X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 13

ทดลองอ่าน – บทที่ 8

 ตำบลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านเค่าซานที่สุดชื่อว่าตำบลจาง แรกเริ่มเดิมทีมันมิได้มีชื่อนี้ เพียงเพราะเมื่อสิบปีก่อน จวี่เหรินแซ่จางผู้หนึ่งโยกย้ายครอบครัวมา อีกทั้งสละเงินส่วนตนซ่อมสะพานสายเดียวของที่นี่ และตั้งชื่อสะพานนั้นว่า ‘สะพานสกุลจาง’ ส่วนจวี่เหรินผู้นั้นก็ได้เป็นนายตำบลในภายหลังเพราะเหตุนี้ ฉะนั้นตำบลแห่งนี้ย่อมถูกเรียกขานว่า ‘ตำบลจาง’ เป็นธรรมดา

ตอนนี้นายตำบลจางมีวัยล่วงเลยห้าสิบแล้ว ภรรยาเอกของเขาล้มป่วยจากไปเมื่อปีก่อน ในเรือนเหลืออนุอยู่แค่สองคน กลับไม่มีบุตรธิดาสักคนอยู่จนแล้วจนรอด จวบจนพักก่อนมีนักพรตตกอับเร่ร่อนมาถึงที่สกุลจางกล่าวทายทักอย่างแม่นยำว่าจางจี้เสียนหรือนายท่านจางผู้นี้ถูกลิขิตให้ไร้ทายาท ดังนั้นให้ตัดใจเลิกคิดเสีย

จางจี้เสียนเป็นผู้ที่เชื่อในเรื่องโชคชะตาอยู่แล้ว เห็นท่วงท่าของนักพรตท่านนี้แฝง ‘รัศมีสูงส่งดุจเซียน’ ทั้งได้ยินถ้อยคำอันแฝงนัยลี้ลับนี้ก็เชื่อถือไปแล้วสิบส่วน เขาจัดแจงเลี้ยงดูปูเสื่อนักพรตจนอิ่มหนำสำราญ หมายใจว่าจะขอวิธีแก้ดวงชะตา

นักพรตผู้นั้นกินๆ ดื่มๆ อยู่ในเรือนสกุลจางนานครึ่งเดือนเศษ ถึงชี้ ‘ทางสว่าง’ สายหนึ่งให้ว่าจางจี้เสียนจำเป็นต้องตบแต่งภรรยาเป็นหญิงม่ายที่มีชะตาแปดอักษร ธาตุไฟจึงจะได้สมปรารถนา

นายตำบลจางเชื่อสนิทใจ ว่าจ้างแม่สื่อแซ่หวังในตำบลทันที ตกปากให้เงินตอบแทนก้อนโตหากนางสืบหาหญิงม่ายได้ตรงตามคุณสมบัตินี้

ว่ากันว่าแม่สื่อแซ่หวังผู้นี้พอจะมีสัมพันธ์โยงใยกับทางหมู่บ้านเค่าซาน หลานสาวในตระกูลนางคนหนึ่งออกเรือนมาอยู่ที่นี่ อีกทั้งทุกเทศกาลวันปีใหม่สองครอบครัวยังไปมาหาสู่กันเสมอๆ ทำให้นางได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาในหมู่บ้านไม่เคยขาด หนึ่งในนั้นที่พูดถึงบ่อยที่สุดคือหญิงม่ายหลูซื่อที่ถูกตระกูลสามีขับไล่ไสส่งออกมาพร้อมกับบุตรชายแล้วยังคลอดบุตรสาวโง่งมคนหนึ่งในภายหลัง

เมื่อได้รับการไหว้วานจากขุนนางแซ่จางให้ตามหาหญิงม่ายที่มีชะตาแปดอักษรสมพงศ์กัน นางนึกถึงหลูซื่อที่หมู่บ้านเค่าซานเป็นคนแรก หญิงม่ายที่มีคุณสมบัติเหมาะเจาะในตำบลจางเองก็มีสองคน เพียงแต่ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นได้ยินได้ฟังข่าวเล่าลือในเรือนนายตำบลจางมามาก แล้วจะมีผู้ใดเล่าเต็มใจแต่งงานกับเขา

อีกประการหนึ่งได้ยินว่าหลูซื่อผู้นั้นดูแลเหย้าเรือนได้ ยังให้กำเนิดบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน อีกทั้งอบรมเลี้ยงดูได้เป็นอย่างดี ถ้าชะตาแปดอักษรยังตรงกันจริงๆ ค่อยบอกต่อขุนนางแซ่จาง จะต้องได้รับเงินตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยแน่

ด้วยเหตุนี้ในวันที่สองหลังแม่สื่อหวังได้รับงานมา นางยืมลาตัวหนึ่งขี่ไปที่หมู่บ้านเค่าซาน เมื่อถึงที่หมายนางมิได้ตรงไปยังเรือนสกุลหลู กลับไปหารือกับหวังซื่อ หลานสาวของตนเองก่อน

ตอนแรกหวังซื่อดีใจมากที่ได้พบอาหญิงของตน แต่พอฟังนางกล่าวถึงจุดประสงค์ที่มาจบก็บังเกิดความริษยาในใจ สำหรับหญิงชนบทแล้ว เป็นความโชคดีมหาศาลที่ได้ตบแต่งเป็นภรรยาคนที่สองของท่านนายตำบลที่มาจากตำแหน่งจวี่เหรินคนหนึ่ง ทว่าเรื่องดีๆ อย่างที่ถือโคมไฟส่องก็หาไม่พบนี้กำลังจะตกเป็นของหลูซื่อนี้ทำให้นางไม่พึงพอใจยิ่ง อาศัยอะไรที่หญิงม่ายลูกติดถูกตระกูลสามีขับไล่ไสส่งคนหนึ่งอย่างนั้นถึงมีวาสนาได้คู่ครองชั้นนี้

แม่สื่อหวังจับสีหน้าผิดปกติของหลานสาวได้ก็ถามขึ้น “มีข้อติดขัดอะไรหรือ ข้าเห็นว่านี่เป็นการจับคู่แต่งงานที่ดีมาก เหตุไฉนนางจะไม่ตอบตกลง”

หวังซื่อไม่เห็นอาหญิงของตนเป็นคนนอก บอกเล่าความในใจออกมาประเดี๋ยวนั้น กลับเรียกเสียงหัวเราะแฝงรอยเยาะหยันจากอีกฝ่ายระลอกหนึ่ง

“ข้านึกว่าเป็นเรื่องอะไร ที่แท้เจ้าทนเห็นคนอื่นเสพสุขไม่ได้ แต่เจ้าไม่รู้หรอกว่าภรรยาคนที่สองในตระกูลเศรษฐีน่ะเป็นกันได้ง่ายๆ หรือ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงนิสัยใจคอของนายตำบลจาง ลำพังแค่อนุสองคนในเรือนเขาก็เป็นพวกที่ยากตอแยจนลือกระฉ่อนไปทั่ว ตอนที่ภรรยาเอกยังมีชีวิตอยู่ วันๆ ถูกสตรีเจ้ามารยาสองคนนั้นยั่วโทสะจนยาห่างมือไม่ได้ ด้านนายตำบลก็ลุ่มหลงตามใจพวกอนุจนทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อเรื่องนี้ คนในตำบลไม่น้อยล้วนรู้ว่าภรรยาเอกของจางจี้เสียนนั่นความจริงถูกบีบให้ตายเพราะอนุสองคนนี้ ถ้าแต่งเข้าไปจริงๆ มีทายาทสืบสกุลไม่ได้ยังเป็นเรื่องเล็ก ไม่แน่อยู่มาวันหนึ่งอาจถูกอนุที่ตระกูลใหญ่โตชุบเลี้ยงไว้พวกนั้นปองร้ายลับหลัง ดีไม่ดีกระทั่งชีวิตยังต้องทิ้งไว้ที่นั่นสักวันก็เป็นได้”

หวังซื่อฟังนางกล่าวจบแล้วขมวดคิ้ว นางหมางใจอยู่กับหลูซื่อแต่แรก ย่อมทนดูอีกฝ่ายได้ดีไม่ได้เป็นธรรมดา แต่อาศัยเรื่องนี้ไปทำลายชีวิตคน นางยังคงลังเลใจอยู่บ้าง

แม่สื่อหวังพูดถึงตรงนี้ก็หยุดเว้นจังหวะ ทอดสายตามองหวังซื่ออย่างพินิจปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำไมรึ หักใจทำไม่ได้?”

เห็นหวังซื่อส่ายหน้าไม่พูดตอบ นางหยั่งคะเนความคิดของหลานสาวได้เจ็ดส่วนจึงข้ามเรื่องนี้ไป กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวร่อ “ออกนอกเรื่องไปเสียไกล เรื่องนี้จะเป็นผลสำเร็จได้ยังต้องรู้ชะตาแปดอักษรของนางด้วย ไม่รู้ว่าดวงของหลูเอ้อร์เหนียงนั่นจะสมพงศ์กันหรือเปล่า มิสู้เช่นนี้ดีกว่า ทางผู้ใหญ่บ้านของพวกเจ้าน่าจะมีบันทึกประวัติความเป็นมาของนาง เจ้าลองไปถามดู กลับมาแล้วพวกเราค่อยวางแผนกันอีกที”

“ก็ดีเจ้าค่ะ อาหญิงรอข้าอยู่ที่เรือนเถอะ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมา” พูดถึงขั้นนี้แล้ว ถึงหวังซื่อจะสองจิตสองใจแต่จะบอกปัดก็ไม่ถนัดปาก นางได้แต่รับคำอีกฝ่าย ถึงอย่างไรก่อนที่จะตรวจชะตาแปดอักษรของหลูซื่อ จะกล่าวอะไรก็เป็นการเร็วไป

ยามหวังซื่อมาถึงเรือนของผู้ใหญ่บ้าน ถึงรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านจ้าวไม่อยู่เพราะพาหลูจื้อไปที่อำเภอชิงหยาง นางยกข้ออ้างว่าจะตอบแทนบุญคุณหลูซื่อที่ถ่ายทอดวิชาให้บุตรสาวตนเอง และไต่ถามวันตกฟากของอีกฝ่าย ลูกสะใภ้ของผู้ใหญ่บ้านเป็นคนไม่ใคร่รู้ว่าเมื่อไรควรปิดปากเงียบ หลังจากพูดคุยไม่กี่คำ นางก็ไปค้นสมุดทะเบียนราษฎร์ที่เก็บอยู่ในเรือนมาให้หวังซื่อพลิกเปิดดู

เมื่อหวังซื่อกลับถึงเรือน ด้วยอาหญิงของนางเป็นแม่สื่อจับคู่ เพียงฟังวันตกฟากแล้วเอานิ้วมือจุ่มน้ำชาขีดๆ เขียนๆ บนโต๊ะสองที ใบหน้าแม่สื่อหวังก็แฝงรอยยินดีสามส่วน

“หลูซื่อผู้นี้มีธาตุไฟร้อนแรงคนหนึ่ง” แม่สื่อหวังเอ่ยอย่างชอบใจ

ข้างฝ่ายหวังซื่อได้ยินแล้วบรรยายความรู้สึกในใจไม่ถูก จะว่าไปแล้วเรื่องที่นางกับหลูซื่อผูกความแค้นกันก็ผ่านมาหลายปีดีดักแล้ว อีกฝ่ายยังเอื้ออารีต่อบุตรสาวตนเองอยู่มาก แต่ครั้นเห็นเวลานี้สกุลหลูมีความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมั่งคั่งเฟื่องฟูกว่าพวกนางซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดั้งเดิม บันดาลให้นางบังเกิดความอิจฉาตาร้อนขึ้นมา ไหนเลยจะละวางความอาฆาตแค้นที่ทับถมในใจลงได้โดยง่าย

แม่สื่อหวังตรวจชะตาแปดอักษรของหลูซื่อเสร็จแล้ว นางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกระคนปีติยินดี ประหนึ่งมองเห็นเงินกำนัลก้อนใหญ่นั้นได้เข้าสู่ถุงเงินล่วงหน้า แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นเห็นหลานสาวทำหน้าลังเลตัดสินใจไม่ได้ นางมุ่นคิ้วน้อยๆ เพราะครานี้เป็นการจับคู่คนที่อยู่ไกลกันคนละที่ ก่อนงานจะสำเร็จยังจำเป็นต้องมีคนของตนเองอยู่ทางนี้คอยสอดส่องดูแลสักคน นางใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับหวังซื่อที่ยังทำท่าละล้าละลังอยู่

“กุ้ยเซียง เจ้ายังต้องกลัวว่าหลูเอ้อร์เหนียงคนนั้นเสียเปรียบหรือ เฮ้อ เมื่อครู่นี้ข้าแค่อยากเออออตามความคิดของเจ้า กลายเป็นพูดเรื่องบางเรื่องเกินจริงไปบ้าง อันที่จริงนางออกเรือนไปมิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด ข้าได้ยินได้ฟังว่านางเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ ขอเพียงมิใช่คนโฉดเขลาเบาปัญญาจนเกินไป ทั้งมีทายาทสืบสกุลให้นายท่านจางได้จริงๆ จะมีชีวิตที่ไม่สุขสบายได้อย่างไร เป็นถึงฮูหยินของประมุขตำบลเชียวนะ”

อาหญิงหวังพูดจบแล้วมองเห็นใบหน้าของหลานสาวผ่อนคลายลง นางกลอกตาทีหนึ่งก่อนกล่าว “ว่าอย่างไร ข้าจำได้ว่าหลูเอ้อร์เหนียงนั่นเคยตีเจ้ายกหนึ่งมิใช่หรือ เจ้ากลับไม่อาฆาตแค้นเคือง ยังคิดอ่านแทนคนอื่นอีก”

หวังซื่อหน้าเผือดลงเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ นางคิดไปถึงเรื่องที่คนในหมู่บ้านมักนินทาตนเองลับหลังหลังจากทะเลาะวิวาทกับหลูซื่อในครั้งนั้นเมื่อหลายปีก่อน และตรึกตรองทบทวนคำพูดทั้งหมดของอาหญิงตนอยู่นานพักหนึ่งแล้ว ทำใจแข็งบอกกับตนเองว่าถ้างานนี้สำเร็จได้จริงก็เป็นการทำเรื่องดีๆ ให้หลูเอ้อร์เหนียง ได้ออกเรือนอีกครั้งไปเป็นภรรยาเอกของนายตำบลจาง ไม่ดีกว่าเป็นหญิงม่ายหรอกหรือ

อาหญิงหวังเห็นนางพยักหน้าในที่สุด พลันแย้มยิ้มกว้างขวางจนเผยริ้วรอยเหี่ยวย่นนับสิบรอยเต็มใบหน้า สุ้มเสียงยังละมุนลงด้วย “แบบนี้ดีที่สุดแล้ว เรื่องนี้ไม่สำเร็จก็เป็นอาหญิงที่อับอายขายหน้า แต่ถ้าสำเร็จข้าไม่ลืมเงินตอบแทนของเจ้าอยู่แล้ว”

หลังทั้งสองเห็นพ้องต้องกันแล้วยังหารือต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นออกไปที่สกุลหลูพร้อมกัน

พวกนางจากไปได้ไม่นาน หลี่เสี่ยวเหมยที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวลอบฟังอยู่ตลอดถึงชะโงกตัวออกมามองตามแผ่นหลังมารดากับท่านยายที่ห่างไปไกลแล้ว นางกัดริมฝีปากล่างแน่น ดวงหน้าน้อยๆ ขาวซีด

 

ผู้ที่เข้าร่วมการสอบระดับมณฑลจะต้องได้รับการรับรองและเสนอชื่อจากคนถิ่นเดียวกัน ดังนั้นรุ่งเช้าของวันนี้หลูจื้อถึงไปที่อำเภอชิงหยางพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน และเพราะการขึ้นทะเบียนจำเป็นต้องใช้ทะเบียนราษฎร์ยืนยัน เมื่อคืนอี๋อวี้เลยได้เห็น ‘สมุดทะเบียนเรือน’ ของครอบครัวตนเองเป็นครั้งแรก ในยุคนี้เป็นกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งเรียกว่า ‘ใบเขียนมือ’

ในนั้นบันทึกประวัติของครอบครัวพวกนางสี่คนทั้งวันตกฟากและระบุว่าเป็นชายหรือหญิง มีไร่นาสาโทกี่หมู่ เรือนกว้างกี่ช่วงเสา รวมถึงโยกย้ายรกรากมาขึ้นทะเบียนกับเขตอำเภอชิงหยางนี้เมื่อไร ส่วนชื่อเจ้าของเรือนที่อยู่บนหัวกระดาษย่อมเป็นชื่อของหลูซื่อมารดาของนางแน่นอน ด้านข้างยังมีตราประทับคำว่า ‘หญิง’ เป็นสีแดงเล็กๆ นี่คงจะเป็นการบ่งบอกว่าเป็นเจ้าบ้านหญิง

ผู้คนในยุคนี้จะโยกย้ายทะเบียนไม่จำเป็นต้องให้ที่ว่าการในถิ่นฐานเดิมออกหนังสือรับรองให้ เพียงแค่ลงหลักปักฐานในถิ่นใหม่และซื้อหาที่นา ก็สามารถยื่นเรื่องทำใบเขียนมือแผ่นหนึ่งเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัยของที่นั่นได้ ทางราชสำนักมีนโยบายที่ค่อนข้างผ่อนผันต่อสตรี หญิงม่ายที่ครองตนตามลำพังหรือสตรีที่มีอายุล่วงเลยสามสิบแล้วยังไร้คู่ครองล้วนสามารถยื่นเรื่องขอเป็น ‘เจ้าบ้านหญิง’ ได้ อีกทั้งได้รับผ่อนปรนภาษีครึ่งหนึ่งทุกปี

การเก็บภาษีของราชวงศ์นี้ใช้ระบบนาไพร่ โดยในเดือนห้าของทุกปีจะจ่ายภาษีตามจำนวนบุรุษในเรือน และเกณฑ์บุรุษที่มีอายุสิบห้าปีเต็มไปเป็นทหาร หน่วยที่ดูแลทะเบียนราษฎร์ประจำท้องถิ่นจะเปลี่ยนสมุดทะเบียนใหม่ให้ในเวลานี้ด้วย ดังนั้นครอบครัวที่โยกย้ายไปถิ่นใหม่จะถูกลบชื่อออกจากทะเบียนในถิ่นเดิมเองเพราะไม่ได้จ่ายภาษีตามเวลา ทั้งนี้เพื่อเลี่ยงมิให้การนับจำนวนราษฎรทั้งแผ่นดินทุกสามปีผิดพลาดคลาดเคลื่อนมากไป

กระนั้นถ้าคิดจะฉวยโอกาสนี้หลบหนีการเกณฑ์แรงงานล่ะก็ผิดมหันต์เลยทีเดียว ในยุคนี้คนที่ไม่มีทะเบียนราษฎร์ยืนยันตัวตนไม่ใช่แค่เป็นคนเถื่อนเท่านั้น หากถูกคนฟ้องร้องก็จะโดนส่งตัวตรงไปที่ชายแดนขึ้นทะเบียนในสมุดบันทึกว่าเป็นผู้ถูกเนรเทศทันที นอกจากลูกหลานรุ่นหลังไม่อาจรับตำแหน่งใดๆ ในราชสำนักได้ชั่วชีวิต ยังต้องถูกประทับตราเป็นทาส ดังนั้นราษฎรของราชวงศ์ถังที่โยกย้ายรกรากไปถิ่นอื่นล้วนต้องรีบจัดการทำใบเขียนมือนี้อย่างกระตือรือร้นรู้หน้าที่

หลังจากหลูจื้อกับผู้ใหญ่บ้านจ้าวออกไป ในเรือนเหลือแค่หลูซื่อกับอี๋อวี้ พวกนางนั่งอยู่ข้างอ่างไฟในห้องโถงเร่งมือเย็บอาภรณ์ใหม่ให้หลูจวิ้นกับหลูจื้อ

ด้วยความสามารถของหลูจื้อแล้ว ทุกคนในครอบครัวล้วนปราศจากความคิดที่ว่าเขาจะสอบระดับมณฑลไม่ผ่าน หลูซื่อวางแผนไว้เสร็จสรรพแต่แรกจะให้หลูจวิ้นขอลาหยุดกับสำนักยุทธ์ รอเมื่อติดประกาศผลสอบแล้วให้เขาเดินทางเข้าฉางอันเป็นเพื่อนหลูจื้อเพื่อเข้าร่วมการสอบชุนเหวย

เพราะหลูจื้อสมัครสอบเข้ารับราชการชั้นสามัญระดับจิ้นซื่อ ฉะนั้นก่อนการสอบชุนเหวย จะต้องเข้าพบผู้คุมสอบของเมืองฉางอันเพื่อให้ได้รับเสนอชื่อก่อน หากแต่งกายมอซอเกินไปย่อมถูกมองด้วยสายตาดูแคลนอย่างยากจะเลี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากได้เงินจากการขายปิงถังหูลู่ชุดสุดท้ายของปีก่อน หลูซื่อเลือกซื้อผ้าแพรผ้าไหมกับด้ายไหมชั้นหนึ่งที่ตัวอำเภอ หมายมั่นอาศัยฝีไม้ลายมือของตนตัดเย็บอาภรณ์ที่สวมใส่ในฉางอันได้อย่างมีสง่าราศีให้เขาสองชุด กระทั่งหลูจวิ้นที่เดินทางไปเป็นเพื่อนก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย

หลูจื้อแค่ยิ้มรับไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ แม้ไม่ปฏิเสธน้ำใจของมารดา แต่มิได้แสดงท่าทีเห็นด้วย เพียงตั้งหน้าตั้งตาทบทวนตำราเฝ้ารอการสอบ

ถ่านในอ่างไฟลุกไหม้เกือบหมดแล้ว หลูซื่อวางเสื้อในมือลงบนเสื่อข้างตัว ตั้งใจจะไปห้องครัวเอาถ่านมาเพิ่ม นางเพิ่งลุกขึ้นมาก็เห็นจากทางช่องประตูที่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่งว่ามีคนสองคนยืนอยู่ตรงทางเข้าลานเรือน ครั้นเพ่งมองอีกทีนางจำได้ว่าหนึ่งในนั้นที่สวมชุดสีน้ำเงินอมเทาคือหวังซื่อ ส่วนหญิงวัยกลางคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่งเป็นใครก็ไม่รู้

ถึงนางไม่ใคร่อยากเจอหวังซื่อนัก แต่มาถึงเรือนแล้วจะไล่ไปก็ไม่ได้ นางจำต้องเดินออกไปต้อนรับคนทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาในลานเรือนด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มตามมารยาท หญิงวัยกลางคนคิ้วเรียวประทินโฉมหนาเตอะคนนั้นชิงกล่าวขึ้นก่อนโดยไม่รอให้นางเอ่ยปาก

“อุ๊ย! นี่คงจะเป็นหลูเอ้อร์เหนียงกระมัง จุๆ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ”

หลูซื่อเห็นอีกฝ่ายอ้าปากพูด สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกอย่าง พอริมฝีปากบนดวงหน้านั่นแย้มออกเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมาราวกับว่ามีแป้งผัดหน้าร่วงพรูลงมาด้วย แววตาคู่นั้นยิ่งชอบกล ไม่เหมือนมองสำรวจคนกลับคล้ายดูสินค้า ส่งผลให้นางขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่

“ท่านคือ?”

หญิงวัยกลางคนผู้นั้นถึงสำรวมสีหน้าที่แสดงออกเกินจริงลงเล็กน้อยแล้วสะกิดเรียกคนข้างตัว หวังซื่อวางหน้าไม่ใคร่จะถูก นางฝืนข่มความรู้สึกไม่สบอารมณ์ในใจยามเห็นหน้าคู่อริ เหยียดปากยิ้มเฝื่อนๆ เอ่ยกับหลูซื่อ “เอ้อร์เหนียง นี่เป็นอาหญิงที่อยู่ในตำบลจางของข้าเอง”

“อ้อ ที่แท้เป็นหวังฮูหยิน” หลูซื่อตวัดสายตามองหวังซื่อด้วยท่าทางราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่

“ดูเจ้าเรียกเข้า ไหนเลยข้าจะกล้าเรียกตนเองว่าฮูหยิน เจ้าเรียกข้าว่าอาหญิงตามอย่างกุ้ยเซียงก็ได้”

“ข้าขอเรียกท่านว่าท่านป้าหวังจะดีกว่า”

อาหญิงหวังเออออขานรับแล้วกล่าว “เอ้อร์เหนียง วันนี้ที่ข้ามาก็มีข่าวดีมาบอกกับเจ้า พวกเราเข้าไปคุยกันในเรือนเถอะ”

หลูซื่อพยักหน้า แม้จะนึกฉงนใจ แต่ยังเชิญพวกนางเข้าไป

อี๋อวี้ซึ่งนั่งอยู่ข้างอ่างไฟได้ยินบทสนทนาในลานเมื่อครู่นี้แล้ว เห็นสตรีสองนางเดินตามหลังมารดาเข้ามาในเรือน นางละล้าละลังนิดหนึ่งแล้วเรียกขานคนทั้งคู่อย่างมีมารยาท

“ท่านอาสะใภ้หลี่ ท่านยาย”

อาหญิงหวังก้าวเข้าเรือนมาแลเห็นเด็กหญิงนั่งอยู่ข้างอ่างไฟถือสะดึงปักผ้ากำลังแทงเข็มดึงด้ายอยู่ นางสวมกระโปรงเกาะอกผ้าแพรหยาบสีเขียวสดกับเสื้อตัวสั้นแขนสั้นเหนือศอกทำจากผ้าไหมสีเหลืองนวล ผมเปียดำขลับสองข้างห้อยอยู่ตรงกลางอก รัดเชือกผูกผมสีเขียวอมเหลืองข้างละหนึ่งเส้น ดวงตาดอกท้อ สุกใสมีชีวิตชีวาบนใบหน้าขาวนวลเนียนกำลังมองดูนางอยู่

ช่างเป็นเด็กหญิงโฉมงามแต่กำเนิดคนหนึ่งโดยแท้!

อาหญิงหวังอุทานชมในใจ อึดใจต่อมากลับเหมือนนึกอะไรขึ้นได้โดยพลัน นางพยักหน้าตอบอี๋อวี้ตามมารยาทด้วยสีหน้าหลากใจ จากนั้นหันไปเอ่ยถามหลูซื่อ “เอ้อร์เหนียง เอ่อ…นี่เป็นบุตรสาวของเจ้าหรือ”

เห็นหลูซื่อพยักหน้า นางสูดลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะปรายตามองหวังซื่ออย่างต่อว่าต่อขาน ลอบตำหนิหลานสาวที่โกหกตนว่าบุตรสาวของหลูซื่อเป็นคนปัญญาอ่อน ถ้าเด็กหญิงที่มีแววตาท่าทางอย่างนี้เป็นคนปัญญาอ่อน ดูทีว่าทั้งตำบลจางคงหาคนปกติดีไม่ได้สักคน

หวังซื่อถูกอาหญิงขึงตาใส่ก็เข้าใจความหมาย นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองเล่าเรื่องที่นางเคยถูกทุบตีเมื่อหลายปีให้อาหญิงฟัง แต่ไม่เคยเอ่ยถึงว่าบุตรสาวของหลูซื่อมีสติปัญญาปกติดีแล้ว ส่งผลให้นางชักตีหน้าไม่สนิททันใด แต่ยังข่มใจไม่เผยความกระอักกระอ่วนใจออกมามากเกินไป

ยังไม่เอ่ยถึงว่าหลูซื่อสังเกตเห็นการส่งสายตาระหว่างคนทั้งสองในเสี้ยวขณะสั้นๆ นั้นได้หรือไม่ แต่อี๋อวี้ซึ่งถนัดการอ่านสีหน้าคนมาแต่ไหนแต่ไรมองปราดเดียวก็เห็นความผิดปกติของพวกนางได้ และเมื่อคิดโยงไปถึงนิสัยใจคอของหวังซื่อ นางเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายจะต้องพูด ‘เรื่องดีๆ’ ของตนเองให้อาหญิงหวังฟังไม่น้อย อี๋อวี้แค่นยิ้มในใจ ทว่ายังรักษาท่าทางเป็นเด็กดีรู้ความไว้ได้อย่างแนบเนียน หลังจากอี๋อวี้ลุกขึ้นคารวะพวกนางแล้วเข้าไปหยิบถ่านในห้องครัว

ในเวลาต่อมา เมื่อสตรีทั้งสามนั่งลงแล้ว อาหญิงหวังไม่รีบร้อนบอกจุดประสงค์ที่ตนมาเยือน หากแต่กวาดสายตามองไปทั่วเรือนหลังนี้รอบหนึ่ง ไล่ตั้งแต่ขื่อคานจรดหลังคา แล้วก็โต๊ะหนังสือ เสื่อปูพื้น ตู้ลิ้นชัก ก่อนจะหยุดอยู่ที่อ่างไฟที่ใกล้มอดเบื้องหน้าในท้ายที่สุด

หลูซื่อเห็นสายตาสำรวจตรวจตราของอาหญิงหวังกับหางตาของหวังซื่อที่ลอบชำเลืองดูตนแล้ว ในใจบังเกิดความงุ่นง่านรำคาญระลอกหนึ่ง เมื่อเห็นคนทั้งสองล้วนปราศจากทีท่าจะเอ่ยปากก่อน นางจึงกระแอมไอเบาๆ แล้วไต่ถาม “เรื่องที่จะบอกกับข้าตอนอยู่ในลานก่อนหน้านี้คือ?”

อาหญิงหวังดึงสายตาที่จับอยู่ตรงอ่างไฟกลับมา ยกสองมือขึ้นตรงหน้าแล้วเป่าลมจากปากให้ไออุ่น มีควันขาวๆ ลอยอวล นางมิได้ตอบคำถามของหลูซื่อ ทว่ากลับเอ่ยถามขึ้น “เอ้อร์เหนียง เรือนของเจ้าเย็นเยือกเอาการ ในฤดูหนาวเผาถ่านในอ่างไฟนี้แล้วยังไม่อบอุ่นพอ ตกดึกนอนหลับได้หรือไม่”

หลูซื่อตอบเสียงเรียบๆ “ข้าไม่ใช่คนขี้หนาว ลูกๆ ก็ไม่ผิวบางปานนั้น”

อาหญิงหวังหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย นางกล่าวขึ้นอีก “ไฉนไม่เห็นบุตรชายสองคนของเจ้าเลย ข้าได้ยินกุ้ยเซียงบอกว่าเป็นเด็กดีที่หนึ่งที่สองของในหมู่บ้านเค่าซานตอนนี้ เอ้อร์เหนียงมีบุญวาสนานัก ได้ยินว่าเด็กสองคนนี้กตัญญูอย่างยิ่ง วันหน้าแต่งสะใภ้เข้ามา ชีวิตเจ้าคงสมบูรณ์พูนสุขเป็นแน่”

“ขอให้สมพรปากท่าน”

“เอ๊ะ นี่เป็นอาภรณ์ที่เย็บให้ใครหรือ เนื้อผ้าชั้นหนึ่งเชียวนะ” เห็นท่าทางกระด้างหัวแข็งของหลูซื่อแล้ว อาหญิงหวังชักรู้สึกไม่เข้าที นางหยิบเสื้อที่เหลือแค่ยังไม่ได้เย็บเก็บชายแขนเสื้อให้เรียบร้อยซึ่งหลูซื่อวางไว้บนเสื่อด้านข้างใกล้ๆ มือขึ้นมา คลับคล้ายอยากหาเรื่องชวนสนทนา แต่เมื่อได้ลูบเนื้อผ้าสองทีก็ต้องอึ้งงันไป นางได้ยินได้ฟังมาบ้างว่าสกุลหลูไม่ถึงกับขัดสนฝืดเคือง เพียงคาดไม่ถึงว่าพอมาเห็นกับตากลับต่างจากภาพที่นึกไว้

นับแต่ก้าวผ่านประตูเข้ามาเห็นชุดของเด็กหญิงน้อยคนนั้นจนถึงผ้าผืนที่อยู่ในมือเวลานี้ล้วนมิใช่คนยากจนจะมีปัญญาสวมใส่ได้ นางครุ่นคิดในใจว่าหญิงม่ายคนหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ยังมีเงินมีทองในมือมากพอดู รอเมื่อนางจับคู่ในครานี้ได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าอาจยังฉกฉวยประโยชน์จากทางนี้อีกทอดหนึ่งก็เป็นได้

หลูซื่อเห็นนางเฉไฉบ่ายเบี่ยงไปมา ไม่พูดเข้าเรื่องสักที ก็พานจะหงุดหงิดขึ้นมาตงิดๆ อย่างสุดระงับ แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่สุ้มเสียงที่กล่าววาจาเริ่มห้วนขึ้น “ท่านป้าหวัง ท่านมีเรื่องใดก็พูดมาตามตรงเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำอีก”

หวังซื่อนั่งอยู่ด้านข้างตลอดเวลาได้ยินเสียงพูดของนางเปลี่ยนไปทีละน้อย ความเก้อกระดากเมื่อตอนเพิ่งมาถึงนั้นอันตรธานไปทันควัน นางเบ้ปากพูดตามนิสัย “เนื้อผ้าน่ะดีอยู่หรอก แต่คนจะมีวาสนาได้ใส่หรือไม่ก็สุดรู้”

ในหมู่บ้านมีใครคนใดไม่ล่วงรู้ว่าบุตรชายคนโตของสกุลหลูจะเข้าร่วมการสอบระดับมณฑล ผู้ใหญ่บ้านจ้าวยังยกยอหลูจื้อว่ามีดวงชะตาของผู้เป็นจวี่เหริน ปีหน้าต้องสอบผ่านแน่นอน พอหวังซื่อเห็นแบบของเสื้อตัวนั้นก็เดาออกว่าหลูซื่อคงจะเย็บให้บุตรชาย นางพลันบังเกิดความริษยาอีกฝ่ายที่มีบุตรชายช่วยเชิดหน้าชูตา บันดาลให้คำพูดคำจาเผยความอิจฉาที่สะสมไว้ออกมาทางน้ำเสียงอย่างช่วยไม่ได้

หลูซื่อย่อมมิใช่พวกที่ยอมลงให้ใคร พอสิ้นเสียงหวังซื่อ นางลุกขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มึนตึงกว่าเดิมทันที “ถ้าท่านไม่มีงานการใดจริงๆ เลยมาคุยเรื่องไม่เป็นสาระพวกนี้กับข้าก็เชิญกลับไปเถอะ เรือนของข้าทั้งเล็กทั้งเย็น ไม่อยากให้พวกท่านล้มป่วยไป”

อาหญิงหวังได้ยินวาจาของหลานสาวตนก็ลอบค่อนว่านางไร้กาลเทศะ ครั้นเห็นหลูซื่อตั้งท่าไล่แขก นางรีบหยุดคิดหมกมุ่นกับทรัพย์สิน ลอบหยิกหวังซื่อซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างตั้งท่าจะอ้าปากพูด พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงบอกนางว่าเรื่องงานสำคัญกว่า จากนั้นดึงแขนของหลูซื่อเบาๆ ให้นั่งลงและพูดคลี่คลายบรรยากาศ “อะไรกันนี่ เอ้อร์เหนียง พวกข้าเพิ่งเข้าเรือนมาก็จะไล่กลับเสียแล้ว รีบนั่งลงก่อน ข้าจะบอกข่าวดีที่ว่านั่นให้เจ้าฟังประเดี๋ยวนี้แล้ว”

อันว่าไม่ยื่นมือตีผู้แย้มยิ้มให้* อีกอย่างคำกล่าวนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของหลูซื่อได้จริงๆ นางนั่งลงตามแรงฉุดของอีกฝ่าย แต่ไม่มองหวังซื่อที่ข่มอารมณ์อยู่สักแวบเดียว

“เอ้อร์เหนียง เจ้ารู้จักนายท่านจางจี้เสียน นายตำบลจางหรือไม่”

หลูซื่อพยักหน้า นางรู้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ ทว่าไม่เข้าใจว่าเรื่องที่อาหญิงหวังจะบอกเกี่ยวข้องอะไรกับนายตำบลผู้นั้น

“ตอนนี้ในเรือนเขายังไม่มีภรรยาเอก เจ้ารู้หรือไม่”

หลูซื่อฟังคำนี้แล้วสะดุ้งวาบในอก ไม่ใคร่เต็มใจอยากฟังอีกฝ่ายกล่าวต่อไปแล้ว

อาหญิงหวังกลับไม่รอให้นางกล่าวตอบคำใดก็เอ่ยปากต่อไปเองเรื่อยๆ

“นายท่านจางน่ะเป็นคู่ครองที่ดีคนหนึ่ง แม้จะพูดว่าเป็นจวี่เหรินในช่วงรัชศกอู่เต๋อ แต่อย่างไรก็มียศถาบรรดาศักดิ์ประจำตัว ซ้ำยังมีที่นาอุดมสมบูรณ์ตั้งสิบฉิ่ง เรือนของเขายังกว้างขวางและโอ่อ่าหรูหราที่สุดในตำบลจาง…”

“ท่านป้าหวัง!” หลูซื่อตัดบทอีกฝ่ายกะทันหัน กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะกระด้างเล็กน้อย “เรื่องดีๆ ชั้นนี้ข้าไม่อยากฟัง เชิญพวกท่านกลับไปเถอะ”

หลูซื่อพูดทะลุกลางปล้อง อาหญิงหวังนิ่งงันไปในทีแรก ต่อมายังได้ยินนางออกปากไล่ตรงๆ แม้เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี หากยังฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้ม กล่าวสืบไป “เอ้อร์เหนียง ข้ายังพูดไม่จบเลย ไฉนเจ้าไม่อยากฟังแล้ว”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้อยคำพรรค์นี้ข้าไม่รับฟัง ข้าหลูเอ้อร์เหนียงเป็นหญิงม่ายก็จริง แต่ไม่เคยคิดออกเรือนใหม่ชั่วชีวิต ท่านล้มเลิกความคิดนี้เสียแล้วไปหาคนอื่นเถอะ” ถึงเวลานี้แล้วมีหรือหลูซื่อยังไม่กระจ่างแจ้งจุดประสงค์ที่สตรีสองคนนี้มาเยือน มันทำให้นางรู้สึกโกรธเคืองในใจถึงพูดจาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา

ลางสังหรณ์ในใจอาหญิงหวังเป็นจริงในที่สุด ใบหน้านางไร้รอยยิ้มฝืดเฝื่อนเฉกเมื่อครู่นี้เพราะความตื่นตะลึงระคนงุนงง ก่อนจะมา นางนึกว่าตนเองคิดอ่านวางแผนอะไรๆ ไว้หมดแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังหลูซื่อรู้จุดประสงค์ที่ตนมาอย่างชัดแจ้งจะปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะได้เป็นถึงฮูหยินของนายตำบล สตรีอ่อนแอไร้ที่พึ่งตรงหน้ากลับปฏิเสธหรือนี่!

ด้านหวังซื่อเห็นหลูซื่อชักสีหน้าก็นั่งไม่ติดอีก นางลืมเลือนเป้าหมายในการมาคราวนี้ไปจนสิ้น ลุกขึ้นยืนบนเสื่อก้มลงมองหลูซื่อพร้อมพูด “ฮึ! จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทำไม ใช่ว่าต้องเป็นเจ้าเสมอไป ถึงจะบอกว่าชะตาแปดอักษรสมพงศ์กัน แต่หญิงม่ายลูกติดเยี่ยงเจ้าจะเป็นฮูหยินนายตำบลได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”

อาหญิงหวังที่ยังตื่นตะลึงอยู่ได้ยินหวังซื่ออ้าปากพูดก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว ประกอบกับเห็นสีหน้าหวังซื่อบึ้งตึงเต็มที นางจึงลุกลนยื่นมือไปดึงตัวหวังซื่ออีกคำรบหนึ่ง ไม่คาดว่าหลานสาวจะปากไวยิ่งขึ้น “อาหญิง ท่านไม่ต้องห้ามข้าแล้ว ปล่อยให้ข้าพูดจนจบ หาไม่แล้วนางจะนึกว่าตนเองมีค่าหายากเสียเหลือเกิน ถ้ามิใช่เห็นแก่ที่มีลูกได้ ถึงคิดจะให้นางมีบุตรชายให้ท่านนายตำบลสักคนล่ะก็ ไหนเลยมีความจำเป็นต้องหาคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าพรรค์นี้ด้วย!”

ถ้อยคำนี้ระคายหูถึงที่สุด ด้วยพาดพิงไปถึงความบริสุทธิ์ของสตรี หวังซื่อพูดจบไม่ทันไรก็มีเสียงสองเสียงดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

“กุ้ยเซียง!”

“ไสหัวออกไป!”

อาหญิงหวังกับหลูซื่อตะโกนขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งทำหน้าขัดเคือง คนหนึ่งทำหน้าโกรธเกรี้ยว

หลูซื่อตะโกนจบ ไม่รอดูปฏิกิริยาของพวกนางอีก ยื่นมือไปผลักทั้งสองคน หมายขับไล่ออกไปจากเรือน

หวังซื่อเห็นอีกฝ่ายลงไม้ลงมือก็ไม่ยอมเสียเปรียบเป็นธรรมดา นางโต้กลับด้วยการยึดข้อมือข้างหนึ่งของหลูซื่อที่เอื้อมมาไว้ แล้วเริ่มวิวาทกันขึ้น โดยมีตัวอาหญิงหวังติดคาอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่

อี๋อวี้ที่ลอบเงี่ยหูฟังอยู่ในห้องครัวโดยตลอดวิ่งทะยานออกมาตั้งแต่ได้ยินมารดาตะเบ็งเสียงดังแล้ว นางฉวยจังหวะที่ทั้งสามยังยื้อยุดฉุดกระชากกัน ถือไม้กวาดอันใหญ่สูงเท่าตัวคนจากในลานวิ่งย้อนกลับมา

พอย่างเท้าเข้าในเรือน นางเงื้อไม้กวาดหวดเข้ากลางหลังของหวังซื่อกับอาหญิงหวังสองคน ปากก็ร้องตะโกนไปด้วย “อย่ารังแกท่านแม่ข้านะ!” หากมือนางกลับไม่ผ่อนแรงลงเลย แม้จะพูดว่านางเป็นแค่เด็กน้อยใกล้ย่างเก้าขวบ แต่ได้เปรียบที่ด้ามไม้กวาดยาวพอ ขนไม้กวาดแข็งพอ โดนตีแล้วไม่เจ็บนั้นเป็นไปไม่ได้

หลายปีก่อนหวังซื่อเคยถูกหลูซื่อไล่ตีด้วยไม้กวาดอันนี้มาก่อน ในใจยังเข็ดขยาดไม่หาย นางมัวแต่จะหลบหลีกจนไม่ทันคิดที่จะตอบโต้ ทำให้อาหญิงหวังที่อยู่ข้างตัวพลอยรับเคราะห์ตามไปด้วย

อี๋อวี้ฟาดไม่กี่ทีก็ทำให้พวกนางตกใจถอยหนีไป ทางฝ่ายหลูซื่อสบช่องว่าง เหลือบตาขึ้นเห็นท่าทางชวนขันของบุตรสาวที่ยกไม้กวาดอันโตที่สูงเกือบเท่าตัวนาง พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง นางร้องเรียกอี๋อวี้ด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย และเหยียดมือข้างหนึ่งไปหา

อี๋อวี้ได้ยินเสียงเรียกของหลูซื่อ นางหันขวับกลับไป ส่ง ‘อาวุธ’ ในมือต่อให้มารดาอย่างรู้ใจกัน

หลูซื่อกระชับสองมือกำด้ามไม้กวาด ในอกพลันบังเกิดความฮึกเหิม นางไม่รอให้สตรีสองนางตรงข้างกำแพงมีเวลาพักหายใจตั้งสติได้ เงื้อไม้กวาดเหวี่ยงเข้าใส่สุดแรง

“ออกไป! พวกเจ้าออกไปให้พ้น!”

อี๋อวี้เห็นมารดาตะเพิดไล่คนไปเหมือนหมูหมากาไก่ ไฟโทสะที่สะกดไว้ตอนซ่อนตัวแอบฟังอยู่ด้านข้างบรรเทาลง นางย่างเท้าสองสามก้าวไปยืนพิงกรอบประตูแลมองภาพด้านนอกพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา

 

ยามนี้สองแม่ลูกที่ได้ระบายความโกรธในอกคู่นั้นกำลังเบิกบานสำราญใจเพียงไหนคงไม่ต้องกล่าวถึง อีกด้านหนึ่งหวังซื่อกับอาหญิงหวังถูกคนในหมู่บ้านที่มองเห็นเหตุการณ์พากันชี้นิ้วซุบซิบนินทา พวกนางหน้าม้านวิ่งกลับไปที่เรือนสกุลหลี่

หลี่เสี่ยวเหมยนั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่ในเรือนตั้งแต่พวกนางออกไป พอแลเห็นทั้งสองคนกลับมาในสภาพนี้ นอกจากตกใจแล้ว ในอกยังคงหวาดหวั่น ด้วยไม่รู้ว่าความคิดนั้นของคนทั้งสองบรรลุผลหรือไม่ นางคบหาเป็นมิตรกับอี๋อวี้มาสองปี ทั้งได้รับความเอาใจใส่จากหลูซื่ออยู่มาก ย่อมไม่อยากเห็นมารดากับท่านยายของตนสมคบกันให้ร้ายผู้อื่น

หวังซื่อเข้าเรือนมาก็โวยวายเสียงดังว่าโชคร้ายๆ บอกให้หลี่เสี่ยวเหมยออกไปรินน้ำชา แล้วทิ้งตัวลงนั่งโดยไม่นำพาว่าเนื้อตัวเปื้อนฝุ่น ปากยังขมุบขมิบแช่งด่าหลูซื่ออย่างหยาบคาย จนกระทั่งอาหญิงหวังกระแอมไอดังๆ สองครั้ง ถึงรู้ตัวว่าปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเก้ออยู่ด้านข้าง นางกุลีกุจอลุกขึ้นไปพยุงอีกฝ่ายมานั่ง

อาหญิงหวังกลับมองค้อนหลานสาววงใหญ่ ครู่หนึ่งต่อมานางรับชาร้อนจากหลี่เสี่ยวเหมยมาดื่มคำหนึ่ง ผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติแล้วนั่งนิ่งครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดไม่จา

หวังซื่อมิใช่คนเบาปัญญา จึงจับสีหน้าผิดปกติของอาหญิงของตนได้ ยามนี้ได้ดื่มน้ำชาร้อนๆ แล้วสงบอกสงบใจลงไตร่ตรองอย่างละเอียด จริงอยู่ว่าตอนนั้นนางพูดมากไป แต่นางไม่รู้สึกว่าตนเองทำอะไรไม่ถูกต้อง เพียงเห็นว่าล้วนเป็นด้วยหลูซื่อแสดงกิริยาอย่างนั้น นางจึงโมโหจนกล่าววาจาโดยไม่ยั้งคิด

กระนั้นนางรู้นิสัยของอาหญิงคนนี้ดี แม้ใบหน้าดูเป็นมิตรเจ็ดส่วน แต่แท้จริงแล้วเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร หวั่นใจว่าตนเองจะโดนต่อว่าต่อขานเพราะเรื่องในวันนี้ไปด้วย นางรีบหยุดความคิดลงแล้วพูดเสียงอ่อนหวาน

“อาหญิง ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง เมื่อครู่นี้นางหญิงเสียสตินั่นตีท่านเจ็บหรือไม่เจ้าคะ”

อาหญิงหวังไม่มองหน้านางสักแวบเดียว นับประสาอะไรกับกล่าวตอบ หวังซื่อกลับไม่รู้ความคิดอีกฝ่าย ยังพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อาหญิง ท่านอย่ามีน้ำโหเลย เรื่องวันนี้ต้อง…ต้องโทษข้าคนเดียว อยากจะเอาชนะคะคานโดยไม่ดูเวล่ำเวลา แต่ข้าเห็นท่าทางเหิมเกริมของนางแล้วโมโหจนเหลืออด…หรือไม่…หรือไม่ข้าไปที่นั่นพูดกับนางให้เข้าใจอีกที”

อาหญิงหวังชำเลืองหางตามองหวังซื่อในที่สุด นางพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้ายังมีหน้าว่าคนอื่น เจ้าว่ามาสิเมื่อครู่นี้เจ้าทำตัวอย่างไร หากมิใช่เจ้าสอดปากขึ้นไม่ดูตาม้าตาเรือครั้งแล้วครั้งเล่า นางจะตะเพิดพวกเราออกมารึ ก่อนไปข้าบอกกับเจ้าไว้อย่างไร แล้วเจ้ารับปากข้าว่าอย่างไร เฮ้อ หนนี้ข้าต้องขายหน้าผู้คนครั้งใหญ่แล้ว เป็นแม่สื่อจับคู่มานานหลายปีอย่างนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนถือไม้กวาดไล่ จะให้ข้ากล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้ได้เช่นไร” กล่าวจบก็หวนคิดถึงท่าทางเด็ดเดี่ยวของหลูซื่อตอนปฏิเสธนาง ใบหน้าที่ผ่อนคลายลงบ้างอย่างไม่ง่ายดายแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งขึ้นมาอีก

“ใช่เจ้าค่ะ พวกเราจะถูกตีเปล่าๆ ไม่ได้ เมื่อครู่เกิดเรื่องขึ้นฉุกละหุก ข้าไม่ทันตั้งตัว หรือไม่พวกเรากลับไปหานางอีกที”

“เรื่องนี้ไม่รีบ เจ้าบอกอาหญิงมาตามสัตย์จริง หลูซื่อยังส่งข่าวคราวถึงสกุลเดิมกับตระกูลสามีอยู่อีกหรือไม่ เมื่อครู่ข้าเห็นลักษณะท่าทางของนางแล้วนับว่ากินดีอยู่ดี ไฉนหญิงม่ายคนหนึ่งมีความสามารถเพียงนี้ได้”

“ไม่มีนะเจ้าคะ พวกข้าอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาแปดเก้าปี เห็นหน้าค่าตากันอยู่ตลอด นางไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องที่ไหน ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร พวกนางอยู่กันสี่คนเท่านี้ไม่มีใครอื่นแล้ว”

“เช่นนี้เป็นคนไร้ญาติขาดมิตรจริงๆ เรื่องนี้สำเร็จได้ไม่ยาก ขอเวลาให้ข้าคิดดู…”

อาหญิงหวังพูดจบก็ไม่สนใจหวังซื่อที่จับต้นชนปลายไม่ถูก เพียงค่อยๆ หรี่ตาลงเพ่งมองถ้วยชาที่ส่งควันกรุ่นๆ ในมือ ใบหน้านางเผยแววเหี้ยมเกรียมวาบขึ้น ไม่หลงเหลือร่องรอยอัธยาศัยดีอย่างตอนอยู่ที่สกุลหลูอีกต่อไป จนกระทั่งน้ำชาในถ้วยเย็นชืด นางบอกให้หลี่เสี่ยวเหมยออกไปเฝ้าประตูข้างนอกอย่างระวังรอบคอบ หลังจากประตูปิดสนิท นางหมุนกายไปพูดคุยกับหวังซื่อเสียงเบาๆ

พวกนางหาได้รู้ไม่ว่าหลี่เสี่ยวเหมยซึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่ไปไหนกำลังยืนชิดอยู่ข้างประตู ลอบฟังพวกนางหารือกันลับๆ โดยไม่ตกหล่นสักคำ

เกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง หวังซื่อเปิดประตูเดินยิ้มย่องออกมา นางร้องบอกหลี่เสี่ยวเหมยให้หอบฟืนไปจุดเตาหุงหาอาหาร จนแล้วจนรอดมิได้สังเกตเห็นบุตรสาวที่ก้มศีรษะลงต่ำเพื่อซ่อนใบหน้าที่ซีดเผือดไว้

 

เรื่องที่อาหลานสกุลหวังมาเป็นแม่สื่อแม่ชักที่เรือนสกุลหลูในวันนั้น ตอนหลังหลูซื่อกำชับอี๋อวี้ไม่ให้เอ่ยกับพี่ชายสองคน หลูจื้อใกล้จะสอบรอมร่อ ต่อให้ไม่มีคำสั่งของมารดา นางก็ไม่นำเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ไปทำให้เขาเสียสมาธิเด็ดขาด ดังนั้นเรื่องไร้สาระน่าขันนี้ถูกปิดบังไว้ไม่ให้เด็กหนุ่มทั้งสองล่วงรู้

หลังจากนั้นจวบจนการสอบระดับมณฑลของหลูจื้อสิ้นสุดลง หวังซื่อกับอาหญิงหวังมิได้มาที่เรือนสกุลหลูอีก หลูซื่อกับอี๋อวี้ซึ่งยังไม่ใคร่จะวางใจนักในทีแรกจึงสลัดเรื่องนี้ทิ้งไปจากหัวชั่วคราว ใจจดใจจ่อเฝ้ารอวันที่ประกาศผลสอบในอำเภอชิงหยาง

วันที่หนึ่งเดือนสองยามอิ๋นสามเค่อ หลูซื่อลุกจากเตียงแต่งตัวเสร็จแล้วไปจุดเตาทำอาหารเช้า ลูกๆ ทั้งสามทยอยตื่นขึ้นทีละคน เมื่อสางผมล้างหน้าเรียบร้อย หลูจวิ้นไปเลี้ยงวัวในลาน หลูจื้อไปทำอาหารแทนมารดา เพื่อให้นางไปหวีผมให้อี๋อวี้

ยามเหม่า หนึ่งเค่อ แม่ลูกสี่คนกินอาหารมื้อเช้าหมดก็ล้างถ้วยล้างชาม ปัดกวาดเรือนให้สะอาด รดน้ำในแปลงผักและเลี้ยงไก่แล้ว หลูซื่อหิ้วถุงสัมภาระขึ้นแล้วช่วยกันกับหลูจื้อลั่นกุญแจประตูเรือนสองหลังดังกริ๊กๆ สองที จากนั้นชาวสกุลหลูจะมุ่งหน้าไปอำเภอชิงหยางดูประกาศผลสอบแล้ว

เจ้าวัวสีน้ำตาลตัวโตของสกุลหลู นอกจากจะบึกบึนล่ำสันกว่าเมื่อหลายปีก่อน ยังแข็งแรงทรหดขึ้นไม่น้อย ลากเกวียนบรรทุกคนสี่คนวิ่งเหยาะไปตลอดทางได้โดยไม่ต้องฝืนแรง

หลูจวิ้นนั่งอยู่ด้านหน้าเป็นสารถี หลูซื่ออยู่บนเกวียนพูดเย้าหลูจื้อ แต่ยังไม่ลืมโอบตัวอี๋อวี้ที่เริ่มสะลึมสะลือง่วงนอนเพราะตื่นเช้าเกินไปไว้กับอก

“จื้อเอ๋อร์ เจ้ากังวลหรือไม่ว่าจะไม่มีชื่ออยู่ในประกาศผลสอบคราวนี้”

“ท่านแม่วางใจได้ จะอย่างไรลูกต้องให้อาภรณ์ที่ท่านเย็บให้สองชุดนั้นได้ใช้ประโยชน์ขอรับ”

“นี่ถ้าสอบผ่านแล้ว วันที่แปดก็ต้องเดินทางไปฉางอัน ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าที่แม่ตระเตรียมไว้ให้เจ้าจะพอสวมหรือเปล่า”

“พอขอรับ ตั้งแต่เข้าสอบจนประกาศผลสอบเป็นเวลาทั้งหมดแค่สามเดือน ระหว่างนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับบ้านขอรับ”

 

แม้มั่นอกมั่นใจในความรู้ความสามารถของหลูจื้อมาก ทว่ายามที่คนทั้งครอบครัวเบียดเสียดอยู่กับฝูงชนหน้าประตูที่ว่าการอำเภอชิงหยางรอคอยการติดประกาศผลสอบ คนที่สีหน้าผ่อนคลายที่สุดกลับเป็นตัวหลูจื้อเอง แม้แต่คนสองภพสองชาติอย่างอี๋อวี้ยังอดใจเต้นระทึกไม่ได้

“จวิ้นเอ๋อร์ เจ้าแรงเยอะสายตาดี ประเดี๋ยวพอประกาศผลสอบออกมา เจ้าเบียดไปข้างหน้ามองหาชื่อพี่ใหญ่ของเจ้าให้ละเอียดนะ” หลูซื่อสั่งกำชับหลูจวิ้น

“ขอรับ ข้าต้องหาชื่อพี่ใหญ่บนแผ่นประกาศได้แน่” หลูจวิ้นขานตอบแล้วยังกลัวหลูซื่อไม่วางใจ กล่าวต่อท้ายอีกคำหนึ่ง “ท่านแม่เบาใจได้ จะมีหรือไม่มีชื่อของพี่ใหญ่บนนั้น ข้าก็จะหาให้พบจนได้ขอรับ”

“พูดส่งเดช! จะไม่มีชื่อพี่ใหญ่เจ้าบนนั้นได้อย่างไร” หลูซื่อเดิมก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง ขณะนี้ยังถูกคำพูดหลูจวิ้นก่อกวนจิตใจอีก ก็กลัวแต่ว่าหนึ่งในหมื่น* จะมาเยือนถึงตัว นางเริ่มใจเสีย ฝ่ามือก็ตบไปที่ท้ายทอยเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย “ถ้าไม่มีชื่อพี่ใหญ่เจ้าบนนั้นล่ะก็ ต้องเป็นเจ้าที่ตาลาย”

“ข้าจะตาลายได้อย่างไร ข้าสายตาดีเป็นที่หนึ่ง ถ้าไม่มีชื่อพี่ใหญ่จริงๆ นั่นก็คือเขาสอบไม่ผ่านแน่นอน…โอ๊ย! ท่านแม่ตีข้าอีกแล้ว”

ด้านนี้สองคนแม่ลูกยังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ ประตูหน้าที่ว่าการทาสีแดงเข้มถูกผลักเปิดออกอย่างช้าๆ เจ้าหน้าที่ชุดเทาแปดคนวิ่งเหยาะๆ ออกมาแล้วตวาดไล่กลุ่มคนที่ห้อมล้อมอยู่ให้ถอยห่างออกไป เมื่อเว้นที่ว่างห่างจากกำแพงด้านหนึ่งของที่ว่าการได้เจ็ดแปดก้าว เสมียนของที่ว่าการในชุดขุนนางสีน้ำตาลเข้มอีกคนหนึ่งประคองม้วนกระดาษไว้ในมือก้าวออกทางด้านในของประตู มีเจ้าหน้าที่สองคอยคนคุ้มกันไปจนถึงตรงหน้ากำแพง เขาหยุดยืนแล้วยื่นม้วนประกาศผลสอบให้สองคนนั้นช่วยกันคลี่ออกติดบนกำแพง

รอจนเจ้าหน้าที่คุ้มกันเสมียนผู้นั้นย้อนกลับไปยังหน้าประตูที่ว่าการอีกครา เขาถึงตะโกนเสียงดังว่า “ดูประกาศได้!”

หมู่สามัญชนที่ยำเกรงในบารมีของที่ว่าการจนไม่กล้าเข้าไปใกล้ในทีแรกต่างกรูเข้าไปพร้อมกัน

หลูจวิ้นสบช่องมุดตัวลอดเข้าไปในฝูงชน หลูซื่อมือหนึ่งจูงอี๋อวี้ มือหนึ่งจูงหลูจื้อก้าวถอยไปด้านหลัง เมื่อครู่ทันทีที่สิ้นเสียงเสมียนผู้นั้น ผู้คนด้านข้างเบียดเสียดกันอยู่พักหนึ่งแล้วพากันวิ่งไปอยู่ข้างหน้ากันหมด ตอนนี้รอบตัวสามแม่ลูกจึงว่างเปล่าลงทันใด

“เหตุใดยังไม่เห็นกลับมาอีกนะ หาชื่อชื่อเดียวมันยากเย็นปานนั้นหรือ” ทั้งสามถอยไปอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งหน้าโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามของที่ว่าการไม่ทันไร หลูซื่อก็อ้าปากพูด

“ท่านแม่ น้องรองเพิ่งเบียดเข้าไปเองขอรับ” หลูจื้อถอนใจเฮือกหนึ่ง ปล่อยให้มารดากุมมือข้างหนึ่งของเขาไว้แน่น

“ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ คนเยอะขนาดนั้น พี่รองจะออกมาเร็วเพียงนั้นได้ที่ไหนกัน” อี๋อวี้สอดปากขึ้นบ้าง นางไม่กังวลใจอย่างหลูซื่อ นางเชื่อมั่นในความสามารถของหลูจื้อถึงเก้าส่วน ที่เผื่อใจไว้ส่วนหนึ่งแค่เป็นห่วงว่าจะมีอะไรไม่คาดฝันเท่านั้นเอง

หลูซื่อได้ยินคำพูดของลูกสองคนแล้วพยักหน้าไม่กล่าววาจาอีก เพียงเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย สองตาจับจ้องไปทางแผ่นประกาศผลสอบแผ่นนั้นนิ่งๆ ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้ว นางจะมองหาร่างของหลูจวิ้นท่ามกลางฝูงชนกลุ่มใหญ่นั่นได้

อี๋อวี้มองดูผู้คนเบียดเสียดกันที่อีกฟากหนึ่งของถนน พลางแยกแยะเสียงเอ็ดอึงที่ดังมากระทบหูได้ว่าเป็นเสียงโห่ร้องหรือเสียงร่ำไห้ มันพาให้หวนนึกไปถึงตอนที่ตนเองสอบเข้ามหาวิทยาลัย ใช้โทรศัพท์สาธารณะที่ป้อมยามหน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าโทรไปสอบถามคะแนน ความรู้สึกในยามนั้นคงจะเหมือนกับบัณฑิตเบื้องหน้าสายตากลุ่มนี้ ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังระคนวิตกกังวล รอเมื่อรู้ผลแล้วจะมีกี่คนที่ดีใจและกี่คนที่เสียใจเล่า

“ท่านแม่!” หลูจวิ้นยังไม่ย่างเข้าวัยแตกพาน แม้นบนถนนจะอึกทึกเซ็งแซ่ เสียงพูดกังวานใสของเขายังลอยมากระทบโสตประสาทของอี๋อวี้ก่อน ต่อจากนั้นนางเพียงรู้สึกว่ามีเงาคนวาบผ่านข้างกายไปทันที เป็นหลูซื่อทะยานกายออกไปจับตัวหลูจวิ้นที่เพิ่งตะเกียกตะกายออกมาจากกลุ่มคน

“เป็นอย่างไร หาเจอหรือไม่!” หลูจวิ้นแออัดยัดเยียดอยู่กลางฝูงชนจนหน้ามืดตาลายอยู่แล้ว ซ้ำยังถูกรมด้วยกลิ่นนานาชนิดๆ จนวิงเวียนศีรษะ ครั้นโดนหลูซื่อฉุดดึงไปกะทันหัน อย่าว่าแต่จะพูดตอบเลย กระทั่งทิศทางยังแยกไม่ออกแล้ว

“เจ้าพูดอะไรบ้างสิ เห็นชื่อของพี่ใหญ่เจ้าหรือไม่” ชั่วขณะนี้หลูซื่อไม่คำนึงถึงว่าเสื้อผ้าผมเผ้าของบุตรชายคนรองของตนหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เห็นเขายืนทื่อเป็นเบื้อใบ้ก็อยากจะซัดฝ่ามือใส่เขาอีกสักทีใจจะขาด

อี๋อวี้กับหลูจื้อที่ใต้ต้นไม้เห็นแล้วรีบเข้าไปห้าม หลูจื้อกล่าวว่า “ท่านแม่ ให้น้องรองหยุดพักหายใจก่อนขอรับ”

“…ท่านแม่” หลูจวิ้นผ่อนลมหายใจได้เป็นปกติอย่างไม่ง่ายดาย เขาฉีกปากกว้างอวดไรฟันขาววาววับที่ได้อี๋อวี้คอยตรวจความสะอาดมาหลายปี ส่งยิ้มให้สามคนตรงหน้าที่มีสีหน้าวาดหวังเต็มเปี่ยม พร้อมกับพูดเสียงดัง “ท่านแม่ ลูกวิ่งได้เร็วที่สุด ไม่มีใครเบียดข้ากระเด็นได้ขอรับ”

อี๋อวี้เห็นท่าทางแสนซื่อของพี่รองแล้วหางตากระตุกริก นางเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง อึดใจต่อมาได้ยินเสียงดังทึบๆ คละเคล้าเสียงโอดโอยของหลูจวิ้น

“ร้องอะไร บอกมาเร็วเข้า” ถึงเห็นท่าทางของบุตรชายคนรองแล้วคลายใจลงได้เจ็ดส่วน หลูซื่อก็ยังอยากฟังจากปากเขาให้แน่ใจเลยประเคนฝ่ามือลงไป

“โอ๊ย! ท่านแม่ตีข้าอีกแล้วนะ” หลูจวิ้นเจ็บที่ท้ายทอย บนใบหน้าแฝงรอยคับข้องหมองใจสามส่วน แต่เห็นมารดาถลึงตาใส่ก็กลัวจะถูกตบหัวอีก เขารีบพูดเสียงรัวเร็ว “มีๆๆๆ มีชื่อของพี่ใหญ่ ซ้ำยังอยู่ด้านบนสุดด้วย ฮ่าๆ พอข้าไปถึงก็มองเห็นเลย…”

เพียงพูดถึงตรงนี้ คำพูดทวงความชอบด้านหลังก็ไม่มีคนฟังต่ออีก หลูซื่อโอบตัวหลูจื้อที่ตัวสูงเท่ากับนางแล้วเข้ามากอดหมับ พลางเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “ลูกชายคนเก่ง ลูกชายคนเก่งของแม่!”

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ต้องสอบผ่านแน่” อี๋อวี้ยิ้มจนตาหยีอยู่ด้านข้าง

ยามที่ชาวสกุลหลูทางนี้กำลังสุขสำราญบานใจ ฝูงชนอีกด้านหนึ่งกลับมีคนหมดสติถูกหามออกมามากมายหลายคน บ้างทนรับความสะเทือนใจไม่ไหวเพราะมีชื่ออยู่หลังซุนซาน บ้างกลับตื่นเต้นเกินไปเพราะมีชื่ออยู่บนแผ่นประกาศ กระนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การสอบระดับมณฑลทั่วแผ่นดินได้ยุติลงอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้สอบผ่านสามารถเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงไปรายงานตัวต่อผู้คุมสอบได้ ส่วนผู้สอบไม่ผ่านคงได้แต่รอลองใหม่อีกคราในปีหน้าแล้ว

หลังชาวสกุลหลูทั้งสี่กลับถึงเรือน มีเพื่อนบ้านไม่น้อยพากันมาถามไถ่ผลการสอบของหลูจื้อ เมื่อได้ยินว่าเขาสอบผ่านแล้ว ไม่ว่าในใจจะคิดเช่นใด ใบหน้าล้วนทอแววภาคภูมิใจไปด้วย

ผู้ใหญ่บ้านจ้าวถึงขั้นวิ่งกลับเรือนไปเชือดพ่อไก่ตัวหนึ่งส่งมาให้ ท่าทางยามสนทนากับหลูจื้อก็ไม่เหมือนพูดกับเด็กน้อยเฉกแต่ก่อน กลับแฝงความยกย่องเพิ่มขึ้นหลายส่วน

เพราะเรื่องที่หลูจื้อจวนเจียนจะเข้าเมืองหลวงเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการ ทำให้บรรยากาศในหมู่บ้านดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างไรชอบกล ทว่าขณะนี้หลูซื่อยังไม่มีเวลาขบคิดค้นหาความนัยที่แฝงเร้นอยู่นี้ นางกำลังวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมเงินติดตัวให้หลูจื้อหลูจวิ้นสองพี่น้อง ด้วยคราวนี้พวกเขาต้องออกเดินทางไกลตามลำพังเป็นครั้งแรก อีกทั้งเป็นเวลานานมาก ถึงแม้หลูซื่อวางแผนไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว แต่กว่าจะจัดเตรียมเสื้อผ้าเงินทองของบุตรชายสองคนได้พร้อมสรรพครบถ้วนก็เป็นเรื่องในอีกสี่วันให้หลัง

ช่วงหนึ่งคืนก่อนหน้าวันที่หลูจื้อจะเข้าสู่เมืองหลวง นอกจากพวกช่างกินไม่ช่างคิดอย่างหลูจวิ้น ราตรีนี้ชาวสกุลหลูอีกสามคนล้วนข่มตานอนไม่หลับ หลูซื่อลุกออกไปที่ลานเรือนตอนกลางดึก พบกับหลูจื้อที่ออกมาด้านนอกดุจเดียวกัน จึงพูดคุยกันอยู่ที่นั่น

ฝ่ายอี๋อวี้ถูกปลุกตื่นขึ้นตอนหลูซื่อขยับพลิกตัว หลังจากอีกฝ่ายออกไปนานพักใหญ่แล้วไม่เห็นกลับมาจนนางนึกฉงน ก็สวมรองเท้าจะออกไปดู คิดไม่ถึงว่าพอไปถึงหน้าประตูกลับได้ยินเสียงสนทนาของสองแม่ลูก ทีแรกนางไม่คิดจะแอบฟัง กำลังจะกลับไปที่เตียงดังเก่าเมื่อแน่ใจว่าไม่เกิดอะไรขึ้นกับหลูซื่อ แต่แล้วถ้อยคำหนึ่งที่ดังลอดออกจากปากของมารดากลับตรึงสองเท้าของนางไว้กับที่ประหนึ่งหยั่งรากลงพื้น

“ท่านพ่อคงจำหน้าเจ้าไม่ได้แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจ ตั้งใจสอบให้ดีเป็นพอ”

“จำหน้าได้แล้วจะมีอันใดขอรับ มิใช่ตัดพ่อตัดลูกกับข้าแล้วหรือ ตอนนี้เห็นทีเขาคงมีบุตรชายหลายคนแล้วเป็นแน่กระมัง”

“เจ้า…เจ้าอย่าพูดแบบนี้ ท่านพ่อเจ้าไม่ใช่คนพรรค์นั้น”

“ไม่ใช่คนพรรค์นั้น ไม่ใช่คนที่ทอดทิ้งภรรยาเพราะสตรีเจ้าเล่ห์ชั่วช้า ไม่ใช่คนที่จะสังหารบุตรชายภรรยาเอกเพราะบุตรชายของอนุอย่างนั้นหรือ…ท่านแม่ ท่านก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องลูกจะไม่ลืม ทั้งลืมไม่ได้แล้วก็ลืมไม่ลง”

“เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้ การที่แม่พูดอย่างนี้ เดิมอยากให้เจ้าทำใจให้สบาย กลับทำให้เจ้าร้อนรุ่มใจแทนเสียแล้ว”

“ท่านแม่ ลูกไม่ร้อนรุ่มใจขอรับ ลูกรู้ว่าตนเองสมควรทำอะไร ท่านวางใจได้ เกียรติยศศักดิ์ศรีที่ท่านแม่สูญเสียไป ลูกจะสร้างคืนกลับมาให้ท่านมากกว่าเดิมแน่นอนขอรับ”

“เด็กโง่ แม่ใช่คนที่เห็นแก่สิ่งเหล่านั้นหรือ ถ้าใช่ ไหนเลยจะ…เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว เรื่องที่แม่กำชับเจ้าไว้ ถึงเวลาเจ้าก็เชื่อฟังคำแม่ไปจัดการเสีย…รีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้ว”

หลูซื่อยังพูดปลุกปลอบหลูจื้อเบาๆ อีกครู่หนึ่ง ถึงแยกย้ายกันกลับเข้าเรือน

หลูซื่อขึ้นเตียงแล้วจับผ้าห่มบนตัวอี๋อวี้ให้เข้าที่ ก่อนจะหลับตาลงครุ่นคิดเรื่องที่อยู่ในใจพลางเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างช้าๆ จวบจนลมหายใจของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอทีละน้อย อี๋อวี้จึงหันหน้าไปมองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง กลางม่านรัตติกาลมืดสนิท ดวงตาทั้งคู่ที่ลืมขึ้นเปล่งประกายวาววาม มองใบหน้าของมารดาที่รางเลือนด้วยความรู้สึกสับสนปนเป

นางรู้มาโดยตลอดว่า ‘ท่านพ่อ’ คนนั้นเป็นส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความลับที่คนทั้งครอบครัวปิดบังนางไว้ และเพราะปกปิดอย่างมิดชิด นี่จึงเป็นคราแรกในระยะห้าปีมานี้ที่นาง ‘ได้ยิน’ เรื่องจริงๆ ของเขา ที่แท้ ‘ท่านพ่อ’ คนนั้นของนางยังไม่ตาย แล้วท่านแม่ก็ไม่ใช่หญิงม่าย!

ตัดพ่อตัดลูก ทอดทิ้งภรรยา จะสังหารบุตรชายแท้ๆ มันหมายความว่าอะไรกันนะ!

ที่แท้เบื้องหลังของความลับนี้เป็นเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ มิน่าทุกคนไม่เคยเอ่ยกับนางเลย

มิน่าเล่า…

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: