X
    Categories: JamsaiPerfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เองทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Perfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เอง บทที่ 9 – บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 24

บทที่ 9

จ้าวเหอผิงเป็นหัวหน้าคนใหม่แต่ไม่ได้มีความคิดที่จะแสดงอำนาจ เขายังคงทำตัวเหมือนทุกวัน

“เป็นเพราะสาเหตุบางประการทำให้ทุกอย่างล่าช้า ตอนนี้พวกเราจึงยังไม่ได้เลือกเฮดดีไซเนอร์ งานในหัวข้อ ‘ชีวิตใหม่’ จะต้องส่งเร็วๆ นี้ ฉะนั้นเรื่องเร่งด่วนก็คือต้องเลือกเฮดดีไซเนอร์ขึ้นมา” จ้าวเหอผิงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับไม่ได้มีความคิดที่จะใช้ความเป็นหัวหน้าแผนกเพื่อแย่งตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์นี้ “ทุกคนรีบเอาผลงานที่ตัวเองออกแบบส่งเข้าไปในระบบ ผมจะเอาไปสอบถามความคิดเห็นจากครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ การเลือกเฮดดีไซเนอร์จะพิจารณาจากผลงานในครั้งนี้และผลงานภาพรวมเมื่อซีซั่นที่แล้วประกอบกัน”

 

“เชอะ พูดซะน่าฟัง สุดท้ายตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์ก็ต้องตกเป็นของจ้าวเหอผิงอย่างแน่นอน” เมื่อประชุมเสร็จฉินย่าหนานก็อดที่จะโอดครวญกับเซียวเซียวไม่ได้

“นั่นก็ไม่แน่ น่าจะแข่งกันอย่างยุติธรรม จ้าวเหอผิงเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะ” เซียวเซียวอดที่จะแก้ต่างแทนจ้าวเหอผิงไม่ได้

“ทำไมแกถึงไร้เดียงสาอย่างนี้ ถ้าเขาไม่ได้วางแผนเอาไว้จะได้เป็นหัวหน้าเหรอ” ฉินย่าหนานเบะปากพูด

เซียวเซียวรู้สึกว่าฉินย่าหนานยังจมอยู่กับความพ่ายแพ้นั่น จึงได้เอ่ยปากปลอบใจออกไป “สบายใจได้ ชุดเดรสสุ่ยซานที่แกออกแบบสวยจะตาย จะเป็นเฮดดีไซเนอร์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

“จริงเหรอ” ฉินย่าหนานตาเป็นประกาย มีความมั่นอกมั่นใจขึ้นมาทันที เธอรู้สึกพอใจในผลงานการออกแบบชุดกระโปรงชุดนั้นเป็นอย่างมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเซียวเซียวพูดมีเหตุผล จึงรีบก้าวเท้าเร็วๆ ไปให้ทันจ้าวเหอผิงที่เดินอยู่ทางด้านหน้าและทำตัวสนิทสนมกับเขา

เซียวเซียวไม่ได้สนใจตำแหน่งหัวหน้าแผนก แต่เธอเองมีความคาดหวังกับตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เพราะเฮดดีไซเนอร์จะได้เงินอินเซ็นทีฟจากผลงานเป็นสามเท่าหรือมากกว่านั้น ตอนนี้ยิ่งมีที่ละลายทรัพย์อย่างซังอวี๋ด้วยแล้ว เธอจึงต้องให้ความสำคัญกับการหาเงินมากขึ้น

แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าการหาเงินก็คือพรุ่งนี้เป็นวันที่จะต้องไปตรวจร่างกายซ้ำ

ในขณะที่เป็นโรคเอสแอลอี เธอจะต้องไปตรวจร่างกายซ้ำที่โรงพยาบาลทุกเดือนเพื่อเป็นการเฝ้าระวังไม่ให้อาการกำเริบ พูดถึงการตรวจร่างกายซ้ำก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแค่เจาะเลือดไปตรวจเท่านั้น แต่ปัญหาอยู่ที่เซียวเซียวกลัวการเจาะเลือด

สำหรับเธอแล้วทุกครั้งที่ต้องเจาะเลือดก็ไม่ต่างกับการไปออกรบ ไปออกรบต้องเตรียมตัวให้พร้อม และยังต้องมีเพื่อนร่วมรบด้วย

“ซังอวี๋สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ” เสียงของเถียนเถียนลอยมาตามสายโทรศัพท์

“ฉันอยากจะนัดหมายบริการนอกสถานที่” เซียวเซียวกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นเต้น

“ได้ค่ะ ในเดือนนี้คุณมีโควตาในการนัดหมายสามครั้ง ได้ตัดครั้งนี้ไปหนึ่งครั้ง ไม่ทราบว่าต้องการนัดหมายกับท่านไหนคะ” เถียนเถียนดูหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก็รู้ว่าเป็นเซียวเซียวจึงได้ดึงข้อมูลจากระบบขึ้นมา

“จั่นหลิงจวิน”

ที่เธอหน้าด้านหน้าทนจนเอาบัตรวีไอพีมาได้ก็เพื่อบริการนอกสถานที่สามครั้งฟรีๆ นี่แหละ

เดิมทีเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องอาการป่วยของตัวเอง ทุกครั้งที่ต้องตรวจร่างกายซ้ำก็จะมีเหลียงจิ้งเหยาไปเป็นเพื่อน แต่เหลียงจิ้งเหยาก็มีงานของตัวเอง และการตรวจเลือดต้องเป็นวันทำงานปกติ เซียวเซียวเกรงใจที่จะต้องเรียกเหลียงจิ้งเหยาไปเป็นเพื่อนทุกครั้ง คราวที่แล้วเธอทำใจกล้าไปเอง ผลก็คือเจาะเลือดไปได้ครึ่งทางก็หน้ามืดหมดสติจนถูกพาไปส่งห้องฉุกเฉิน ต้องให้ออกซิเจนอยู่ครึ่งวันถึงจะอาการดีขึ้น

หลังจากที่นัดหมายสำเร็จก็มีสายจากจั่นหลิงจวินเข้ามา

เซียวเซียวเกือบจะถือโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่จั่นหลิงจวินโทรมาหาเธอ เซียวเซียวทบทวนคำพูดที่ฝึกไว้แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกดรับโทรศัพท์

“คุณนัดผมใช่ไหม” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดลอยผ่านโทรศัพท์ออกมา แล้วยังมีความรู้สึกที่คลุมเครือนั่นอีก รวมทั้งคำถามที่เหมือนมีความนัยเช่นนี้ล้วนทำให้ใจเธอเต้นเร็วผิดปกติอย่างช่วยไม่ได้

“อืม ใช่” เซียวเซียวเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง เมื่อพูดออกไปแล้วทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับกำลังนัดเดตกับเขาอยู่

“คุณต้องการบริการแบบไหน” จั่นหลิงจวินคิ้วกระตุกเบาๆ คิดถึงเซียวเซียวที่ทำแก้มเหมือนกับกระรอกแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เดิมเขาคิดว่าเธอคนนี้ต้องการบัตรวีไอพีเพื่อไปรู้จักคนที่ชั้นสาม ไม่คิดว่าจะเพื่อนัดหมายบริการนอกสถานที่ ประเด็นคือโรคของเธอต้องนัดนอกสถานที่ไปทำไมกัน

“ฉันมีนัดติดตามอาการที่โรงพยาบาลเหรินหมินวันพรุ่งนี้ตอนแปดโมงตรง” เซียวเซียวเดินวนอยู่ที่เดิมอย่างกระวนกระวายใจ “ฉันอยากจะให้คุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ใช้เวลาไม่นานมาก ขั้นตอนทั้งหมดก็ประมาณหนึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วฉันจะเลี้ยงข้าวคุณนะ”

“ได้” จั่นหลิงจวินไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเอ่ยตอบรับในทันที

ทั้งสองจึงนัดสถานที่และเวลาที่จะเจอกันก่อนจะวางสายไป

จั่นหลิงจวินนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นหนังสือออกมา เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ ชื่อหนังสือแปลได้ว่า ‘การลดผลข้างเคียงของสเตียรอยด์และการฟื้นฟูสุขภาพ’ เมื่อเลิกงานเขาก็นำบันทึกผู้ป่วยของเซียวเซียวติดมือออกไป และหยิบลูกอมรสผลไม้ที่อยู่ในถาดหน้าเคาน์เตอร์ไปด้วย

ถึงจะเป็นเวลาแปดโมงเช้า แต่โรงพยาบาลเหรินหมินก็มีคนมากมายเต็มไปหมดแล้ว จั่นหลิงจวินในชุดสบายๆ ยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาล ลักษณะท่าทางสะอาดสดใสเมื่อเทียบกับคนที่อยู่รอบๆ ซึ่งหน้าตาเหนื่อยล้าก็ยิ่งทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน ราวกับเทพบุตรที่หลงเข้ามาในโลกมนุษย์ คนที่ผ่านไปมาบ้างก็ถือถุงพลาสติกดูน่าเกลียด แต่เขาถือกระเป๋าโน้ตบุ๊กขนาดย่อมเหมือนกับมาโรงพยาบาลเพื่อคุยธุรกิจ

โดดเด่นขนาดนี้ต่อให้เซียวเซียวคิดจะมองไม่เห็นก็คงยาก เธอมองหาเขาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะจับมือของเขาแล้วพาวิ่งเข้าไปข้างใน

“เร็วเข้า ฉันจองคิวหมอเฉพาะทางไว้ ต้องไปรับบัตรคิวถึงจะได้เจอหมอเร็วหน่อย จะได้เจาะเลือดก่อนเก้าโมง”

ทางห้องแล็บมีเงื่อนไขว่าถ้าเจาะเลือดก่อนเก้าโมงเช้าผลจะออกตอนบ่าย ถ้าเจาะเลือดหลังจากนั้นก็ต้องรอผลวันถัดไป แพทย์เฉพาะทางไม่ได้ออกตรวจทุกวัน ถ้าวันนี้ไม่ได้ผลเลือด อาทิตย์นี้ก็ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ดูผลเลือดอีกครั้งซึ่งจะยุ่งยากมาก

ตอนที่เซียวเซียวมาหาหมอครั้งแรกนั้นเธอนัดหมายพบแพทย์เฉพาะทาง เมื่อตรวจแล้วพบว่ามีโอกาสเป็นโรคเอสแอลอีสูงจึงต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที แพทย์คนที่รับตรวจคนไข้ก็จะเป็นแพทย์ประจำตัวของคนไข้ ดังนั้นแพทย์ประจำตัวของเธอจึงเป็นคุณหมอหลี่กั๋วต้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลเหรินหมิน

ในฐานะที่เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านโรคไขข้ออักเสบ หลี่กั๋วต้งจึงมีคนไข้เต็มตลอด ยังดีที่เซียวเซียวเป็นคิวนัดติดตามอาการ การนัดหมายจึงถูกจัดไว้ก่อนคนไข้ใหม่ ทำให้เธอสามารถเข้าไปตรวจได้ตั้งแต่ตอนแปดโมงสิบนาที

หลี่กั๋วต้งเป็นคุณหมอสูงอายุผมสีดอกเลาหน้าตาใจดี เวลานี้กำลังยิ้มทักทายเรียกให้คนไข้นั่ง ทว่าเมื่อเขามองเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเซียวเซียว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป “นี่เป็นญาติของคุณเหรอ”

“เอ่อ…ใช่ค่ะ” เซียวเซียวรีบพยักหน้า ในห้องตรวจจะอนุญาตเพียงแค่คนไข้และญาติเท่านั้นที่เข้ามาได้

เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งหลี่กั๋วต้งและจั่นหลิงจวินก็ทำสีหน้าประหลาดขึ้นมาพร้อมกัน

“ลูกค้าของผมครับ” จั่นหลิงจวินอธิบายเรียบๆ ก่อนจะวางโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กไว้บนโต๊ะแล้วลากเก้าอี้มานั่ง “เชิญท่านตามสบายครับ”

“พวกคุณ…รู้จักกันเหรอ” เซียวเซียวมองกลับไปกลับมาอย่างเงอะงะ

‘คุณปู่ของหลี่เหมิง’ จั่นหลิงจวินขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียง

เซียวเซียวตกใจตาโต

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูกค้า’ หลี่กั๋วต้งก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงหันไปมองเซียวเซียว “เป็นไงบ้าง ช่วงนี้ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า”

“ไม่ค่ะ มีแต่หน้าที่บวมขึ้นทุกวัน” เซียวเซียวเอามือกุมใบหน้าอย่างกังวลใจ

“หน้าใหญ่แล้วไม่ดียังไง ตามหลักโหงวเฮ้ง หน้าใหญ่ถึงจะส่งเสริมสามี” หลี่กั๋วต้งพูดพร้อมกับยิ้มจนตาหยี จากนั้นก็เขียนใบสั่งตรวจเลือดห้าใบ “ไปตรวจเลือดสักหน่อย ตอนบ่ายได้ผลแล้วค่อยมาพบผมอีกที”

“ผมมีคำถามอยากจะสอบถามสักหน่อยครับ” จั่นหลิงจวินทำท่าบอกให้เซียวเซียวไม่ต้องรีบร้อน แล้วหันไปพูดกับคุณปู่ของหลี่เหมิง

“ว่ามา” หลี่กั๋วต้งตอบกลับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการจะเสวนากับเขา

“ตอนที่เธออยู่โรงพยาบาล ท่านฉีดสเตียรอยด์ให้เธอเท่าไหร่ครับ” จั่นหลิงจวินถามไปพร้อมกับพิมพ์โน้ตบุ๊กไปด้วย

“ตอนที่อยู่โรงพยาบาลก็วันละขวด ปริมาณเท่าไหร่จำไม่ค่อยได้ แต่นายไปที่ชั้นหนึ่งขอพิมพ์รายการยาช่วงที่แอดมิตออกมาได้” เมื่อพูดถึงเรื่องการรักษาหลี่กั๋วต้งก็จริงจังขึ้นมา

“ผมดูยาตอนออกจากโรงพยาบาลของเธอแล้ว เดือนแรกกินเพรดนิโซน แล้วทำไมต่อมาถึงเปลี่ยนมาใช้เมทิลเพรดนิโซโลน” จั่นหลิงจวินเงยหน้าขึ้นมองหลี่กั๋วต้งนิ่งๆ เนื่องจากเพรดนิโซนราคาถูกมาก หนึ่งร้อยเม็ดราคาเพียงห้าหยวนเท่านั้น แต่เมทิลเพรดนิโซโลนราคาแพงมาก ราคาเม็ดละหนึ่งหยวน

“เจ้าเด็กนี่! นี่คิดว่าฉันเจตนาจ่ายยาแพงให้คนไข้งั้นรึ” หลี่กั๋วต้งขมวดคิ้ว “เพรดนิโซนมันทำลายตับ เธอกินไปแล้วเดือนหนึ่ง เอ็นไซม์ทรานซามิเนส อยู่ในระดับที่ผิดปกติ ฉันสอบถามฐานะทางการเงินของเธอแล้วว่าสามารถรับได้จึงเปลี่ยนเป็นเมทิลเพรดนิโซโลน”

จั่นหลิงจวินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับอาการโกรธของหลี่กั๋วต้ง ยังคงถามต่ออีกหลายคำถามที่เกี่ยวกับการแพทย์ซึ่งเซียวเซียวฟังไม่รู้เรื่อง เธอได้แต่ยิ้มขอโทษให้กับหลี่กั๋วต้งแล้วแอบดึงเสื้อจั่นหลิงจวินโดยหวังว่าเขาจะพูดให้น้อยลงหน่อย

ต่อไปเธอยังจะหวังให้คุณหมอหลี่กั๋วต้งรักษาเธอได้อีกไหม นายคนนี้ทำอีกฝ่ายโมโหขนาดนี้แล้วต่อไปเธอจะทำอย่างไรดี

ยังดีที่จั่นหลิงจวินถามครบทั้งห้าคำถามแล้วถึงได้เลิกรา เขาลุกขึ้นโค้งขอบคุณหลี่กั๋วต้งที่ให้คำอธิบายอย่างอดทน

หลี่กั๋วต้งถอนหายใจแรงๆ “นายนี่นะ เป็นหมอดีๆ ไม่ชอบ กลับไปเป็นหมอฟื้นฟูอะไรนั่น ตอนแรกเรียกให้นายมา นายไม่มาก็แล้วไป ยังจะหลอกล่อเอาตัวเหมิงเหมิงของฉันไปอีก” เขามองจั่นหลิงจวินด้วยความรู้สึกเหมือนกับมองหยกชั้นดีที่ถูกเอาไปทำเป็นเก้าอี้นั่งอย่างน่าเสียดาย

“โรคที่รักษาได้ช้า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต้องอาศัยการดูแลรักษาหลังออกจากโรงพยาบาล มีผมดูแลอยู่ ท่านไม่รู้สึกวางใจขึ้นมากหรอกเหรอครับ” จั่นหลิงจวินหยิบใบสั่งตรวจเลือดของเซียวเซียวขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่กั๋วต้งแล้วพาเซียวเซียวออกไป

หลี่กั๋วต้งมองตามหลังจั่นหลิงจวินไปพลางโมโหกัดฟันไป “เจ้าเด็กนี่…” แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา

การรักษาฟื้นฟูไม่ได้แพร่หลายในประเทศจีนเท่าไรนัก ถ้าทุกเขตมีศูนย์ฟื้นฟูแบบซังอวี๋แล้วล่ะก็ คุณภาพชีวิตของคนในประเทศคงดีขึ้นอีกหลายระดับ หมออย่างพวกเขาก็ไม่ต้องเสียใจและเศร้าใจกับคนไข้ที่ไม่ฟังคำของหมอแล้วทำร้ายตัวเองไปอีก

 

ห้องเจาะเลือดมีคนมาต่อแถวยาวมาก ช่องที่ให้บริการสิบกว่าช่องก็เสียงดังอึกทึก

ยังไม่ถึงคิวตัวเองเซียวเซียวก็เริ่มเครียดขึ้นมาแล้ว

“โอ๊ย!” จู่ๆ ลุงที่อยู่ด้านหน้าก็ร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ทำเอาเธอสะดุ้งตกใจขึ้นมา

จั่นหลิงจวินเดินขึ้นไปข้างหน้ามองเจ้าหน้าที่ที่เจาะเลือด เขาขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วเหลือบตาไปมองจ้องข้างๆ จากนั้นก็ดึงเซียวเซียวมาเข้าแถวอีกแถว

“ทำไมเหรอ” เซียวเซียวถามเสียงเบา

“คนนั้นแทงเข็มไม่ดี” จั่นหลิงจวินกระซิบข้างหูเธอเบาๆ

ไอร้อนที่มีกลิ่นมิ้นต์หอมๆ พุ่งมาที่ใบหูจนรู้สึกจั๊กจี้ ใบหูของเซียวเซียวแดงขึ้นมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ ขณะนั้นก็พลันลืมความเครียดไปเลย

ในที่สุดก็ถึงคิวของเซียวเซียว เธอนั่งลงบนเก้าอี้ก็เห็นพยาบาลอายุประมาณสามสิบปี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจั่นหลิงจวินถึงรู้ว่าพยาบาลคนนี้เจาะเลือดดีหรือไม่ แต่เพราะเชื่อมั่นในตัวเทพบุตรตรงหน้าอย่างไม่ลืมหูลืมตาจึงทำให้เธอถลกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วยื่นแขนไปวางลงด้านหน้าทันใด

เมื่อเข็มเย็นๆ สัมผัสที่แขน เซียวเซียวก็หลับตาปี๋รออย่างสั่นๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรเข็มจะเจาะลงไป

“เซียวเซียว” อยู่ๆ จั่นหลิงจวินก็เรียกชื่อเธอ

ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อเธอเต็มๆ เซียวเซียวเงยหน้ามองเขาแล้วขานรับ “หือ?”

“คุณชอบกินลูกอมรสผลไม้ไหม” จั่นหลิงจวินถามพร้อมกับล้วงลูกอมรสผลไม้เนื้อใสๆ ออกมา

จู่ๆ ความสุขก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เซียวเซียวยังงงๆ แต่ก็พยักหน้าตอบรับ “ก็…ก็ชอบนะ…”

ดวงตาของจั่นหลิงจวินมีรอยยิ้ม เขาวางโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กของเขาไว้บนเคาน์เตอร์หินอ่อน ค่อยๆ แกะเปลือกลูกอม นิ้วเรียวยาวจับมุมกระดาษแก้วแล้วค่อยๆ คลี่ออก เผยให้เห็นลูกอมเม็ดกลมๆ ใสๆ ที่อยู่ด้านใน ก่อนจะยื่นลูกอมนั้นมาที่ปากของเซียวเซียว

ด้วยความมีอนามัยของคุณหมอ เขาจึงไม่ได้ใช้นิ้วมือจับลูกอมตรงๆ แต่ใช้กระดาษห่อจับแทน ทว่าตอนที่ลูกอมสัมผัสกับริมฝีปากเธอก็ยังสัมผัสโดนนิ้วมือเรียวยาวของเขา

ปลายนิ้วที่อบอุ่นและแห้งกร้านเหมือนกับเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า ทำเอาตัวเธอแข็งทื่อไปเลย

รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ของลูกอมที่ละลายอยู่ในปากราวกับสามารถแทรกซึมจากปากหวานเข้าไปถึงหัวใจได้ เซียวเซียวมองเห็นสายตาอิจฉาของสาวๆ ที่อยู่รอบๆ พลางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยขึ้นฟ้า

“เสร็จแล้วค่ะ” พยาบาลที่อยู่ด้านหน้าพูดขึ้น ก่อนจะส่งสำลีก้อนให้เธอกดปากแผลไว้

เอ๋? นี่เจาะเลือดเสร็จแล้วเหรอ เจาะตอนไหนเนี่ย

เซียวเซียวมองหลอดเลือดห้าหลอดที่มีป้ายปิดอยู่ แล้วก็มองข้อพับแขนของตัวเอง รู้สึกเหมือนกับตัวเองก้าวข้ามผ่านมิติเวลาไป จากตอนที่ยังไม่ได้เจาะเลือดมายังตอนที่ผ่านการเจาะเลือดไปแล้ว

“อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นมา รอสักสามถึงห้าวินาที” จั่นหลิงจวินเอากระดาษห่อลูกอมไปทิ้งถังขยะแล้วกลับมาหยิบโน้ตบุ๊กถึงค่อยดึงมือเซียวเซียวให้ลุกขึ้น จากนั้นก็พาเธอเดินออกจากห้องเจาะเลือด

“คุณดูแฟนเขาสิ ทำไมคุณถึงไม่เอาลูกอมมาให้ฉันบ้างนะ” ด้านหลังหญิงสาวกำลังตัดพ้อแฟนหนุ่มที่อยู่ข้างๆ

“ผมต้องรีบนั่งรถเมล์รอบเช้ามาเป็นเพื่อนคุณ แม้แต่ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน แล้วคุณเองก็ไม่เคยพูดว่าจะกินลูกอมด้วย” ชายหนุ่มเริ่มเถียงหญิงสาวขึ้นมา

“คุณไม่มีเซ้นส์เลยรึไง ตอนเจาะเลือดน้ำตาลก็จะตก ถ้าได้กินน้ำตาลเข้าไปก็จะไม่หน้ามืดง่ายๆ”

ขณะที่เซียวเซียวอมลูกอมรสส้มพลางฟังทั้งสองคนเถียงกันอยู่นั้นก็อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ “คุณเอาลูกอมมาจากไหน” คุณหมอจั่นที่ใช้ชีวิตมีระเบียบอย่างกับคนแก่ไม่น่าจะมีลูกอมติดตัวนี่นา

“เมื่อวานตอนเลิกงานแอบขโมยมาจากหน้าเคาน์เตอร์น่ะ” จั่นหลิงจวินพูดอย่างสบายๆ

“…” ทว่าคำตอบที่ไม่คาดคิดนี้กลับทำให้เซียวเซียวหมดคำพูดไปทันใด

เมื่อพูดว่าจะเลี้ยงข้าวจั่นหลิงจวิน แน่นอนว่าเซียวเซียวย่อมไม่ผิดคำพูด แล้ววันนี้ก็ไม่ได้เป็นลมเพราะเจาะเลือด ที่สำคัญเจาะเลือดก็ไม่เจ็บสักนิด เธอจึงต้องขอบคุณเขาให้เต็มที่ จากที่เดิมทีตั้งใจไว้ว่าจะเลี้ยงน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็เลยเปลี่ยนเป็นอาหารเช้าแบบกวางตุ้งแทน

ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านอาหารเช้าที่หรูหรา มองหาโต๊ะที่ติดหน้าต่างแล้วนั่งลง

“เทคนิคของพยาบาลคนนั้นเยี่ยมมาก ฉันไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย คุณรู้ได้ยังไงว่าเขามีเทคนิคดีอย่างนี้” เซียวเซียวเทน้ำชาให้จั่นหลิงจวินพร้อมกับถามอย่างอยากรู้

“ดูวิธีการแล้วก็อายุ” จั่นหลิงจวินก้มหน้าลงตอบข้อความทางโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็คว่ำโทรศัพท์วางไว้บนโต๊ะ ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว เขาจึงเริ่มตอบข้อความจากลูกค้า “คนที่สวมชุดสีชมพูทั้งชุดดูเด็กๆ หน่อยจะเป็นพยาบาลฝึกหัด ไม่มีประสบการณ์เท่าไหร่ แต่ถ้าอายุเยอะก็จะสายตายาว เจาะไม่แม่น”

เซียวเซียวพยักหน้าตามเมื่อได้ยินพลางตั้งใจจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจ

เมื่อติ่มซำมาเสิร์ฟที่โต๊ะแล้วเซียวเซียวก็รีบคีบฮะเก๋ามากิน เพิ่งเสียเลือดไปตั้งห้าหลอด เธอต้องบำรุงสักหน่อย

“ที่คุณกลัวเข็มเป็นความฝังใจในวัยเด็กหรือ” จั่นหลิงจวินเองก็คีบมากินบ้าง

“อืม ตอนประถมต้องตรวจไวรัสตับอักเสบบี โดนเหล็กสามแฉกแทงที่นิ้ว แทงเข้าไปลึกมากจนเลือดไหลทะลักออกมา ตอนนั้นฉันเป็นลมไป จากนั้นก็มีอาการแบบนี้ติดตัวมา” แม้จะผ่านมานานมากแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อคิดถึงเซียวเซียวก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เลย

เหล็กสามแฉก?!

จั่นหลิงจวินกระตุกมุมปาก ไม่คิดจะแก้ไขคำพูดของเซียวเซียวที่เรียกเข็มเจาะเลือดผิด “โรคกลัวของมีคมสามารถรักษาได้ด้วยการทำให้คนไข้ผ่อนคลายแล้วค่อยเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว”

“ฉันไม่ได้เป็นโรคกลัวของมีคม แค่กลัวเข็มฉีดยาต่างหาก” เซียวเซียวส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันเป็นช่างเย็บผ้า จะกลัวเข็มกลัวของมีคมได้ยังไง”

จั่นหลิงจวินเห็นด้วยจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

เพราะเขามาด้วยเซียวเซียวที่เจาะเลือดเสร็จแล้วจึงยังร่าเริงได้เหมือนเดิม เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้วก็กลับไปทำงานต่อได้ และเพื่อให้เป็นไปตามหลักของการบริการที่ดี จั่นหลิงจวินจึงจะขับรถไปส่งเซียวเซียวที่บริษัท

“ว้าว รถคันนี้สวยจริงๆ” เซียวเซียวจ้องมองรถซูเปอร์คาร์ที่อยู่ตรงหน้าจนเกือบจะทำน้ำลายหก รถแบบนี้ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก

เซียวเซียวก็พอจะมีความรู้อยู่บ้าง จำได้ว่ารถรุ่นนี้เป็นรถเมื่อสิบปีก่อน ผลิตออกมาน้อยมาก จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนมากมายอยากจะเป็นเจ้าของ

เมื่อก่อนเธอมีความคิดว่าถ้าตัวเองสามารถเป็นดีไซเนอร์ที่ยิ่งใหญ่ได้แล้วก็จะเก็บเงินซื้อรถซูเปอร์คาร์เท่ๆ แบบนี้สักคัน

แต่ทว่า… มองรถซูเปอร์คาร์ที่โดดเด่น แล้วก็มองคนที่นิ่งๆ อย่างจั่นหลิงจวิน บุคลิกแบบนี้ดูยังไงก็ไม่เข้ากัน

“รถพี่ชายน่ะ รถผมส่งไปซ่อม” จั่นหลิงจวินลูบฝากระโปรงหน้าเบาๆ ราวกับกำลังลูบหัวหลานชายที่พี่ชายทิ้งไว้ให้ดูแลด้วยความรักใคร่และเอ็นดู

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เพื่อบริการลูกค้าวีไอพีเขาจึงยอมขับรถของพี่ชายมา เป็นการบริการที่ช่างน่าประทับใจเสียจริง

เซียวเซียวขึ้นไปนั่งบนรถ รู้สึกว่าตัวเองได้กำไรอย่างมาก

จั่นหลิงจวินนั่งอยู่ด้านคนขับ เขาปิดประตูแล้วหยิบแว่นกันแดดออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผม จากคุณหมอมาดเคร่งขรึมก็พลันเปลี่ยนเป็นนักซิ่งในทันที

“…” เซียวเซียวอ้าปากค้าง

แค่เปลี่ยนรถเท่านั้น ไม่ต้องทำทุกอย่างให้กลมกลืนเข้ากันไปหมดก็ได้นะ

“นั่งดีๆ นะ” จากนั้นจั่นหลิงจวินก็เหยียบคันเร่ง รถซูเปอร์คาร์พุ่งออกไปด้วยกำลังแรงม้าเต็มที่

 

แม้ว่าจะทำท่าเหมือนพวกนักซิ่ง แต่จั่นหลิงจวินก็ยังคงเป็นจั่นหลิงจวินคนเดิม ขับรถซิ่งเหมือนกับขับรถตู้ ยังคงรักษาความเร็วสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมงที่อยู่ในเมือง ก่อนจะมาจอดอย่างนิ่มๆ ที่หน้าตึกบริษัทแอลวาย

“ว้าว มาดูเร็ว รถโคตรเท่เลย” เสี่ยวหวังกำลังยืนกินนมเปรี้ยวอยู่ที่ริมหน้าต่าง เขามองเห็นรถที่เงาวับจนแสบตาคันนั้นพลางร้องตะโกน

“ไหนดูซิ” จ้าวเหอผิงแทรกเข้ามาทันที

เมื่อเห็นหัวหน้าแผนกวิ่งมาแล้วคนอื่นๆ ก็พากันลุกขึ้นมาดู

“เฮ้อ…เศรษฐี” ทุกคนรู้สึกปลงเหมือนกัน ดีไซเนอร์กระจอกๆ อย่างพวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสได้ขับรถแบบนี้บ้าง

ฉินย่าหนานพยายามชะเง้อมอง อยากจะรู้ว่าใครเป็นคนขับรถคันนี้ มาจอดที่นี่ก็น่าจะเป็นคนที่รู้จักบริษัท

“ขอบคุณนะ” ยามนั้นเองเซียวเซียวก็หยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมาแล้วหันไปขอบคุณจั่นหลิงจวิน ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

“อย่าลืมล่ะว่าบ่ายสามต้องไปรับผลเลือดด้วย” จั่นหลิงจวินถอดแว่นกันแดดออกพลางหันมาย้ำกับเธอ

“อืม ฉันจำได้” เซียวเซียวก้มตัวลงเท้าประตูรถแล้วตอบกลับไป

“ทะ…ที่แท้ก็มาส่งเซียวเซียว!” ผู้ช่วยคนหนึ่งยกมือวางทาบไว้ที่อกพร้อมกับร้องออกมาด้วยความอิจฉา

“นี่เซียวเซียวจะแต่งงานกับไฮโซเหรอ” จ้าวเหอผิงเอาหน้าแนบไปที่กระจกราวกับอยากจะกระโดดลงไปดูให้ชัดๆ ใจจะขาด

 

ในห้องทำงานของซีอีโอที่ชั้นห้า โจวไท่หรานกำลังยกกาแฟขึ้นดื่มอย่างช้าๆ แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสีแดงสดที่ชั้นล่างของตึก ปลายนิ้วถึงกับกระตุก กาแฟร้อนๆ กระฉอกหกออกมาเลอะเสื้อเขาทันที “บ้าเอ๊ย!”

โจวไท่หรานเช็ดรอยเลอะพลางเดินไปที่หน้าต่างอย่างรวดเร็ว เขาจ้องมองรถซูเปอร์คาร์คันนั้นเพื่อให้แน่ใจถึงรุ่นรถ ก่อนจะไม่สนว่าเสื้อเชิ้ตยังเลอะอยู่หันหลังวิ่งลงไปชั้นล่างทันที

เซียวเซียวเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ก็ชนกับซีอีโอที่วิ่งลงมาพอดี

“คุณโจว เป็นอะไรรึเปล่าคะ” เซียวเซียวเซไปเล็กน้อยพลางมองตามสายตาของโจวไท่หรานที่มองออกไป ตรงที่ที่เคยมีรถซูเปอร์คาร์สีแดงจอดอยู่ตอนนี้โล่งว่างไม่เห็นแม้แต่เงา

“รถซูเปอร์คาร์คันเมื่อกี้เป็นของใคร” โจวไท่หรานมองหาด้วยความร้อนรน

“ของเพื่อนน่ะค่ะ ทางผ่านเลยมาส่งฉันทำงาน” เซียวเซียวมองปฏิกิริยาของซีอีโอด้วยความแปลกใจ

โจวไท่หรานอึ้งไปครู่หนึ่งราวกับเพิ่งได้สติจากความฝัน เขายืนนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วก็ฉีกยิ้มเศร้าๆ ประชดตัวเอง ก่อนจะหันกลับเข้าไปในบริษัท ไม่พูดอะไรกับเซียวเซียวอีกแม้แต่คำเดียว

หมอนี่…ประสาทแล้วมั้ง

เซียวเซียวเดินเข้าห้องออกแบบอย่างงงๆ เพื่อนๆ ต่างพากันเข้ามารุมล้อมถาม

“เซียวเซียว คนเมื่อกี้ใครอ่ะ”

“ใช่แฟนหรือเปล่า”

“นี่เธอกำลังจะเดินไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วนะ”

แฟน…ฉันน่ะยินดี แต่เขาไม่ยินดีด้วยน่ะสิ

เซียวเซียวเบ้ปาก “อย่าพูดซี้ซั้วน่า เป็นเพื่อนกันธรรมดาเฉยๆ”

“เพื่อนธรรมดาเหรอ” ฉินย่าหนานกลอกตาไปมา เอ่ยถามพร้อมกับหัวเราะ “หล่อไหม ถ้าหล่อก็แนะนำให้ฉันนะ”

เซียวเซียวก้มหน้ามองตาตี่ๆ คางสั้นๆ ของฉินย่าหนาน เธอจะทำใจแนะนำจั่นหลิงจวินให้อีกฝ่ายรู้จักได้อย่างไร ก่อนจะตอบไปแบบส่งๆ “ฉันไม่ได้สนิทกับเขาสักเท่าไหร่ ถ้ามีโอกาสค่อยว่ากันอีกที”

เมื่อเดินมาที่โต๊ะทำงาน เซียวเซียวจึงเอารูปที่ออกแบบไว้เมื่อวานมาแก้ไขรายละเอียดแล้วส่งเข้าไปในระบบ

บริษัทแอลวายมีระบบตรวจสอบการออกแบบ เมื่อแบบถูกส่งมาแล้วก็จะมีแต่ผู้ที่มีสิทธิ์ถึงจะเปิดดูได้ โดยปกติก็จะมีเพียงผู้บริหารกับดีไซเนอร์ระดับหัวหน้าเท่านั้น เป็นการป้องกันงานออกแบบถูกขโมยลอกเลียนแบบที่ดีที่สุด

เมื่อจ้าวเหอผิงได้รับแบบที่ส่งมาจากเซียวเซียวก็รีบทวงให้คนอื่นๆ เร่งมือให้เร็วขึ้น

ฉินย่าหนานส่งแบบเข้าระบบไปแล้วก็ฮัมเพลงอย่างสบายใจ ชุดเดรสสุ่ยซานของเธอได้รับคำชื่นชมจากทุกคน ทำให้เธอมั่นใจว่าจะต้องได้ตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์

จ้าวเหอผิงแตกต่างจากหัวหน้าคนก่อนๆ คนก่อนหน้าฟางเซี่ยงเฉียนเป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ ฝีมือการออกแบบย่อมดีกว่าพวกเขามาก จึงได้เป็นเฮดดีไซเนอร์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับจ้าวเหอผิง เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์ งานที่ออกมาก็จะดูเป็นระเบียบและอยู่ในกรอบ หลายปีมานี้ถึงได้เป็นแค่ดีสอง ไม่สามารถขึ้นเป็นเอสหนึ่งได้เสียที

จ้าวเหอผิงเองก็ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าตัวเองเป็นหัวหน้าแผนกก็มีเรื่องเยอะแยะมากมายให้จัดการจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ไม่มีความสามารถที่จะไปเป็นเฮดดีไซเนอร์ได้

 

หลังจากที่จ้าวเหอผิงได้ดูแบบของทุกคนแล้วก็ต้องกุมศีรษะเลยทีเดียว

‘ชุดเดรสสุ่ยซาน’ เหมาะกับหัวข้อครั้งนี้มาก โดยเฉพาะความสามารถในการนำดอกซานซู่มาใช้ด้วยแล้ว ในห้องออกแบบไม่มีใครทำได้ดีเท่ากับฉินย่าหนาน เขาเองก็ชื่นชอบความคิดสร้างสรรค์นี้มากและอยากจะให้อยู่ในการออกแบบของซีซั่นนี้ แต่การออกแบบของเซียวเซียวมีความหลากหลายมากกว่า เธอดัดแปลงใบเหอฮวนให้เป็นลายเส้นที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปได้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ผลงานของเธอก็ไม่ได้มีเพียงกระโปรงตัวนี้เท่านั้น ยังมีทั้งจัมพ์สูท กางเกงขาสั้น เสื้อแขนยาว กระโปรงสั้น…

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่ส่งแบบมาเพียงสองสามแบบ เซียวเซียวส่งมาทั้งหมดแปดแบบ ทุกแบบมีความแตกต่างกัน มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ที่น่าแปลกก็คือมีความเป็นหนึ่งเดียว ดูแล้วเป็นเสื้อผ้าในซีรี่ส์เดียวกัน

จ้าวเหอผิงรู้ว่าความสามารถของตัวเองมีจำกัด ไม่อาจตัดสินใจได้ จึงส่งผลงานของทั้งคู่ขึ้นไปให้ผู้บริหารพิจารณา

หลังจากที่อเดอลีนได้ดูงานของทั้งคู่แล้ว เธอเองก็ชอบ ‘ชุดเดรสสุ่ยซาน’ มากเช่นกัน แต่เมื่อต้องพิจารณาในภาพรวมแล้ว การเลือกคนที่มีความสามารถรอบด้านอย่างเซียวเซียวดูจะเหมาะสมกว่า

“ไม่อย่างนั้นก็เรียกประชุมกันหน่อยไหม ให้สองคนนั้นนำเสนอผลงานของตัวเองแล้วค่อยตัดสินใจอีกที” หลินซือหย่วนที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดออกมา เขาหยิบรูปชุดเดรสสุ่ยซานขึ้นมาชื่นชม “งานนี้มันวิเศษมาก”

อเดอลีนได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกเสียดายดอกซานซู่ในชุดเดรสสุ่ยซาน เพราะถ้าเลือกให้เซียวเซียวเป็นเฮดดีไซเนอร์ก็จะต้องตัดงานชิ้นนี้ออกไป เนื่องจากมันไม่เข้ากับงานของเซียวเซียว

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้สองคนนั้นมาพรีเซนต์แล้วกัน” จริงๆ แล้วใจของอเดอลีนเอนเอียงไปทางฉินย่าหนาน เธอยังจำได้ว่าในการประชุมครั้งที่แล้วฉินย่าหนานเป็นคนอธิบายหัวข้อนี้ได้ตรงประเด็น ตรงกับความคิดของเธอ ทำให้อเดอลีนเชื่อมั่นในตัวฉินย่าหนานมากขึ้น

 

เมื่อได้ยินว่าให้พวกเธอทั้งสองคนขึ้นไปพรีเซนต์งาน เซียวเซียวก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเลือกคนใดคนหนึ่งจากพวกเธอสองคน

“เซียวเซียว แกส่งงานไปกี่แบบ” ฉินย่าหนานเข้ามาถามด้วยท่าทางเคร่งเครียด

“แปดแบบ” อย่างไรก็ปิดบังไม่ได้อยู่แล้ว อีกสักพักเมื่อเข้าห้องประชุมก็ต้องรู้ เซียวเซียวจึงตอบออกไปอย่างเปิดเผย

“หา! เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” สีหน้าของฉินย่าหนานเปลี่ยนไป พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเบื้องบนยังต้องพิจารณาเซียวเซียวด้วย น่าจะรู้สึกว่าเซียวเซียวทำงานมีประสิทธิภาพสูง “เซียวเซียว ฉันปรึกษาอะไรกับแกหน่อยสิ ครั้งนี้แกยกตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์ให้ฉันได้ไหม”

เซียวเซียวกำลังคิดถึงว่าจะพูดเกี่ยวกับงานอย่างไร อยู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดนี้จึงเงยหน้าขึ้นมองฉินย่าหนานอย่างไม่เชื่อสายตา “แกว่าอะไรนะ”

นี่ไม่ใช่แค่ไม้บรรทัดโค้งหรือออเดิฟจานเล็กๆ นะ แต่เป็นตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์ มันเกี่ยวพันถึงเงินโบนัสสามเท่าหรือมากกว่านั้น ผู้หญิงคนนี้ยังจะกล้าเอ่ยปากขอเธอ?

“แกเข้ามาบริษัทนี้เพราะได้ตำแหน่งแชมป์การออกแบบระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ฉันอยู่ที่นี่ก็แทบจะไม่มีตัวตน ฉันต้องการโอกาสนี้จริงๆ” ดูเหมือนฉินย่าหนานจะไม่ได้รู้สึกว่าคำขอของตัวเองนั้นมากเกินไป เธอเกาะแขนเซียวเซียวขอร้องเหมือนเด็กๆ “ในแผนกออกแบบนี้มีแค่เราสองคนที่มีความสามารถชัดเจน พวกเราสลับกันเป็นเฮดดีไซเนอร์คนละซีซั่นได้ไหม”

คำพูดนี้ฟังดูก็สมเหตุสมผล แต่เมื่อคิดทบทวนดีๆ แล้ว ถ้าจะสลับกันคนละซีซั่นจริง ทำไมเธอจะต้องยกซีซั่นนี้ให้กับฉินย่าหนานด้วย นี่มันเกมหลอกเด็กชัดๆ หน้าตาของเธอเหมือนกับคนปัญญาอ่อนหรือไง เซียวเซียวรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอก ทั้งหงุดหงิดและสะอิดสะเอียนเต็มที

“ก็ดีนะ” เซียวเซียวนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วอยู่ๆ ก็ตอบรับขึ้นมา ทำเอาฉินย่าหนานมองด้วยความประหลาดใจและดีใจ “ซีซั่นนี้เป็นฉันก่อน ซีซั่นถัดไปก็เป็นแกแล้วกัน”

ฉินย่าหนานยิ้มค้าง “เอ่อ ไม่ใช่…”

“ย่าหนาน” อยู่ๆ เซียวเซียวก็คว้ามือของฉินย่าหนานมากุมเอาไว้ แล้วทำท่าทางน่าสงสารพลางพูดเสียงเบาว่า “แกก็รู้นี่ว่าก่อนหน้านี้ฉันเข้าโรงพยาบาลหมดเงินไปเยอะมาก แต่ประกันสุขภาพก็ยังไม่ได้จ่ายคืนมา แล้วฉันยังต้องจ่ายค่าเช่าห้องอีก ฉันต้องการใช้เงินมากนะ เพราะฉะนั้นโอกาสนี้มันก็สำคัญกับฉันมากเหมือนกัน”

หน้าผากของฉินย่าหนานมีเหงื่อซึมออกมาบางๆ อีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้แล้วเธอก็คงไม่อาจจะเอ่ยปากขอให้เซียวเซียวยกโอกาสนี้ให้กับเธอได้อีก และเธอก็ไม่มีทางยอมให้เซียวเซียวเช่นกัน

“ช่างเถอะ ดูท่าทางแกก็ต้องการโอกาสนี้มากเหมือนกัน ฉันไม่ทำให้แกลำบากใจหรอก เราแข่งขันกันอย่างยุติธรรมเถอะ” เซียวเซียวมองฉินย่าหนานที่กำลังสับสนก่อนจะเอ่ยปากขึ้น

“ได้” ฉินย่าหนานถึงยิ้มออกมาได้แล้วจึงเดินจากไป

เซียวเซียวเหลือบตามองบน จากนั้นก็เปิดดูผลงานที่ตัวเองออกแบบพร้อมกับเตรียมคำพูดที่จะใช้นำเสนอผลงาน

อเดอลีน หลินซือหย่วน และจ้าวเหอผิงนั่งกันอยู่ในห้องประชุมเล็ก

“พวกเราได้ดูผลงานของทั้งสองคนแล้ว ต่างมีจุดเด่นของตัวเอง วันนี้ให้โอกาสพวกเธอเป็นครั้งสุดท้ายในการพรีเซนต์เพื่อที่จะได้ตัดสินใจว่าใครจะเป็นเฮดดีไซเนอร์ของเสื้อผ้าสำเร็จรูปสตรีในซีซั่นนี้” อเดอลีนพูดด้วยเสียงที่เข้มงวด “ใครจะเริ่มก่อน”

“ฉันก็แล้วกัน” ฉินย่าหนานยกมือขึ้น

เพราะว่าหัวข้อที่ทั้งสองคนจะพูดเป็นหัวข้อเดียวกัน ดังนั้นคนที่พูดก่อนย่อมได้เปรียบ หลังจากเธอพูดแล้ว เมื่อฟังคนที่พูดต่อมาก็จะทำให้รู้สึกว่าธรรมดา

เซียวเซียวก็ไม่ได้แย่งยกมือขึ้นแสดงให้รู้ว่าให้เธอพรีเซนต์ก่อน

ฉินย่าหนานส่งผลงานทั้งหมดสามชุด คือกระโปรงครึ่งน่องสองตัว เดรสอีกหนึ่งชุด ผลงานหลักที่เธอแนะนำก็แน่นอนว่าต้องเป็นเดรสสุ่ยซานชุดนั้น

“คอนเซ็ปต์หลักก็คือความรู้สึกที่ทุกเช้าฉันมองไปที่สวนสาธารณะแล้วเห็นต้นสุ่ยซาน ถ้าใช้เป็นผลงานของซีซั่นนี้ เชื่อว่าจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า” ฉินย่าหนานเปลี่ยนหน้าพาวเวอร์พ้อยต์ นั่นคือสิ่งที่เธอต่อยอดออกมาจากวัตถุดิบ ทำเป็นกระโปรงสั้น เสื้อแขนยาว เป็นต้น “เนื่องจากเวลาที่มีจำกัด ฉันจึงไม่อาจทำที่เหลือออกมาได้ทัน แต่ถ้าหากฉันเป็นเฮดดีไซเนอร์ล่ะก็ เรื่องพวกนี้ก็จะไม่เป็นปัญหา”

อเดอลีนขมวดคิ้วจ้องมองดูรูปเหล่านั้น หลินซือหย่วนกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเธอ แล้วทั้งสองคนก็มองตากันก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย เดิมทีพวกเขากลัวว่าแบบจะดูจำเจมากเกินไป แต่เห็นทีคงจะไม่ต้องกังวลแล้ว

ฉินย่าหนานเห็นท่าทางของพวกเขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมา เธอเดินลงจากเวทีแล้วเชิญเซียวเซียวขึ้นไป

ผลลัพธ์ที่อยู่ตรงหน้าสร้างแรงกดดันให้กับเซียวเซียวไม่น้อย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดพาวเวอร์พ้อยต์ของตัวเองขึ้นมา

“เสื้อผ้าในคอลเล็กชั่นนี้ออกแบบโดยอิงจากใบเหอฮวน ตัวอย่างเช่นกระโปรงตัวนี้ฉันให้ชื่อมันว่า ‘แสงแห่งรุ่งอรุณ’ ซึ่งได้เลียนแบบลักษณะเด่นของใบเหอฮวนที่บานเช้าและหุบกลางคืน ผ้าชั้นในจะใช้ผ้าที่สะท้อนแสง ชั้นนอกเมื่อเปิดออกจะมีแสงยามเช้าส่องประกายเหมือนกับใบเหอฮวนกำลังผลิบานออก” เซียวเซียวชี้ไปยังกระโปรงที่ตัวเองออกแบบแล้วอธิบายอย่างละเอียด ทำให้ทั้งสามคนตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

‘แสงแห่งรุ่งอรุณ’ ไม่ได้ด้อยไปกว่า ‘สุ่ยซาน’ ของฉินย่าหนานแม้แต่น้อย แต่เซียวเซียวไม่ได้เอาแบบที่ทำนี้ไปให้คนอื่นดูเหมือนกับที่ฉินย่าหนานทำจึงทำให้หลายคนไม่ได้สนใจ

เมื่อได้แนะนำชุดทั้งแปดชุดจนเสร็จเรียบร้อย เซียวเซียวก็มองสีหน้าลังเลของทั้งสามพลางเผยรอยยิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อไปว่า “โดยส่วนตัวฉันเองก็ชื่นชอบชุดเดรสสุ่ยซานที่ย่าหนานออกแบบ แล้วมันก็เป็นส่วนที่ขาดหายไปของฉัน ถ้าฉันได้เป็นเฮดดีไซเนอร์ ฉันจะเอาคอนเซ็ปต์หลักของสุ่ยซานเพิ่มเติมเข้าไปด้วย ทำให้เป็นคอลเล็กชั่น ‘เหอฮวน’ และ ‘ซานซู่’ เพื่อให้เป็นตัวเลือกของลูกค้าที่มีความชื่นชอบต่างกัน”

“ดีมาก นี่สิถึงจะเป็นคุณสมบัติที่เฮดดีไซเนอร์ควรจะมี” อเดอลีนพยักหน้าแล้วมองตาหลินซือหย่วน

“ถ้าอย่างนั้นเฮดดีไซเนอร์ของซีซั่นนี้ก็ให้เซียวเซียวรับหน้าที่ไป” หลินซือหย่วนประกาศผลการตัดสิน

เซียวเซียวตื่นเต้นดีใจมากแต่ก็เก็บความรู้สึกไว้ เพียงโค้งแสดงความขอบคุณอย่างสงบนิ่ง

เมื่อออกจากห้องประชุมสีหน้าของฉินย่าหนานก็เปลี่ยนไปจนดูไม่ได้ เธอโกรธที่ตัวเองรีบพูดก่อน ทำให้เซียวเซียวมีโอกาสหาช่องโหว่

 

เซียวเซียวได้เป็นเฮดดีไซเนอร์จึงต้องเลี้ยงข้าวทุกคน คนในแผนกออกแบบต่างพากันตอบรับ คนกลุ่มใหญ่เดินมุ่งหน้าไปยังร้านสุกี้อย่างเปิดเผย

“ย่าหนานล่ะ” เซียวเซียวรินเครื่องดื่มให้กับทุกคน เมื่อไม่เห็นฉินย่าหนานจึงเอ่ยถามขึ้น

“เห็นว่ามีธุระมาด้วยไม่ได้” จ้าวเหอผิงพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไร

 

ความจริงแล้วฉินย่าหนานไม่ต้องการจะไปร่วมฉลองด้วย จึงนัดโจวเชี่ยนออกมากินข้าว

“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่านังนั่นน่ะมันเจ้าเล่ห์จะตาย แกก็ยังไม่รู้จักจำ” โจวเชี่ยนคีบเนื้อวางลงบนกระทะร้อนเสียงดังฉ่าๆ

ฉินย่าหนานไม่พูดอะไร เธอไม่คิดว่าโจวเชี่ยนจะฉลาดกว่าเธอสักเท่าไร เป็นเพียงจูเก่อเลี่ยงหลังเกิดเรื่องเท่านั้น

โจวเชี่ยนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะฟังก็เลยเปลี่ยนเรื่อง คีบเนื้อที่ย่างสุกแล้ววางไว้ในจานของฉินย่าหนาน “เอ่อ เรื่องที่พูดกันคราวที่แล้ว แกคิดทบทวนว่ายังไงบ้าง”

“ไม่ได้ๆ นั่นเท่ากับฉันทุบหม้อข้าวตัวเองเลยนะ” ฉินย่าหนานได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ

โจวเชี่ยนแอบเบ้ปากแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ “การแข่งขันการออกแบบระดับประเทศกำลังจะเริ่มแล้ว ครั้งนี้แกต้องระวังหน่อยนะ อย่าให้เกิดอะไรผิดพลาดอีกล่ะ ตอนนั้นเห็นชัดๆ ว่าแกมีความสามารถที่จะเป็นผู้ชนะเลิศได้”

“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะพลาดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สองได้ยังไง” ฉินย่าหนานเคี้ยวเนื้อในปากอย่างมีอารมณ์

บทที่ 10

 การแข่งขันการออกแบบระดับประเทศมีชื่อเต็มว่า ‘การแข่งขันการออกแบบเครื่องแต่งกายระดับประเทศ’ ถือเป็นการแข่งขันการออกแบบเครื่องแต่งกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ส่วนการแข่งขันที่เซียวเซียวก็ได้เข้าร่วมอีกหนึ่งรายการตอนเรียนมหาวิทยาลัยอยู่นั้นเป็นการแข่งขันการออกแบบตัดเย็บเครื่องแต่งกายระดับอุดมศึกษา ซึ่งหากเทียบกันก็เหมือนกับการแข่งขันเอ็นซีเอเอ (การแข่งขันบาสเกตบอลระดับอุดมศึกษาอเมริกัน) กับเอ็นบีเอ

การแข่งขันนี้จัดขึ้นทุกๆ สามปี เซียวเซียวเองก็จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้อย่างแน่นอน ถ้าสามารถเข้าไปถึงรอบสิบคนสุดท้ายก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นดีสอง และถ้าได้ตำแหน่งชนะเลิศก็จะเลื่อนขึ้นไปเป็นเอสหนึ่งทันที

ดีก็คือดีไซเนอร์ ส่วนเอสก็คือซีเนียร์ดีไซเนอร์ เป็นการแบ่งประเภทของดีไซเนอร์ธรรมดากับดีไซเนอร์ระดับสูง เหมือนกับความแตกต่างระหว่างช่างฝีมือและศิลปิน ซึ่งก็มีหลายคนที่ทั้งชีวิตไม่อาจจะกลายเป็นดีไซเนอร์ระดับสูงได้

เนื่องจากเป็นการแข่งขันใหญ่ การคัดเลือกรอบแรกจึงมีความเข้มงวดมาก ต้องนำเสนอผลงานเป็นคอลเล็กชั่น ไม่เพียงออกแบบเป็นรูปเท่านั้น แต่ยังต้องตัดเป็นชุดสำเร็จออกมาจริงๆ ต้องสวมใส่และถ่ายรูปอีกด้วย ในการสมัครจะต้องยื่นรูปที่นางแบบหรือนายแบบใส่ชุดเป็นเซ็ตอีกด้วย และลิขสิทธิ์ของชุดจะต้องเป็นของดีไซเนอร์เท่านั้น

เฉพาะเงื่อนไขข้อนี้ก็ทำให้ตัดดีไซเนอร์หน้าใหม่ที่ยังไม่มีผลงานและดีไซเนอร์ที่ออกแบบตามคำสั่งของบริษัทออกไปได้แล้ว

แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเซียวเซียว เธอมีคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าที่ออกแบบไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือชุดทำงานที่ออกแบบให้กับซังอวี๋ ตอนนี้ระยะเวลาการรับสมัครเหลืออีกเพียงสองเดือน เธอต้องเร่งจั่นหลิงจวินให้สั่งผลิตเสื้อผ้าพวกนั้นออกมา

 

หลังเลิกงานเซียวเซียวก็รีบไปที่ซังอวี๋ แต่จั่นหลิงจวินมีนัดตรวจจึงไม่มีเวลาจะมาสนใจเธอ เซียวเซียวจึงถือโอกาสคุยกับเถียนเถียน

“ตกลงว่าบอสของคุณเป็นใครกันแน่ สโมสรนี่ก็ไม่ใช่แฟรนไชส์นี่นา” เซียวเซียวหยิบลูกอมในถาดที่หน้าเคาน์เตอร์มากิน เป็นแบบที่จั่นหลิงจวินเอาให้เธอกินวันนั้นจริงๆ

เถียนเถียนชี้ไปที่ใบอนุญาตของบริษัทด้านหลัง “คือ…คุณกลับไปลองค้นหาดูสักหน่อยก็จะรู้”

เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นมองใบอนุญาตเล็กๆ นั่น สโมสรซังอวี๋จดทะเบียนในชื่อ ‘บริษัทฟื้นฟูสุขภาพซังอวี๋ จำกัด’ เธอถ่ายรูปเอาไว้ ตั้งใจว่าจะลองเอาไปค้นหาดู

“ตอนนี้คุณเป็นวีไอพีแล้ว จะไม่ลองขึ้นไปดูที่ชั้นสามเหรอคะ” เถียนเถียนแนะนำอย่างกระตือรือร้น

ใช่แล้ว ตอนนี้เซียวเซียวเป็นลูกค้าวีไอพีแล้ว แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปที่ชั้นสามเลย เธอจึงฝากให้เถียนเถียนแจ้งเธอด้วยเมื่อจั่นหลิงจวินออกมา จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นสามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

การขึ้นไปชั้นสามต้องใช้การ์ดในการเปิดลิฟต์ขึ้นไป ไม่สามารถเดินขึ้นบันไดได้

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ภาพที่เห็นตรงหน้ามีโครงสร้างที่แตกต่างจากชั้นหนึ่งโดยสิ้นเชิง บนนี้เต็มไปด้วยการประดับตกแต่งที่มีกลิ่นอายของไม้ พรมสีเขียวที่เหมือนกับสนามหญ้า เมื่อมองแล้วก็รู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง จากความหรูหรางดงามแบบยุโรปที่ชั้นหนึ่งทำให้คิดว่าชั้นสามจะต้องจัดตกแต่งแบบพระราชวังที่หรูหรางดงามยิ่งกว่า ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบที่กลับสู่ธรรมชาติเช่นนี้

เสียงเปียโนอันไพเราะลอยมา อ่อนโยนละเมียดละไมราวกับดวงจันทร์ที่ค่อยๆ ทอแสงลงมาในป่าอันเงียบสงบ เซียวเซียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยความเคยชิน ให้มันบันทึกทำนองช่วงหนึ่งลงไปเพื่อค้นหาชื่อเพลง

ชื่อของบทเพลงนี้คือ ‘แสงจันทร์ ณ ปลายขอบฟ้า’ เดิมทีเป็นดนตรีเพื่อการบำบัด แต่กลับบรรเลงออกมาให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและโศกเศร้า เซียวเซียวเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้ แล้วหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเปียโน

ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวนั่งอยู่หน้าเปียโนกำลังบรรเลงเพลง ที่ขาของแกรนด์เปียโนนั้นมีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบนั่งอยู่ เด็กชายพิงศีรษะกับขาเปียโนพลางฟังอย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีแบบโบราณมาบนตัวของนักเปียโน ประหนึ่งเชือกที่อยู่ท่ามกลางทะเลอันเย็นเยือกเพื่อให้คนที่สิ้นหวังกำลังจะจมน้ำได้คว้าไว้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่เปี่ยมไปด้วยความหวัง

 

ภาพงดงามตรงหน้าทำให้เซียวเซียวอดที่จะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกความทรงจำนี้ไว้ไม่ได้

เซียวเซียวไม่ได้เรียนดนตรีมา แต่ตอนเรียนมัธยมเธอคลั่งไคล้มู่เจียงเทียนซึ่งเป็นนักเปียโนอัจฉริยะ เมื่อได้ฟังบันทึกการแสดงของเขาหลายรอบก็พอจะสามารถรับรู้อารมณ์จากเสียงเปียโนได้ บางคราเป็นความโศกเศร้าที่อัดแน่นและล้นเอ่อ บางคราก็สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นและความเกรงกลัว บางคราคืออารมณ์ที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต ยืนหยัดไม่ยอมศิโรราบ…

ท่วงทำนองของเสียงเพลงที่ลื่นไหล จู่ๆ ก็มีเสียงโน้ตที่ผิดเพี้ยนแทรกเข้ามา ทำลายเสียงเพลงที่กำลังพลิ้วไหวดั่งสายน้ำ เสียงเปียโนพลันหยุดลง มือที่เกร็งจนเส้นเลือดขึ้นของชายหนุ่มนิ่งค้างอยู่ที่คีย์บอร์ดเปียโนครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด

เด็กชายที่พิงศีรษะกับขาเปียโนลืมตาขึ้นมองอย่างงุนงง เหมือนกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสียงดนตรีถึงได้หยุดลงกะทันหัน

“นี่ฟื้นตัวได้ดีขึ้นมากแล้วนะ” เลี่ยวอี้ฟานที่ยืนอยู่หลังเปียโนในเงามืดก้าวเดินออกมา ตอนนี้เซียวเซียวถึงได้รู้ว่านอกจากนักเปียโนกับเด็กชายแล้วยังมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้อีก

ไหล่ของนักเปียโนสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนกับกำลังระงับความโกรธเกรี้ยว “คุณจะไปเข้าใจอะไร นิ้วหด คอร์ดที่เล่นก็มีปัญหา ตั้งแต่ช่วงอ็อกเตฟก็ไม่สามารถเล่นไล่บันไดเสียงได้ คุณคิดว่าฟื้นตัวได้ดีอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงแหบๆ ที่เปล่งออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่อาจปกปิดเนื้อเสียงที่ไพเราะนั้นได้ ทำให้อดจินตนาการไม่ได้ว่าชายคนนั้นจะเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลามากเพียงใด

“มือของคุณถูกกระสุนยิงทะลุ สามารถฟื้นฟูได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว เมื่อไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแม้แต่น้อย ในทางการแพทย์ถือว่าฟื้นฟูแล้ว อย่าเข้มงวดกับตัวเองนักเลย…” คิ้วของเลี่ยวอี้ฟานขมวดเล็กน้อย

“คุณเลี่ยว เชิญคุณออกไปจากที่นี่” แม้ว่าจะโมโหถึงขีดสุด แต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งความหยิ่งทะนงและความภาคภูมิ

“คุณ…”

“เลี่ยวอี้ฟาน ผมเคยบอกคุณหรือเปล่าว่าเรื่องของคุณมู่คุณไม่ต้องเข้ามายุ่ง” อยู่ๆ เสียงของจั่นหลิงจวินก็ดังขึ้นมา เซียวเซียวจึงหันกลับไปมองทันที

การถูกเรียกทั้งชื่อและแซ่ด้วยน้ำเสียงตำหนิทำให้เลี่ยวอี้ฟานไม่อาจจะวางหน้าอยู่ได้ เธอก้าวเท้าเดินออกมาอย่างโกรธๆ “เขามารยาทแย่มาก คุณดูไม่ออกรึไง ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปต้องเกิดปัญหาแน่ๆ”

“เขาเป็นคนไข้ของผม” จั่นหลิงจวินเน้นเสียงทีละคำ “ถ้าคุณยังฝ่าฝืนกฎอีกผมจะยกเลิกสิทธิ์ในการขึ้นมาชั้นสามของคุณ”

เลี่ยวอี้ฟานสีหน้าเปลี่ยนทันที เธอสูดหายใจเข้าอย่างโมโหพลางถลึงตามองเซียวเซียวที่กำลังดูเหตุการณ์อยู่ แล้วหมุนตัวเดินจากไป

คนที่ถูกถลึงตาใส่อย่างเซียวเซียวนิ่งงันไปอย่างงุนงง

ยามนั้นเองหลี่เหมิงที่นั่งอยู่มุมหนึ่งก็โผล่มา ร่างแข็งแรงกำยำเดินไปที่เปียโน ก่อนจะดึงเด็กชายที่นั่งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอโทษนักเปียโน “ขออภัยด้วย ผมฟังจนเคลิ้มไป ไม่ได้สังเกตว่าเลี่ยวอี้ฟานเข้ามา”

เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองหลี่เหมิงก่อนจะหันไปมองนักเปียโนอีกที ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ในขณะที่หลี่เหมิงกำลังจะพาเขาออกไปเขาก็สะบัดมือออกแล้วกอดขาเปียโนไว้แน่น

“เอียโน เลนอีดเพง” เสียงที่เปล่งออกมาไม่ชัดเจนและไม่อาจควบคุมความดังได้ เห็นชัดเจนว่าเขาไม่ใช่เด็กปกติ

เซียวเซียวมองไปที่จั่นหลิงจวินแล้วชี้ไปที่ใบหู เวลาคนหูหนวกพูดออกมาจะมีลักษณะเช่นนี้

จั่นหลิงจวินพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง ขณะที่เดินผ่านเธอไปเขาก็หยุดนิ่ง “ไม่ว่าคุณจะเห็นอะไรที่นี่ก็ตาม กรุณาเก็บเป็นความลับด้วย”

“แน่นอนอยู่แล้ว” เซียวเซียวตอบรับอย่างไม่ลังเล

หลี่เหมิงหยิบเครื่องช่วยฟังที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วดึงหูของเด็กชายเบาๆ “ทำไมถึงไม่ใส่”

เด็กชายรับเครื่องช่วยฟังมาแล้วเกี่ยวเข้าไปที่หลังหู จากนั้นก็เปล่งเสียงออกมาได้อย่างชัดเจนขึ้น “ผมไม่ชอบเจ้านี่ พิงไปที่เปียโนผมก็ได้ยิน”

เซียวเซียวลูบศีรษะของเด็กชายพลางยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมองไปทางคนที่เล่นเปียโน ความรู้สึกแรกก็คือตกใจ เมื่อเข้าไปใกล้เพื่อมองดูให้ชัดเจน สีหน้าเธอพลันเปลี่ยนไปทันที

ชายหนุ่มหลับตาทั้งสองข้าง แสงจากกระจกสีส่องลงบนใบหน้าสงบนิ่งของเขาเป็นรูปเงาของพัดสองเล่ม เขาช่างเหมือนดอกแดฟโฟดิลที่อยู่กลางทะเลสาบ…งดงาม บริสุทธิ์

“มู่เจียงเทียน?!”

“คุณรู้จักผมด้วยเหรอ” นักเปียโนหันมาทางเซียวเซียวแต่ยังคงไม่ลืมตาขึ้นพลางเอ่ยถามเรียบๆ แม้ในใจจะรู้สึกประหลาดใจที่มีคนรู้จักเขา

“ทำไมถึงจะไม่รู้จักล่ะ!” เซียวเซียวยกมือปิดปากเหมือนพยายามจะระงับเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นที่จะออกมา

มู่เจียงเทียนเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเคยเป็นความภาคภูมิใจของคนจีน สามารถยืนเคียงคู่กับนักดนตรีในประวัติศาสตร์ได้ มีคนเคยพูดไว้ว่าเขาคือเส้นแบ่งระหว่างประวัติศาสตร์หน้าใหม่และเปียโนยุคเก่า บอกว่าเขาคืออาร์เธอร์ รูบินสไตน์ ในยุคปัจจุบัน เขามีจุดเด่นที่คล้ายคลึงกับรูบินสไตน์ และยังมีความโรแมนติกเหมือนกับวลาดิเมียร์ โฮโรวิตซ์ สามารถบรรเลงบทเพลงธรรมดาให้สะเทือนฟ้าดินได้ ผู้คนต่างพากันขนานนามมือคู่นั้นว่า ‘หัตถ์เทพเจ้า’

แล้วเมื่อสิบปีก่อนก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันพรากดวงตาทั้งคู่ของเขาไป หัตถ์เทพเจ้าค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของผู้คน ทุกคนต่างเข้าใจว่ามู่เจียงเทียนยอมรับที่ตัวเองตาบอดไม่ได้จึงออกจากวงการเปียโน แล้วก็มีคนมากมายออกมาด่าทอเขา กล่าวหาว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ เพียงแค่มองไม่เห็นไม่ได้มีผลต่อการเล่นเปียโน

เซียวเซียวค่อยๆ นั่งยองๆ ลง มองมือขวาของนักเปียโนที่ยังวางอยู่บนคีย์บอร์ด น้ำตาค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา

หลังมือที่ขาวเนียนละเอียดดังหยกมีรอยแผลเป็นอัปลักษณ์อยู่ นิ้วนางที่เดิมทีควรจะเรียวยาวกลับคดงอผิดปกติ เขาไม่ได้เพียงแค่ตาบอด แต่มือของเขายังบาดเจ็บด้วย ‘หัตถ์เทพเจ้า’ ที่โด่งดังไปทั่วโลกถูกทำลายไปนานแล้ว

ไอดอลตอนวัยรุ่นอยู่ตรงหน้า แต่กาลเวลาทำให้เขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

จั่นหลิงจวินดึงเซียวเซียวให้ลุกขึ้นมา ส่ายหน้าไม่ให้เธอพูดอะไรแล้วเดินไปยกมือของมู่เจียงเทียนขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดฝาเปียโนลง

“พี่เจียงเทียน วันนี้ฝึกแค่นี้แล้วกัน เดี๋ยวให้หลี่เหมิงนวดฟื้นฟูให้นะ”

“อืม” มู่เจียงเทียนตอบรับเสียงเบา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน หยิบไม้เท้าคนตาบอดพับได้ซึ่งวางไว้ตรงที่วางโน้ต ท่าทางเหมือนสุภาพบุรุษในยุคกลาง ค่อยๆ ใช้ไม้เท้าคลำทางเดินออกจากห้องเปียโนไป

เซียวเซียวมองตามหลังเขาไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ

“คุณมาหาผมมีเรื่องอะไรรึเปล่า” จั่นหลิงจวินเอ่ยถามหลังจากนิ่งอยู่พักใหญ่ เขามองดูเซียวเซียวที่ยังร้องไห้ ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้เธอ

เซียวเซียวรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำมูก เมื่อก้มหน้าลงมองถึงได้เห็นว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อสูทของเบอร์เบอร์รี่จึงรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก แล้วก็ยิ่งร้องไห้ออกมาหนักขึ้น “เขาเป็นไอดอลของฉัน ตอนเรียนมัธยมต้นฉันชื่นชอบเขามาก ฮือๆๆๆ ถึงแม้ว่าฉันจะเล่นเปียโนไม่เป็น…แต่ห้องนอนของฉันยังมีโปสเตอร์ของเขาอยู่” เธอสามารถรับรู้ความรู้สึกจากเสียงเปียโนได้ก็เพราะอิทธิพลจากบันทึกการแสดงของมู่เจียงเทียน

จั่นหลิงจวินถอนหายใจยาวออกมา “เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว เขาอยู่ห้องข้างๆ นะ เขาได้ยิน”

เซียวเซียวหยุดร้องไห้ทันที เธอยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา คนที่ภูมิใจในตัวเองแบบนั้นต้องไม่อยากให้ใครสงสารเขา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้สงสารแต่มันเป็นความเสียดาย ทว่าอย่างไรเสียก็อย่ารบกวนเขาจะดีกว่า “ผ้าเช็ดหน้านี่ฉันซักแห้งเสร็จแล้วจะส่งคืนคุณนะ”

จั่นหลิงจวินได้แต่คิดว่าเธอเปลี่ยนเรื่องเร็วไปหน่อยไหม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เซียวเซียวสงบลงได้แล้วจึงพูดถึงเรื่องที่มาหาจั่นหลิงจวิน เธอต้องการเร่งการผลิตชุดพวกนั้นออกมา และหวังว่าคนที่ซังอวี๋จะเป็นนางแบบนายแบบให้เธอ ยอมให้เธอเอารูปถ่ายส่งเข้าแข่งขัน

“พวกนี้ใช้สำหรับการคัดเลือกรอบแรกเท่านั้น จะไม่ปรากฏในการแข่งขันต่อมาที่ถ่ายทอดทางทีวี” เซียวเซียวอธิบายต่อไปอีก “ถ้าคุณตัดสินใจไม่ได้ ให้ฉันคุยกับบอสคุณนะ จะมีค่าตัวให้พวกคุณด้วย”

“นั่นก็ไม่ต้องหรอก บอสตกลงแล้ว” จั่นหลิงจวินพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แล้วนัดกับเธอว่าจะไปที่บริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อในวันศุกร์

“เอ๋?! ตกลงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

 

เซียวเซียวยังคงไม่ได้พบหน้าบอสของซังอวี๋สักที เธอรู้สึกหงุดหงิดใจมาก เมื่อกลับถึงบ้านก็คิดถึงคำพูดของเถียนเถียนว่าสามารถเช็กได้ จึงเข้าไปในระบบของกรมธุรกิจพาณิชย์ แล้วใส่ชื่อ ‘บริษัทฟื้นฟูสุขภาพซังอวี๋ จำกัด’ เข้าไป ข้อมูลที่เธอต้องการทราบก็ปรากฏขึ้นมา

 

‘ประเภท : บริษัทจำกัด

ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย : หลี่เหมิง

ขอบเขตของกิจการ : ฟื้นฟูหลังการผ่าตัด ฟื้นฟูสุขภาพภายนอก ฟื้นฟูหลังคลอด ให้คำปรึกษาทางด้านจิตวิทยา ฟิตเนสและบันเทิง กายภาพบำบัดและการนวด จัดจำหน่ายเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์…’

 

ขอบเขตของกิจการกว้างจริงๆ

มุมปากเธอกระตุกเบาๆ ก่อนจะมองชื่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายแล้วให้ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงท่าทางถึงไหนถึงกันของหลี่เหมิงซึ่งดูแล้วไม่ค่อยเหมือนบอสเท่าไร เมื่อกดเปิดหน้าที่สอง ชื่อคนที่เป็นผู้มีอำนาจตัวจริงก็ปรากฏขึ้น

 

‘ผู้ถือหุ้น : จั่นหลิงจวิน (สัดส่วนการลงทุน 79%)

บริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อ (สัดส่วนการลงทุน 20%)

หลี่เหมิง (สัดส่วนการลงทุน 1%)

กรรมการผู้จัดการใหญ่ : จั่นหลิงจวิน

“…” เซียวเซียวถึงกับพูดไม่ออกไปในทันใด

ที่แท้บอสใหญ่ก็เป็นเขานี่เอง มิน่าล่ะถึงให้บัตรวีไอพีกับเธอได้ มิน่าล่ะหลี่เหมิงถึงเรียกเขาว่า ‘ลูกพี่’… นึกถึงสายตาของจั่นหลิงจวินในวันนี้ เซียวเซียวคิดทบทวนก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่งมเสียเหลือเกิน

จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่สงสัย เดิมทีก็เพราะใบหน้าเป็นแบบนี้จึงรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับจั่นหลิงจวิน นี่ซ้ำเขายังรวยมากอีกด้วย…

“เฮ้อ…”

ชะตาชีวิตไม่เป็นดังใจ ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย หนทางการไล่ตามเทพบุตรสุดหล่อก็ยาวเหลือเกิน จะสละชีวิตโสดก็ลำบากนัก

 

วันศุกร์เซียวเซียวลากิจหนึ่งวันโดยแจ้งว่าจะไปเตรียมของที่ต้องใช้ในการแข่งขัน ซึ่งคนที่พูดง่ายอย่างจ้าวเหอผิงก็เซ็นอนุมัติทันที

สำนักงานของบริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อถือว่าอยู่ไม่ไกลจากเขตนวัตกรรมเท่าไรนัก เมื่อเซียวเซียวออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินก็เห็นจั่นหลิงจวินที่ใส่สูทผูกไทสวมรองเท้าหนังยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ในมือถือแก้วชานมไว้ด้วย

“รอนานรึเปล่า” เซียวเซียวมองแก้วชานมที่ยังไม่ได้เจาะฝาในมือของเขา “นี่…ให้ฉันหรือเปล่า”

จั่นหลิงจวินหยิบหลอดออกมาแล้วเสียบลงไปในแก้วชานมเสียงดังโป๊ะ แล้วค่อยๆ ดูดอย่างละเมียดละไม ก่อนจะเอ่ยตอบสั้นๆ “ไม่ใช่”

“…” นั่นทำให้เซียวเซียวหมดคำพูดไปอีกครั้ง

ทุกอย่าง…เกือบจะดีแล้วเชียวนะ

 

นี่เป็นตึกสำนักงานรวม สำนักงานของบริษัทต้าเหลียงช่วงซื่ออยู่ที่ชั้นยี่สิบและชั้นยี่สิบเอ็ด เมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นยี่สิบก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ เหลียงจิ้งเหยาที่แขวนป้ายพนักงานถือแฟ้มเอกสารเดินเข้ามา มองไปที่ปุ่มกดพบว่าตัวเลขยี่สิบเอ็ดสว่างอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมองว่ามีเพื่อนร่วมงานอยู่ในนี้ด้วยหรือไม่

เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นเซียวเซียวและจั่นหลิงจวินยืนอยู่ด้วยกันและกำลังมองมาที่เธอ

เหลียงจิ้งเหยาจึงรีบหลบสายตาทันทีแล้วกดปุ่มเปิดประตู แกล้งทำเป็นลืมหยิบของเตรียมจะออกไปแต่โดนเซียวเซียวจับเอาไว้ก่อน “คิดหนีเหรอ”

เหลียงจิ้งเหยากัดฟันมองประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิดอย่างทำอะไรไม่ได้ พยายามฉีกยิ้มออกมา “อ่า ฮ่าๆ เซียวเซียว แกมาได้ยังไง แล้วยัง…มากับพี่…”

“พวกฉันสองคนก็มาหาแกไง” เซียวเซียวยกแขนเข้าล็อกคอเหลียงจิ้งเหยา ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ พลางพูดเสียงลอดไรฟันออกมา “ฉันอยากจะถามแก ทำไมแกไม่เคยบอกฉันว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแก หืม?”

เสียงที่พูดออกมาเบามากแต่เพียงพอที่จะได้ยินกันสองคน เหลียงจิ้งเหยาหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดแบบไม่ขยับปาก “ก็แกบอกว่าเขาเป็นผู้ชายโฮสต์คลับ ฉันจะมีหน้าไปยอมรับได้ยังไง”

จั่นหลิงจวินมองทั้งสองคนด้วยสายตาไม่รู้เรื่อง

ติ๊ง! ลิฟต์มาถึงชั้นที่ยี่สิบเอ็ด ทั้งสามคนจึงเดินออกไปพร้อมกัน

เดิมทีเหลียงจิ้งเหยาจะไปที่แผนกการเงิน แต่เมื่อรู้สาเหตุที่ทั้งสองคนมาที่นี่จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ห้องทำงานของประธานบริษัท

“นี่เราจะไปทำอะไร” จั่นหลิงจวินยื่นนิ้วออกมาดันศีรษะของน้องสาวไว้ ไม่ยอมให้เธอเดินเข้าไป

“ฉันก็จะไปรายงานการทำงานกับท่านประธานเหลียง” เหลียงจิ้งเหยาตีมือใหญ่ของเขาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง

จั่นหลิงจวินพยักหน้าให้เธอเข้าไปก่อนแล้วหันกลับมาถามเซียวเซียว “ปกติติดต่องานกับใคร”

“คุณซุนผู้จัดการฝ่ายผลิต เขาเป็นคนจัดการให้” เซียวเซียวไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ จั่นหลิงจวินถึงถามขึ้นมาจึงตอบไปตามตรง หรือว่าจะเกรงใจที่ต้องไปคุยกับน้าเขยตรงๆ ถ้าอย่างนั้นจะใช้คอนเน็กชั่นของเธอก็ได้เหมือนกัน

เหลียงจิ้งเหยารีบส่งสายตาให้เธอแล้วเข้าไปจับแขนจั่นหลิงจวินไว้แน่น “ไม่ต้องไปหาคุณซุนหรอก ไปหาพ่อนี่แหละ ให้พ่อลดราคาสักเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลย”

“เอาเปรียบน้าเขย ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” จั่นหลิงจวินบีบปลายนิ้วของเธอไว้แล้วแกะมือเธอออก

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก จะได้ถือโอกาสพูดเรื่องของฉันด้วยไง” ในที่สุดเหลียงจิ้งเหยาก็จำต้องพูดความต้องการของตัวเองออกมา เมื่อเห็นว่าพี่ชายยังไม่ยอมทำอะไรก็พลันโมโหขึ้นมา “จั่นหลิงจวิน พี่รับของฉันไปแล้วนะ รับของแล้วไม่ทำงานคิดว่าไม่มีความผิดรึไง”

“ฟู่…” เซียวเซียวกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

เหลียงจิ้งเหยาอยากจะออกจากบริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อไปสร้างธุรกิจของตัวเอง พูดไปหลายครั้งแต่พ่อของเธอก็ยังไม่เห็นด้วย เธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่พี่ชาย เพราะต้องการให้เขาช่วยพูดเธอจึงยัดเยียดเนกไทกับกระดุมแขนเสื้อให้เขา แต่พี่ชายก็ไม่ยอมพูดเรื่องของเธอกับพ่อแม้แต่คำเดียว วันนี้เป็นโอกาสดีที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า เธอจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน

“เหยาเหยา ทำไมลูกถึงพูดกับพี่เขาแบบนี้” อยู่ๆ ก็มีศีรษะกลมๆ ยื่นออกมาจากห้องทำงานของท่านประธาน นั่นคือน้าเขยคนรองของจั่นหลิงจวิน พ่อของเหลียงจิ้งเหยา ประธานกรรมการบริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อ…เหลียงเต๋อหวา

บริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อเพิ่งจะเข้าตลาดหลักทรัพย์สองปีนี้ เหลียงเต๋อหวายุ่งจนหัวหมุน เดิมทีเขาก็มีผมอยู่ไม่มากนัก นับวันก็ยิ่งร่วง จนในที่สุดจึงตัดสินใจโกนผมทิ้งเลย เขาคนนี้บอกว่าชื่อของตัวเองคือส่วนผสมของชื่อดาราฮ่องกงเหลียงเฉาเหว่ยและหลิวเต๋อหวา แต่จริงๆ แล้วเหมือนเจิงจื้อเหว่ย มากกว่า

เขาเดินอาดๆ ไปนั่งที่โซฟา ดูมีบุคลิกแบบพี่ใหญ่ของแก๊งมาเฟียอยู่บ้าง แต่เมื่ออ้าปากพูดภาพลักษณ์เช่นนั้นก็ถูกทำลายลงฉับพลัน

“เซียวเซียวไม่ได้มากินข้าวที่บ้านนานแล้วนะ เอ๋? ดูอ้วนขึ้นนะ” เหลียงเต๋อหวาพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะเรียกให้เลขาฯ ยกน้ำชามา “แต่อ้วนก็ดีแล้ว กลมๆ แบบนี้สิถึงจะสวย เมื่อก่อนหนูผอมมากไป เหยาเหยา ลูกต้องดูอย่างเซียวเซียวไว้นะ”

“เอ่อ… ฮ่าๆ” เซียวเซียวไม่รู้ว่าจะตอบรับคำชมของเหลียงเต๋อหวาอย่างไรจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ “คุณอาคะ ที่พวกเรามาที่นี่มีเรื่องจะรบกวนคุณอาหน่อยค่ะ พอดีหนูออกแบบยูนิฟอร์มมาเซ็ตหนึ่ง อยากจะให้โรงงานของคุณอาช่วยผลิตออกมาให้เร็วที่สุด”

“ไม่มีปัญหา หนูไปหาคุณซุนได้เลย” เหลียงเต๋อหวาตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกมือสั่งให้เลขาฯ แจ้งกับฝ่ายผลิต

“คุณน้าครับ งานชุดนี้เป็นของผมที่ทำเสื้อผ้าให้กับพนักงานของซังอวี๋” จั่นหลิงจวินหยิบแบบที่อยู่ในมือของเซียวเซียวส่งให้น้าเขยคนรองของตัวเองดู

“งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องคิดแพงหน่อยล่ะ” เหลียงเต๋อหวาพูดด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกับรับแบบเสื้อมาดู

เอ๋? คิดแพงหน่อย?

เซียวเซียวไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดหรือเปล่าจึงหันไปมองตาเหลียงจิ้งเหยา

เหลียงจิ้งเหยาขยิบตาให้เธอแล้วแอบกัดฟันเพื่อกลั้นหัวเราะ

จั่นหลิงจวินทำอะไรไม่ได้ “นี่ก็เป็นธุรกิจของคุณน้าเหมือนกัน คิดราคาแพงจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ” บริษัทต้าเหลียงช่วงซื่อก็ถือหุ้นในซังอวี๋ด้วยเช่นกัน

“จริงสิ เป็นธุรกิจของฉันทั้งสองอย่าง แต่ว่าต้าเหลียงช่วงซื่อเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ต้องดูรายงานให้ดีๆ ด้วย” เหลียงเต๋อหวาพูดไปหัวเราะไป “แล้วฉันก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในต้าเหลียงช่วงซื่อ แต่ถือหุ้นที่ซังอวี๋เพียงเล็กน้อย เพราะอย่างนั้นขายให้เธอแพงหน่อยฉันก็ได้เงินเยอะขึ้น แบบนี้ไม่ดีเหรอ”

เซียวเซียวยกแก้วขึ้นทำเป็นดื่มน้ำชา พยายามที่จะกลั้นหัวเราะ ในที่สุดก็รู้แล้วว่านิสัยพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครของเหลียงจิ้งเหยาได้มาจากใคร ที่แท้ก็ได้มาจากพ่อเธอนี่เอง

จั่นหลิงจวินดึงรูปสเก็ตช์กลับมาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย “คุณน้าว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละครับ แต่ติดไว้ก่อนนะ ปลายปีผมค่อยจ่ายเงินให้คุณน้า”

“ฮ่าๆๆๆ” ในที่สุดเหลียงจิ้งเหยาก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เธอซบไปที่ไหล่ของเซียวเซียวแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง

“เฮ้ย เจ้าหลานคนนี้ ร้ายนักนะ” เหลียงเต๋อหวาได้แต่หัวเราะหึๆ แล้วจึงเปลี่ยนคำพูด “เก็บแค่ค่าผ้าพอใจหรือยัง แต่ว่าฉันมีเงื่อนไขนะ ต้องติดแบรนด์ต้าเหลียงช่วงซื่อลงไปที่เสื้อผ้าด้วย ถึงตอนนั้นลูกค้าไฮโซของเธอถามขึ้นมาก็เป็นการโฆษณาให้ฉันด้วย”

คิดเงินเพียงแค่ค่าผ้า นั่นแปลว่าค่าแรงกับค่าอื่นๆ ก็ไม่เอา เป็นราคาคนกันเองจริงๆ พิเศษสุดๆ แต่จั่นหลิงจวินก็ไม่ได้ตอบรับในทันที เขาหันกลับมามองเซียวเซียว “นี่จะมีผลกระทบต่อการแข่งขันของคุณหรือเปล่า”

ปากของเซียวเซียวสั่นเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนกับหัวใจถูกโยนลงไปในบ่อน้ำพุร้อน อบอุ่นจนเธอแทบจะน้ำตาไหล เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ค่ะ แบรนด์ผู้ผลิตนี่ต้องติดเข้าไปอยู่แล้ว”

จั่นหลิงจวินพยักหน้า “ขอบคุณคุณน้า ชุดของพนักงานบริการกับพยาบาลยังไม่รีบ แต่ต้องใช้จำนวนมาก ให้ส่วนลดผมก็พอแล้ว ส่วนชุดอื่นๆ ก็ผลิตอย่างละสามชุด ผมจ่ายแค่ค่าผ้านะ”

เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมาก็ทำให้เหลียงเต๋อหวาหัวเราะขึ้นมาทันที “หลิงจวินรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ถ้าเหยาเหยาได้สักครึ่งของเธอ ฉันก็คงจะเบาใจ”

“หนูทำให้หนักใจตรงไหน” เหลียงจิ้งเหยาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “เรื่องทำธุรกิจใหม่หนูคุยกับพี่เขาแล้ว พี่เขาก็สนับสนุนหนูด้วย ใช่ไหมคะพี่” พูดจบเธอก็หันไปมองจั่นหลิงจวินด้วยสายตาข่มขู่

จั่นหลิงจวินเม้มปากกลั้นยิ้มไว้ “เหยาเหยาบอกว่าอยากจะเปิดแพลตฟอร์มพีทูพี รับออกแบบตกแต่งตู้โชว์เสื้อผ้า ผมคิดว่าความคิดสร้างสรรค์ก็ธรรมดา แต่ว่าดีที่ลงทุนน้อย”

อะไรเรียกว่า ‘ความคิดสร้างสรรค์ก็ธรรมดา’ เหลียงจิ้งเหยากัดฟันถลึงตามองหน้าพี่ชาย ขณะที่กำลังจะเถียงออกไปก็ถูกเซียวเซียวดึงเอาไว้ห้ามไม่ให้เธอพูดอะไรออกมา

เหลียงจิ้งเหยามีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเห็นคนอื่นแขวนเสื้อผ้าในตู้ไม่เรียบร้อยก็จะรับไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปที่อพาร์ตเมนต์ของเซียวเซียวก็อดที่จะจัดการตู้เสื้อผ้าของเธอไม่ได้ เหลียงจิ้งเหยาไปเรียนวิชาการจัดดิสเพลย์สินค้าจากเมืองนอกได้ใบประกาศนียบัตรนักจัดดิสเพลย์สินค้ามาด้วย จึงมีความคิดอยากจะเปิดแพลตฟอร์มพีทูพีมานานแล้ว เคยพูดกับเซียวเซียวหลายครั้ง แต่ทางบ้านไม่สนับสนุน

“ดึงฉันไว้ทำไม” เหลียงจิ้งเหยาถลึงตาใส่เพื่อนรัก อีกฝ่ายไม่ได้ยินที่พี่ชายอสรพิษของเธอกำลังพูดอยู่หรือไง เดิมแผนการจัดตั้งธุรกิจของเธอพ่อก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยอยู่แล้ว นี่เขายังมาบอกว่าความคิดสร้างสรรค์ของเธอธรรมดา ตกลงว่าจะมาช่วยเธอหรือมาถล่มเธอกันแน่

“ลงทุนน้อยเหรอ” เหลียงเต๋อหวาจับที่ประเด็นสำคัญ ดวงตาเป็นประกายขึ้น มองดูลูกสาวของตัวเองที่ทำท่าฮึดฮัดหงุดหงิดอยู่ ถ้าหากเงินไม่เยอะเท่าไรแล้วทำให้เธอหยุดวุ่นวายไปได้สักพักก็ไม่เลว “งั้นลูกก็ทำประมาณการแผนงานมาให้พ่อดูแล้วกัน”

เอ๋? นี่สำเร็จแล้วเหรอ

เหลียงจิ้งเหยากระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ “ได้ค่ะๆ พรุ่งนี้หนูจะเอามาให้พ่อดูนะคะ”

เมื่อความหวังเป็นจริงแล้ว เหลียงจิ้งเหยาก็บอกว่าจะเลี้ยงข้าวลูกพี่ลูกน้องและเพื่อนรักอย่างร่าเริง

“ไม่ต้องขอบใจ รับของเขามาแล้วก็ต้องทำงานสิ” จั่นหลิงจวินพูดเสียงเย็น

ไม่ถึงสองอาทิตย์จั่นหลิงจวินก็แจ้งเซียวเซียวให้มาดูชุดที่ตัดเสร็จแล้ว เซียวเซียวจึงเชิญช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายรูปให้กับทุกคน

ยูนิฟอร์มมาในธีมสีขาวดำ ผสมผสานระหว่างความเป็นจีนและตะวันตก สวมใส่แล้วก็ดึงดูดสายตาของลูกค้าในสโมสร

“คุณหมอหลี่ คุณสวมชุดนี้แล้วหล่อจริงๆ” สุภาพสตรีที่มาฟื้นฟูร่างกายหลังคลอดชื่นชมหลี่เหมิงไม่หยุด

หน้าดำๆ ของหลี่เหมิงแดงระเรื่อขึ้นมา เขายกมือขึ้นลูบศีรษะ “จริงเหรอครับ”

ช่างภาพร้องเตือนให้หลี่เหมิงโพสท่าให้ดีๆ เสียงชัตเตอร์ดังแชะๆๆๆ เซียวเซียวมองหลี่เหมิงที่ดีใจจนวางหน้าไม่ถูก ก่อนจะนึกถึงข้อมูลที่ตรวจเช็กจากกรมธุรกิจพาณิชย์ขึ้นมา หลี่เหมิงถือหุ้นอยู่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ดูก็รู้ว่าเป็นส่วนที่ตัดออกมาจากจั่นหลิงจวิน ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนเล็กๆ แต่กลับเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายซึ่งมีภาระใหญ่หลวง อย่างไรก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี

ในใจอยากจะถามจั่นหลิงจวิน แต่เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็ลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น…

เสื้อเชิ้ตสีดำไม่ว่าจะตอนไหนก็ช่วยขับผิวของจั่นหลิงจวิน เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเข้ารูปพอเหมาะพอดีกับไหล่ของเขาและส่งให้ดูงามสง่า เขาทั้งดูอ่อนเยาว์และผอมเพรียว ลายเส้นสีเงินที่เชื่อมต่อกันบริเวณคอเสื้อและแขนเสื้อ ประกอบกับกระดุมที่ดูโบราณนั่นอีก ช่างให้ความรู้สึกเหมือนกับย้อนเวลาไปชั่วขณะ

งดงามประหนึ่งหยก โดดเด่นไร้คนเทียบ

เหมือนหยกงามก็เขา โดดเด่นไร้คนเทียบก็เขา

“ตรงนี้ยังไม่ได้ตัดออก” จั่นหลิงจวินยื่นแขนซ้ายออกไปตรงหน้าเซียวเซียวที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า

“ฉันดูหน่อย” เซียวเซียวเดินไปจับที่แขนเสื้อ งานนี้เป็นงานเร่งจึงทำให้ยังไม่ได้เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกับรังดุมนี้ที่ยังต้องเปิดรังดุมออก เธอจึงยืมกรรไกรเล็กๆ จากเถียนเถียนแล้วค่อยเปิดรังดุมออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะช่วยจั่นหลิงจวินติดกระดุมที่แขนเสื้อให้เรียบร้อย

ความร้อนของร่างกายที่ส่งผ่านเสื้อเชิ้ตออกมาทำให้เซียวเซียวหน้าแดงระเรื่อขึ้น

จั่นหลิงจวินก้มหน้าลงมองแก้มที่ย้อยออกมาของเซียวเซียว รู้สึกว่ามีแรงดึงดูดใจบางอย่างจนอยู่ๆ ก็อยากจะยื่นมือออกไปดึงแก้มนั่น

เมื่อคิดแล้วเขาก็ลงมือทำทันที นิ้วมือเรียวยาวยื่นไปที่เนื้อนิ่มๆ นั่นแล้วค่อยๆ ดึงให้ยื่นออกมา

เซียวเซียวกลั้นหายใจและจิกนิ้วเท้าอย่างตื่นเต้น “คุณทำอะไรน่ะ”

“ดูปริมาณไขมันบนหน้าคุณน่ะสิ วันนี้บวมขึ้นมาหน่อยนึงนี่นา” จั่นหลิงจวินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วดึงแก้มเธออยู่อีกครู่หนึ่งถึงจะยอมปล่อยมือ

“นี่คุณมองออกเลยเหรอ” คงเพราะเมื่อคืนเธอทำงานจนดึก วันนี้หน้าก็เลยบวมกว่าปกตินิดหน่อย

จั่นหลิงจวินกลับไปเอามือล้วงกระเป๋าเช่นเดิม “ก่อนหน้านี้เห็นคุณถามถึงมู่เจียงเทียนไม่ใช่เหรอ”

“อ้อ เกือบลืมไปแล้ว ฉันมีของอยากจะมอบให้เขาน่ะ” เมื่อคืนเซียวเซียวเข้านอนดึกเพื่อจะทำของขวัญให้กับมู่เจียงเทียนผู้เป็นไอดอลของเธอ เมื่อจั่นหลิงจวินพูดถึง เธอก็หยิบถุงกระดาษที่วางไว้ข้างๆ แล้วขึ้นลิฟต์ไปชั้นสามทันที

ห้องเปียโนเปิดแง้มอยู่ เสียงเปียโนลอยผ่านช่องว่างของประตูออกมา มีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ข้างประตู เธอยืนนิ่งเป็นรูปปั้น สายตามองคนที่อยู่หน้าเปียโนนั่น

เมื่อมองจากทางด้านหลังเซียวเซียวมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้ จึงคิดว่าต้องเป็นลูกค้าที่แอบขึ้นมาชั้นบนแน่นอน

ดูท่าคงจะเป็นแฟนคลับของคุณมู่

เซียวเซียวคิดว่าจะเข้าไปทักทายคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน

“นี่ คุณก็เป็นแฟนคลับคุณมู่เหมือนกันใช่ไหม” เซียวเซียวเข้าไปใกล้แล้วถามยิ้มๆ ไม่คิดว่าเธอคนนั้นจะตกใจมาก เธอเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง พอมองเห็นหน้าด้านข้างของคนที่แสดงอาการตกใจก็ทำให้เซียวเซียวตกใจมาก

ผู้หญิงคนนั้นช่างเหมือนกับหลันโม่หรูมาก!

หลันโม่หรูเป็นนักแสดงที่เซียวเซียวชื่นชอบมากคนหนึ่ง สองปีนี้กำลังโด่งดังมาก มักจะมีละครที่เธอแสดงฉายอยู่เสมอ เธองดงามมากจนมีคนขนานนามว่าเป็นนางฟ้า เซียวเซียวเชื่อคำพูดที่บอกว่าถ้ามองคนสวยนานๆ แล้วจะสวยด้วย ทำให้ในโทรศัพท์มือถือของเซียวเซียวมีรูปของหลันโม่หรูอยู่มากมาย

หลันโม่หรูอายุยังน้อย ไม่น่าจะเจ็บป่วยจนต้องมารักษาตัวหรอกมั้ง เซียวเซียวจึงคิดว่าตัวเองน่าจะจำคนผิด

จากนั้นเซียวเซียวก็ผลักประตูเข้าไป มองภาพของคนที่นั่งตัวตรงอย่างสง่างามอยู่ที่หน้าเปียโนแล้วก็ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

นี่คือเพลง ‘Tears’ ที่เรียบเรื่อยและอ่อนโยน

 

‘ฉันขอใช้หยดน้ำตาชะล้างกุหลาบนี้ เพื่อจะขจัดความมืดมัวในหัวใจ แต่น้ำตาก็ไม่อาจจะหยุดไหลได้ ทำให้หัวใจฉันยิ่งเจ็บปวด ไม่ต้องสนใจฉัน ปล่อยให้ฉันอยู่กับความลังเลเพียงลำพัง เวลาพลันหยุดเดินที่โบสถ์ตอนบ่ายสามครึ่ง…’

 

มือของมู่เจียงเทียนยังไม่หายดี เขาจึงเล่นได้แต่เพลงที่มีท่วงทำนองช้าและจังหวะไม่ยากนัก แต่บทเพลงที่มีท่วงทำนองช้าส่วนใหญ่ย่อมเป็นเพลงเศร้าและยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก

บทเพลงจบลงแล้วแต่มู่เจียงเทียนยังคงวางมือทั้งสองไว้บนคีย์บอร์ดนิ่งๆ วันนี้เด็กที่บกพร่องทางการได้ยินไม่ได้มาฟังด้วย เขาจึงนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว นิ่งอยู่หลายวินาทีแล้วค่อยๆ เปล่งเสียงขึ้น “คุณมาอีกแล้วเหรอ”

เซียวเซียวมองซ้ายมองขวา ในห้องนี้นอกจากมู่เจียงเทียนก็มีแค่เธอเท่านั้น “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”

“สองอาทิตย์นี้คุณมาฟังผมเล่นเปียโนบ่อย ผมจำเสียงฝีเท้าคุณได้” มู่เจียงเทียนพูดเรียบๆ พลางหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ ฟังอยู่สักพักก็เริ่มดีดนิ้วลงไปเหมือนกับกำลังฝึกหัดบทเพลงใหม่

การที่ไอดอลจำเธอได้เช่นนี้ทำให้เซียวเซียวอดที่จะตื่นเต้นดีใจไม่ได้ “ฉันชื่อเซียวเซียว เป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้า ตอน…ตอนที่เรียนมัธยมฉันชอบคุณมาก ฉันซื้อซีดีคุณทุกแผ่นเลย” ความจริงเธอไม่ค่อยเข้าใจดนตรีสักเท่าไร ช่วงเริ่มแรกที่คลั่งไคล้มู่เจียงเทียนก็เพราะใบหน้าหล่อๆ นั่น

มู่เจียงเทียนไม่ได้ตอบเธอ ยังคงจมดิ่งไปกับการซ้อมเพลงใหม่

แต่เซียวเซียวก็ไม่ได้ถือสาอะไร คนที่เป็นศิลปินก็ต้องมีอารมณ์เชิดหยิ่งอยู่บ้าง พูดกับเธอสักประโยคสองประโยคก็ถือว่าดีมากแล้ว เซียวเซียวถือโอกาสนี้ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ มู่เจียงเทียนอย่างยินดี แล้วหยิบภาพออกมาจากถุงกระดาษ “นี่เป็นภาพตอนที่ฉันมาเจอคุณที่นี่ครั้งแรก รู้สึกอยากจะวาดภาพนี้ออกมา ขอมอบให้คุณได้ไหมคะ”

เสียงดีดเปียโนที่กำลังดังอยู่เงียบลงทันที มู่เจียงเทียนหันหน้าไปทางเซียวเซียว ไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือหัวเราะดี เอาภาพมาให้คนตาบอด ผู้หญิงคนนี้ไม่มีสมองหรือว่าต้องการจะทำให้เพื่อประชดเขากันแน่

แต่เมื่อได้จับภาพนั้น สีหน้าของมู่เจียงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที ภาพนี้ใช้เศษผ้าชิ้นเล็กๆ มาเรียงต่อกัน ผ้าชิ้นเล็กๆ ที่นูนขึ้นทุกตารางนิ้วทำให้เกิดภาพตอนนั้นขึ้นมาในหัวของเขา

แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามา นักเปียโนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างกำลังลูบคลำคีย์บอร์ดเปียโนอยู่ ด้านข้างมีตัวอักษรอยู่บรรทัดหนึ่ง เขียนว่า ‘เซียวเซียวมู่อวี่ส่าเจียงเทียน’

เมื่อมองดูมู่เจียงเทียนคลำตัวอักษรบรรทัดนั้น เซียวเซียวก็รู้สึกเขินอายนิดหน่อย “นั่นมัน…ตอนเรียนมัธยมฉันมักจะเขียนประโยค ‘เซียวเซียวมู่อวี่ส่าเจียงเทียน’ นี้ลงในสมุดบันทึก แล้วก็คุยล้อเล่นกับเพื่อนๆ ว่าฉันกับมู่เจียงเทียนเป็นคู่กัน…”

เดิมคิดเพียงว่าจะมอบหัวใจของสาวน้อยให้กับไอดอล แต่ไม่คิดว่าเมื่อพูดออกไปแล้วจะรู้สึกขายหน้าขนาดนี้ เซียวเซียวยกมือซ้ายขึ้นตีมืออีกข้างของตัวเอง ทำไมมือเลอะเทอะนี่ถึงต้องไปติดเขียนประโยคตั้งแต่สมัยมัธยมมาด้วยนะ

“ฮ่าๆ” มู่เจียงเทียนหัวเราะออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาหลับสองตาลงสนิทแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ให้ความรู้สึกหยิ่งผยองเช่นคนชั้นสูง “จะเล่นเพลงให้คุณเพลงหนึ่งแล้วกัน”

“เอ๋?” เซียวเซียวเงยหน้าขึ้น

จากนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มบรรเลงเพลงพร้อมกับร้องคลอไปด้วย

“เสียงฝนเทจั้กๆ ค่อยหนักขึ้น สะท้อนตามด้วยเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ชาวประมงเย็นย่ำครวญเพลงคืนรัง กลางม่านฝนไม่อาจฟังให้รู้ความ เจ้านกน้อยคลอขับเคล้าเสียงขาน กลืนผสานกลางแสงพลบจบสายัณห์…”

เพียงไม่นานทำนองเพลงสั้นๆ นั้นก็จบลง

“เพราะจังเลย” เซียวเซียวตื่นเต้นมาก เธอไม่เคยได้ยินดนตรีแบบนี้มาก่อน “นี่มันเพลงอะไรคะ”

“เซียวเซียวมู่อวี่ส่าเจียงเทียน” มู่เจียงเทียนเอียงหน้าเล็กน้อย แสดงความซุกซนแบบเด็กๆ ออกมา

นี่เป็นเพลงแต่งสด?!

เซียวเซียวตกตะลึงจนนิ่งงัน โชคดีที่เธอรีบก้มหน้าลงกดปุ่มอัดเสียงไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเพลงที่แต่งมาเพื่อเธอโดยเฉพาะคงจะสูญหายไป

นี่มันเป็นเพลงที่แต่งสดๆ แต่ทำไมช่างไพเราะน่าฟังเช่นนี้

รอยยิ้มบนใบหน้ามู่เจียงเทียนค่อยๆ เลือนหายไป เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมาเป็นนักเปียโนผู้โดดเดี่ยวอีกครั้ง

เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักเปียโน ตั้งแต่เด็กจนโตโลกของเขามีเพียงตัวโน้ต ตัวโน้ตได้เก็บรวบรวมความทุกข์โศกและความสุขของเขาไว้มากมาย แต่วันที่หายนะพรากเอามือที่เล่นเปียโนของเขาไป เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นรูบินสไตน์ได้อีกแล้ว เป็นได้แค่เพียงนักเปียโนธรรมดาเท่านั้น โลกของเขาพังทลายลงทันที จากนั้นความสุขก็ค่อยๆ เลือนหายไป

เซียวเซียวมองเขาแล้วกัดริมฝีปาก “คุณไม่อาจเป็นรูบินสไตน์ได้ แต่คุณก็เป็นโชแปงได้นี่”

“โชแปง?”

“นักดนตรีเป็นเพียงแค่คนในยุคสมัยหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้ประพันธ์เพลงจะยังคงอยู่ตลอดกาล” ดวงตาของเซียวเซียวเป็นประกายขึ้นมา “ก็เหมือนกับฉัน ไม่อาจจะเป็นซูเปอร์โมเดลได้ แต่ฉันเป็นดีไซเนอร์ได้ ชื่อเสียงของดีไซเนอร์ยืนยาวกว่านางแบบ มนุษย์เรายากที่จะจดจำคริสตินา อากีเลราหรือคลอเดีย ชิฟเฟอร์ได้ตลอดกาล แต่จะจดจำโกโก้ ชาแนลได้ตลอดไป”

เซียวเซียวกุมแก้มบานๆ ของเธอ เธอเองก็เคยมีความฝันอยากจะเป็นซูเปอร์โมเดล แต่เพราะความสูงไม่ถึงเธอจึงเป็นนางแบบฟิตติ้งให้กับอเดอลีนให้พอหายอยาก แต่สุดท้ายแม้แต่นางแบบฟิตติ้งก็เป็นไม่ได้แล้ว ทว่าอย่างไรก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่เธอจะได้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงซึ่งถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ดังเช่นชาแนล

มู่เจียงเทียนที่ได้ยินคำพูดแบบนี้เป็นครั้งแรกพลันนิ่งไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา เขาหัวเราะอย่างฝืนๆ “คุณก็ให้ค่าผมมากเหลือเกิน ผมจะเป็นโชแปงได้ยังไงกัน”

“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ได้ ตอนนั้นโชแปงก็คงไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นโชแปงที่ทุกคนรู้จัก” เซียวเซียวพูดเหมือนรู้และเข้าใจทุกอย่างดี

มู่เจียงเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็ไม่ได้เล่นเปียโนต่อด้วย เขาก้มหน้าลง มือสัมผัสคีย์บอร์ดเปียโนเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อเซียวเซียวเห็นว่ามู่เจียงเทียนไม่ได้สนใจเธอแล้วจึงลุกขึ้นอย่างอายๆ เธอเงยหน้ามองก็เห็นจั่นหลิงจวินที่ยืนอยู่หน้าประตูกำลังมองเธอด้วยสายตาที่อธิบายไม่ได้

เธอค่อยๆ เดินอย่างเบาๆ ไปถึงที่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับไปมองมู่เจียงเทียนด้วยจิตใจสับสน แล้วถามจั่นหลิงจวินด้วยเสียงแผ่วเบา “ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”

จั่นหลิงจวินก้มหน้ามองเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วพูดออกมา “คุณเหมือนดอกทานตะวัน”

“หา?!” เซียวเซียวกะพริบตาปริบๆ แล้วดันแก้มขึ้นมาพลางพูดด้วยอารมณ์โมโห “นี่คุณว่าฉันหน้าบานใช่ไหม” เวลาคนอื่นเขาพูดถึงหญิงสาวจะพูดว่าบริสุทธิ์เหมือนกับบัวขาว อ่อนช้อยเหมือนกับแดฟโฟดิล เมื่อถึงเธอหน้าใหญ่ๆ ก็กลายเป็นดอกทานตะวัน

จั่นหลิงจวินไม่ได้อธิบายอะไรต่อ การนิ่งเงียบเหมือนเป็นการยอมรับ จากนั้นเขาก็เดินอ้อมเซียวเซียวเข้าไปในห้อง ทำเอาเธอหงุดหงิดใจมาก ยังดีที่เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนอย่างไร พอสนิทสนมกันแล้วก็มักจะขุดข้อด้อยของเธอออกมา

เซียวเซียวเดินจากไปอย่างหงุดหงิด ทิ้งให้จั่นหลิงจวินมองหน้ามู่เจียงเทียนอย่างเงียบๆ

“นายบอกว่าเธอเหมือนดอกทานตะวัน เป็นความหมายเดียวกับที่ฉันเข้าใจใช่ไหม” มู่เจียงเทียนค่อยๆ ปิดฝาเปียโนลง

จั่นหลิงจวินไม่พูดอะไร เขาหยิบภาพที่เรียงต่อกันด้วยเศษผ้าขึ้นดู ผ้าสีทองแทนดวงอาทิตย์ ในห้องเปียโนแคบๆ จุดเด่นของภาพนี้ไม่ใช่นักเปียโนผู้โดดเดี่ยว แต่เป็นแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปทั่วทุกหนแห่ง

“ดอกทานตะวันเป็นดอกไม้ที่หันไปหาแสงสว่าง หันไปหาดวงอาทิตย์ตลอดกาล เธอเป็นความหวัง เป็นพลังที่เกิดขึ้นและไม่ดับมอด” มู่เจียงเทียนลุกขึ้นยืนพลางคลำหาไม้เท้าคนตาบอด “ฉันยังจำกลอนของหลิงอี้ได้”

จั่นหลิงจวินเม้มริมฝีปากบางแน่น ส่งภาพในมือนั้นคืนให้มู่เจียงเทียน “เก็บของขวัญจากแฟนคลับไว้ให้ดีด้วย”

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 24

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: