวและยังคงพูดเรื่อยๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ช่วงนี้มีเรื่องกับคนอื่นจนช่ำชองแล้ว ทำให้เธอรู้ว่าร้องตะโกนเสียงดังก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่การทำให้อีกฝ่ายสติแตกโดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไรถึงจะเรียกว่า ‘ยอดฝีมือ’

อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากจั่นหลิงจวิน เซียวเซียวจึงรู้สึกรังเกียจคนที่ไม่ให้ความเคารพชีวิตผู้อื่น ทุกคนต่างก็เป็นลูกที่มีพ่อมีแม่กันทั้งนั้น ต่อให้งานสำคัญขนาดไหนก็ไม่อาจสำคัญเท่ากับชีวิตได้

ฟางเซี่ยงเฉียนได้แต่ยืนโมโหปากสั่นเหมือนยายแก่ที่ไม่มีฟัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงตั้งสติได้ “งั้นฉันก็เตือนเธออย่างจริงใจ ในแผนกมีคนของผู้อำนวยการอยู่ อย่าคิดว่าเรื่องที่เธอทำผู้อำนวยการจะไม่รู้ไม่เห็น”

พูดจบฟางเซี่ยงเฉียนก็ก้มลงยกกล่องกระดาษขึ้นมาแล้วเดินจากไป

เซียวเซียวยังคิดไม่ทัน จึงไม่ค่อยเข้าใจที่ฟางเซี่ยงเฉียนพูดนัก

วี้…หว่อ… วี้…หว่อ…

ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ตรงผ่านเข้ามาในเขตนวัตกรรมอันเงียบสงบ มีคนมากมายมุงดูเหตุการณ์บางอย่างที่หน้าบริษัทซอฟต์แวร์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าหน้าที่ยกเปลพยาบาลขึ้นมา มีเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่แต่มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

ฟางเซี่ยงเฉียนก้มหน้าเดินไป รู้สึกว่าทางด้านหลังกระจกสีเขียวของบริษัทแอลวายต้องมีสายตามากมายที่จ้องมองพร้อมกับหัวเราะเยาะเย้ยเธอ ตอนนี้จึงไม่มีกะจิตกะใจจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“โธ่ อายุยังน้อยอยู่เลย คุณว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น” ลุงคนขายขนมพระจันทร์ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ

“ปกติที่เขตนวัตกรรมนี้มีคนโดดตึกตายและทำงานหนักจนตายทุกปี เด็กใหม่ที่เพิ่งมาทำงานไม่กล้าอู้งาน หัวหน้างานก็กดดันหนักมาก เลยมักจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ” ป้าที่ขายเครื่องดื่มพูดอย่างปลงๆ

“หัวหน้าแบบนี้สักวันจะต้องโดนกรรมตามสนอง” ลุงคนขายขนมพระจันทร์ก่นด่า คิดถึงเด็กสาวที่มาซื้อขนมของเขาเป็นประจำ เมื่อปีที่แล้วยังสวยอย่างกับนางแบบ ปีนี้หน้าบวมเป็นซาลาเปา ร่างกายต้องเหนื่อยจนฟ้องออกมาแน่ๆ ช่างน่าสงสารจริงๆ

ฟางเซี่ยงเฉียนหยุดเดิน ค่อยๆ หันหลังไปมองคนที่นอนอยู่บนเปล หนวดเครารกเต็มหน้า ขอบตาดำคล้ำ ดูก็พอจะรู้ว่าเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าๆ แต่กลับดูเหมือนหมดอาลัยตายอยากราวกับเป็นคนแก่

‘หัวหน้าแบบนี้สักวันจะต้องโดนกรรมตามสนอง’

‘คุณดูถูกคนอื่น สักวันกรรมก็จะตามสนอง’

ฟางเซี่ยงเฉียนเองก็ได้ยินประโยคเหล่านั้น เธอมองดูรถพยาบาลที่กำลังจากไป อยู่ๆ ก็เกิดความคิดสับสนขึ้นมา เธอกอดกล่องกระดาษไว้แน่นแล้วรีบเดินออกจากเขตนวัตกรรมไปอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มคนนั้นเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ของบริษัทนี่หลิวซอฟต์แวร์ แม้จะส่งไปถึงโรงพยาบาลแต่ก็ไม่อาจช่วยชีวิตไว้ได้ อายุเพียงยี่สิบแปดปีเท่านั้นกลับต้องจบชีวิตลงแล้ว

ข่าวนี้ก็เหมือนกับสึนามิที่ถล่มเขตนวัตกรรม ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนวงการได้ไม่น้อย นี่หลิวซอฟต์แวร์เป็นบริษัทซอฟต์แวร์เก่าแก่บริษัทหนึ่งที่มีส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในประเทศ ข่าวพนักงานโดดตึกตายถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ทำให้บริษัทชื่อดังอย่างนี่หลิวซอฟต์แวร์กลายเป็นข่าวดังในชั่วพริบตา

“ได้ยินว่าเขาคนนั้นทำโอทีติดต่อกันสามวันจนไม่รู้ว่าตอนไหนเป็นกลางวันกลางคืน ทำงานไปอยู่ๆ ก็ฟุบหลับไป จนกระทั่งเพื่อนมาพบเข้าก็หมดลมหายใจไปแล้ว” จ้าวเหอผิงหาข่าวได้ก็มาเล่าให้ทุกคนฟังพลางทอดถอนใจ “อายุยังน้อย น่าเสียดายจริงๆ”

“พูดอย่างกับตัวเองอายุเจ็ดแปดสิบ” ฉินย่าหนานผลักเขาไปทีหนึ่ง

“ฉันแค่เห็นใจคนประเภทเดียวกัน” จ้าวเหอผิงทำหน้าตาเป็นทุกข์เป็นร้อน เขาเตะไปที่เท้าของเสี่ยวหวัง “รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงชื่อเหอผิง”

“แม่นายตั้งให้น่ะสิ” เสี่ยวหวังตอบอย่างรู้ทัน

“หุบปาก” จ้าวเหอผิงตบปากเสี่ยวหวังเบาๆ ก่อนจะถอนใจน้อยๆ เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้วก็ยืนขึ้น ยกมือสองข้างขึ้นกอดอก ทำท่าประหนึ่งกวีที่กำลังเอื้อนเอ่ยบทกลอน “ก็เพราะฉันหวังว่าโลกจะสงบสุข*

ทุกคนร้องโห่ขึ้นทันที

เซียวเซียวหัวเราะพลางส่ายศีรษะ หันกลับไปมองหยางเซี่ยวที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำแพตเทิร์น เธอรอจนเขาวาดเส้นเสร็จจึงเคาะไปที่โต๊ะเขาเบาๆ “เด็กน้อย พักสักหน่อยเถอะ การทำงานกับการพักผ่อนต้องให้สมดุลกัน”

ทุกคนกำลังล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน มีเพียงหยางเซี่ยวที่ตั้งใจทำงาน ทำให้ดูโดดเดี่ยวและแปลกแยก

“ฉันไม่เหนื่อย” หยางเซี่ยวยิ้มอย่างเก้อเขินพลางมองเพื่อนร่วมงานที่กำลังหยอกล้อกัน “ที่สำคัญฉันพูดอะไรก็ไม่เข้าท่า” เขารู้ว่าเซียวเซียวหวังดีอยากจะให้เขาเข้ากับทุกคนได้ แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป

“ไม่ได้บอกให้นายไปสนุกกับพวกเขา ให้นายดื่มน้ำชาแล้วพักซะบ้าง” เซียวเซียวยื่นชาให้เขากล่องหนึ่ง หยางเซี่ยวทำปากยื่น แต่ละคนนิสัยไม่เหมือนกัน คนที่เก็บตัวก็มีข้อดีของเขา จะไปบังคับให้เขาเป็นคนเปิดเผยและเข้ากับคนหมู่มากให้ได้ก็เหมือนกับเป็นการทรมานเขาอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เก็บเนื้อเก็บตัวก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี เป็นคนตรงไปตรงมาคบหาด้วยง่าย เธอรู้สึกว่าคนอย่างหยางเซี่ยวนี่สิดี

หยางเซี่ยวรับชามาพลางมองหน้าเซียวเซียวอย่างจริงจัง “ถ้าเธอเป็นหัวหน้าแผนกก็คงดีสินะ”

“อย่าพูดแบบนั้น” เซียวเซียวตกใจรีบยกนิ้วขึ้นมาทำท่าทางให้อีกฝ่ายหยุดพูด

อาจเป็นเพราะผลกระทบจากบริษัทนี่หลิวซอฟต์แวร์ บริษัทแอลวายจึงประกาศให้มีการตรวจสุขภาพพนักงานในระยะเวลาอันใกล้ และพร้อมกันนี้ก็ประกาศไปที่แผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปเรื่องการยื่นขอเลื่อนตำแหน่ง

ฟางเซี่ยงเฉียนจากไปแล้ว ห้องออกแบบเสื้อผ้าสตรีก็ต้องมีหัวหน้าคนใหม่ และอาจเพราะได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ผู้อำนวยการหลัวอวี้จึงตัดสินใจเลือกดีไซเนอร์จากแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปขึ้นมาเป็นหัวหน้า โดยให้ทุกคนมีสิทธิ์ชิงตำแหน่งได้เท่าเทียมกัน

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป บรรยากาศในแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็เปลี่ยนไป เซียวเซียวรู้ตัวดีว่ามีความสามารถแค่ไหนจึงไม่คิดจะไปแย่งชิงตำแหน่ง แต่คนอื่นไม่ได้คิดเหมือนกับเธอ แต่ละคนหมายมั่นปั้นมือ ซึ่งเซียวเซียวเองก็ไม่ต้องการจะเป็นเป้าโจมตีของใคร

หยางเซี่ยวหยิบชอล์กขึ้นมาแล้ววาดรูปต่อไป เขาอยากจะให้เซียวเซียวขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกจริงๆ เซียวเซียวเป็นคนจิตใจดีมีความสามารถ เก่งกว่าฉินย่าหนานที่อยู่ไม่เป็นสุขมากมายหลายเท่า

ที่บอกว่าฉินย่าหนานอยู่ไม่เป็นสุขนั้นก็มีสาเหตุ ตั้งแต่ได้ข่าวมาฉินย่าหนานก็เหมือนมีหญ้าขึ้นที่ก้น นั่งอยู่กับที่ไม่ได้ รีบร้อนเขียนหนังสือเสนอชื่อตัวเองเข้าชิงตำแหน่ง แล้วยังแอบเลี้ยงข้าวคนที่ไม่เข้าร่วมการชิงตำแหน่ง และหยางเซี่ยวก็เป็นหนึ่งในนั้น

เมื่อได้ยินว่าเซียวเซียวไม่ได้ยื่นหนังสือเข้าชิงตำแหน่ง ตอนกลางวันฉินย่าหนานก็วิ่งมาหาเธอเพื่อเลี้ยงข้าวด้วย

“แกบ้าไปแล้วรึไง ทำไมถึงไม่เข้าชิงตำแหน่ง มีแค่เราสองคนที่มีคุณสมบัติพอ” แม้ฉินย่าหนานจะพูดเช่นนี้ แต่กิริยาท่าทางกลับแสดงออกถึงความยินดีเป็นอย่างมาก

“อะไรที่เรียกว่ามีคุณสมบัติพอ ฉันยังเป็นแค่ดีหนึ่งเองนะ ไม่มีทางข้ามขั้นไปเป็นหัวหน้าแผนกได้” เซียวเซียวส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ฉันว่าน่าจะเป็นดีสองหรือเอสหนึ่งจากแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูงมากกว่า”

ดีไซเนอร์ของบริษัทแอลวายแบ่งออกเป็นสองประเภท ดีหมายถึงดีไซเนอร์ทั่วไป เอสหมายถึงซีเนียร์ดีไซเนอร์ และแต่ละประเภทก็ยังแบ่งออกเป็นสองระดับ ระดับยิ่งสูงเงินเดือนกับสวัสดิการก็สูงตามด้วย

“ไม่หรอก ถ้าฉันอยู่ในแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูง ฉันก็ไม่ยอมลงมาชั้นสามนี่หรอก” ฉินย่าหนานพูดอย่างตรงไปตรงมา

ต้องเข้าใจว่าดีไซเนอร์ที่ต้องพ่วงตำแหน่งบริหารจัดการไปด้วยจะได้เงินเพิ่มในส่วนการบริหารจัดการอีกไม่กี่พันหยวน แต่โบนัสจากผลงานของแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูงไม่ได้มีเพียงแค่นี้ แล้วดีไซเนอร์ที่อยู่ในระดับเอสก็สามารถทำแบรนด์ของตัวเองได้ ไม่มีใครจะมาสนใจงานบริหารจัดการ ดังนั้นแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูงคงไม่มีใครยอมลงมาที่แผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปธรรมดานี้แน่

ไม่รู้ว่าฉินย่าหนานเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้คิดว่าตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน เมื่อเซียวเซียวเห็นท่าทางของฉินย่าหนานในตอนนี้ก็พลันขมวดคิ้ว แล้วคิดถึงคำพูดของฟางเซี่ยงเฉียนก่อนที่จะจากไป

‘…ในแผนกมีคนของผู้อำนวยการอยู่…’

ข่าวที่มาจากฉินย่าหนานจะแม่นยำเป็นพิเศษ หรืออีกฝ่ายจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้อำนวยการ นอกเสียจากว่าผู้อำนวยการรับปากจะมอบตำแหน่งนี้ให้กับเธอ เธอถึงได้มั่นใจขนาดนี้

เซียวเซียวเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกับฉินย่าหนาน เข้าบริษัทนี้มาพร้อมกัน โดยภาพรวมแล้วผลงานของเซียวเซียวดีกว่าฉินย่าหนานเล็กน้อย ถ้าครั้งนี้ให้ฉินย่าหนานขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก มันจะดูน่ากังขาไปสักหน่อย

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ผู้อำนวยการหลัวอวี้ลงมาประกาศผลด้วยตัวเอง

ฉินย่าหนานที่นั่งอยู่ข้างๆ เซียวเซียวจับมือเธอแน่นด้วยความตื่นเต้น “ถ้าฉันได้รับการคัดเลือก วันนี้จะเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ซีฟู้ดแกนะ”

เซียวเซียวรู้สึกว่าฉินย่าหนานเชื่อมั่นขนาดนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ใจอยากจะปรามแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรจึงได้แต่เงียบ

“จากการพิจารณาในทุกๆ ด้านแล้ว ทางบริษัทได้เลือกหัวหน้าแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปคนใหม่ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็คือ…” หลัวอวี้ที่ถือหนังสือแต่งตั้งพูดถึงตรงนี้ก็ตั้งใจหยุดแล้วมองดูอาการของทุกคนในห้อง ก่อนจะกล่าวต่อ “จ้าวเหอผิง”

“หา?” ฉินย่าหนานร้องออกมาคำหนึ่งแล้วรีบหยุดทันที อาการเหมือนกับเป็ดที่เตรียมกระพือปีกอย่างดีใจที่กำลังจะได้ออกจากเล้า แต่ยังไม่ทันที่จะได้โห่ร้องด้วยความยินดีก็ถูกโยนลงไปในน้ำร้อนเพื่อถอนขน หน้าตาก็พลันบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าดูขึ้นมา

คนอื่นๆ รีบปรบมือแสดงความยินดี

จ้าวเหอผิงยังคงงุนงงอยู่ เขาลุกขึ้นไปรับหนังสือแต่งตั้งพลางพูด “จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นนะ แต่ในเมื่อผู้อำนวยการพูดแบบนี้แล้ว ผมจะรับทำไปก่อนก็แล้วกัน”

คนอื่นๆ ต่างพากันโห่เขาเป็นเชิงล้อเล่น ก่อนจะเดินเข้ามากอดไม่ก็ตบไหล่แสดงความยินดี

แม้จ้าวเหอผิงจะดู…เละเทะและปากเสีย แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นมิตรกับทุกคน ดังนั้นสำหรับทุกคนแล้ว การที่เขามาเป็นหัวหน้าแม้จะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย อย่างน้อยวันข้างหน้าก็ไม่ลำบากนัก

เมื่อถึงตอนนี้หลายคนจึงคิดขึ้นได้ว่าจริงๆ แล้วคนไม่เอาถ่านอย่างจ้าวเหอผิงก็เป็นดีไซเนอร์ระดับดีสอง ระดับสูงกว่าพวกเขาทั้งหมด

ฉินย่าหนานกลบเกลื่อนสีหน้าไม่พอใจอย่างรวดเร็ว เธอเดินเข้าไปชกจ้าวเหอผิงเบาๆ ที่ต้นแขน เรียกร้องให้เขาเลี้ยงข้าวแล้วทำท่าราวกับดีใจที่เพื่อนร่วมงานอย่างจ้าวเหอผิงได้รับการคัดเลือก

เซียวเซียวก้มหน้ามองดูมือที่ถูกบีบจนแดงแล้วอดคิดทบทวนอะไรบางอย่างไม่ได้

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 25

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: