X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 11

ทดลองอ่าน – บทที่ 9

 วันต่อมา ชาวสกุลหลูสี่คนต่างตื่นแต่เช้า เพียงแต่เทียบกับในกาลก่อนที่กินอาหารเช้าอย่างผ่อนคลายเป็นสุข บรรยากาศของเช้าวันนี้ปะปนไปด้วยความเศร้าหมองจากการพลัดพรากจากกันไว้จางๆ แม้จะรู้ว่าช้าเร็วหลูจื้อกับหลูจวิ้นก็ต้องกลับมา แต่หลูซื่อกับอี๋อวี้มองดูอาหารเช้าที่พรั่งพร้อมกว่าปกติตรงหน้าแล้ว กลับกลืนไม่ลงคออยู่บ้าง

หลูซื่ออดมิได้ที่จะพูดย้ำสำทับเรื่องที่ต้องระมัดระวังกับบุตรชายสองคนบนโต๊ะกินข้าว หลายวันมานี้สามพี่น้องได้ยินคำพูดพวกนี้อยู่บ่อยๆ ทว่าไม่มีสักคนแสดงท่าทางหงุดหงิดรำคาญ หลูจื้อยังนั่งนิ่งตัวตรง ตั้งใจรับฟังหลูซื่อพร่ำพูดซ้ำๆ ประหนึ่งเป็นพระราชโองการทุกคราไป

“ถึงอำเภอชิงหยางแล้ว ตอนเช่ารถม้ากับคนอื่น อย่าวางสัมภาระทิ้งไว้นะ”

“ขอรับ”

“พอถึงฉางอันแล้ว ถ้าอากาศร้อน อย่าผลีผลามสวมอาภรณ์น้อยลง เหงื่อออกแล้วโดนลมจะจับไข้ได้ง่าย เกิดถ่วงเวลาเรื่องสำคัญเข้าจะไม่เป็นการดี”

“อื้อ ลูกทราบแล้วขอรับ”

“ถ้าจำเป็นก็ไปขออาศัยในวัดวาอารามที่เงียบสงบและปลอดภัยสักแห่ง ไม่ต้องตระหนี่เงินทำบุญ หากอยู่ข้างนอกเปรี้ยวปากอยากกินเนื้อ ต้องล้างกลิ่นคาวออกให้สะอาดค่อยกลับไปนะ”

“ขอรับ”

“หาที่พำนักได้แล้วอย่าเถลไถลไปไหน ไปที่กรมพิธีการแลกเปลี่ยนหนังสือราชการแล้วเก็บติดตัวไว้ให้ดี”

“ขอรับ”

“แม่แลกเศษก้อนเงินใส่ไว้ในถุงเล็กๆ นั่น เจ้าต้องตรวจดูเป็นประจำว่ายังอยู่บนตัวหรือไม่ ถ้าหล่นหายไปอย่าแตกตื่น ในซอกตะเข็บบนปลอกข้อมือของหลูจวิ้นมีเงินสำรองยามคับขันอยู่”

“ท่านแม่ ลูกจะระมัดระวังขอรับ”

“ตอนเยี่ยมคารวะผู้คุมสอบพยายามอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากที่สุด พวกเราไม่มีเงินมอบของขวัญ แต่ขอเพียงมีความประพฤติและความรู้ความสามารถดีเลิศ พวกเขาก็ไม่กล้าหลอกลวงกลั่นแกล้งเพราะเจ้าอายุน้อย”

“ลูกทราบแล้วขอรับ”

อี๋อวี้ก้มหน้าใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวในชามเข้าปาก หูก็ได้ยินเสียงกำชับกำชาของหลูซื่อ เสียงขานรับของหลูจื้อและเสียงเคี้ยวข้าวหมุบหมับของหลูจวิ้น หากในหัวกลับนึกย้อนไปถึงบทสนทนาที่ทำให้นางตกตะลึงเมื่อคืน

นางทบทวนเรียบเรียงความคิดอยู่ทั้งคืน พอจะปะติดปะต่อเป็นเงื่อนงำที่ค่อนข้างแน่ชัดจากการพูดคุยไม่กี่คำนั้นได้ว่าสามีของหลูซื่อเป็นชนชั้นสูงในเมืองหลวงฉางอัน เพราะสตรีนางหนึ่งกับบุตรชายของอนุภรรยา เขาจะลงมือสังหารหลูจื้อ บุตรชายของภรรยาเอก เป็นเหตุให้หลูซื่อซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่พาบุตรชายสองคนหนีไปอยู่ที่อื่น และปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเรื่องในอดีต

นางรู้ว่าการคาดเดาของตนเองอาจจะคลาดเคลื่อนไปมาก แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือในครั้งนั้น ‘ท่านพ่อ’ ผู้นั้นจะต้องกระทำเรื่องที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้มารดากับพี่ชายของนางเป็นแน่แท้ เสียงของหลูจื้อเมื่อวานนี้ยังคงดังก้องอยู่ริมหู สุ้มเสียงที่เจืออารมณ์ด้านมืดต่างๆ ทั้งชิงชัง จนปัญญา เคว้งคว้างวังเวงใจผสมผเสกันไป ไม่คล้ายเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีคนหนึ่งพึงจะมี

ครั้นความลับที่กระหายอยากรู้เรื่อยมาถูกเปิดเผยออกมาจริงๆ นางกลับรู้สึกหนักอึ้งตรงกลางอก ดูเหมือนว่าบิดาบังเกิดเกล้าผู้นั้นยังเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะในเมืองฉางอันพอสมควร ไม่รู้ว่าแปดเก้าปีที่ผ่านมา ยังจดจำพวกนางสามแม่ลูกได้หรือไม่ หากหลูจื้อพบเจอคนผู้นั้นด้วยความบังเอิญจริงๆ สมควรวางตัวอย่างไร

ยามนี้ความตื่นเต้นเบิกบานใจที่หลูจื้อได้ไปสอบเข้ารับราชการที่เมืองฉางอันในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นวิตกกังวล นางเหลือบตาขึ้นลอบมองดวงหน้าหมดจดที่ยังแฝงเค้าอ่อนเยาว์ของพี่ชาย รู้ว่าตนเองไม่อาจพูดถึงเรื่องนี้ได้แม้เพียงครึ่งคำ

“อวี้เอ๋อร์เป็นอะไรไป อาหารเย็นชืดหมดแล้วไม่เห็นเจ้ากินสักเท่าไหร่เลย” ระหว่างที่หลูซื่อกำชับเรื่องต่างๆ กับหลูจื้อยังไม่ลืมแลดูบุตรสาวคนเล็ก พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ถือตะเกียบเขี่ยข้าวในชามแต่กลับกินไปไม่กี่คำก็อดแบ่งความสนใจมาไต่ถามไม่ได้

“ท่านแม่ เสี่ยวอวี้ไม่อยากให้พี่ใหญ่ไปเลย” อี๋อวี้ถูกจับได้ว่ามีท่าทางผิดปกติไปก็กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เร่งรีบปั้นหน้าละห้อยดูน่าสงสารขณะมองมารดา

“เสี่ยวอวี้เป็นเด็กดีนะ ใช่ว่าพี่ใหญ่จะไม่กลับมาอีก ตอนข้าไม่อยู่ เจ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านแม่ จะดื้อจะซนไม่ได้ รู้หรือไม่” หลูจื้อเอื้อมมือไปหยิกแก้มเล็กๆ ของนางทีหนึ่งพลางกล่าวยิ้มๆ

“ใครดื้อใครซนกัน เสี่ยวอวี้เชื่อฟังที่สุด พี่ใหญ่พูดส่งเดช” ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กน้อยมาห้าปี นิสัยของอี๋อวี้ย่อมต้องมีความเป็นเด็กอยู่มาก บ่มเพาะให้นางทำแง่งอนเกเรได้ช่ำชองขึ้นหลายส่วน

“ฮ่าๆ ใช่ๆ เจ้าเชื่อฟังที่สุด ตอนพี่ใหญ่กลับมาจะเอาของเล่นจากเมืองหลวงติดมือติดไม้มาฝากเจ้านะ”

อี๋อวี้ส่ายหน้าพร้อมเอ่ยอย่างจริงจัง “ขอแค่พี่ใหญ่กลับมาโดยไว เดินทางราบรื่น เสี่ยวอวี้ไม่อยากได้อะไรเจ้าค่ะ”

“ดี อวี้เอ๋อร์ของแม่กล่าวได้ดี เดินทางราบรื่น กลับมาโดยไว” หลูซื่อเห็นบุตรสาววางท่าเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยอีกแล้ว ทั้งยังกล่าวถ้อยคำกระทบเข้ากลางใจก็ยื่นมือไปลูบศีรษะนางเบาๆ

“ท่านแม่ ถึงตรงนี้ก็พอขอรับ ไม่ต้องไปส่งแล้ว” พอหลูซื่อพาอี๋อวี้ตามไปส่งบุตรชายถึงจุดที่ห่างจากทางเข้าหมู่บ้านสองลี้ หลูจื้อก็เอ่ยปากขึ้นในที่สุด

“ได้ๆ พวกเจ้าสองคนออกเดินทางต่อเถอะ” สุ้มเสียงของหลูซื่อเจือรอยสะอื้น เพียงฝืนกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลรินลงมา

อี๋อวี้ก็โศกเศร้าทุกข์ใจ มือหนึ่งกำชายเสื้อไว้ ก้มหน้าไม่ยอมมองพี่ชายสองคน

หลูจื้อถอนใจแผ่วๆ เฮือกหนึ่ง ก้าวเข้าไปสวมกอดหลูซื่อ เปล่งเสียงเรียกเบาๆ ดังลอดจากปากว่า “ท่านแม่” ทำให้นางสุดจะกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มเบ้าได้อีกสืบไป

หลูจวิ้นกลับไม่ใส่ใจบรรยากาศหมองเศร้านี้ หัวเราะร่าดึงอี๋อวี้มาใกล้ๆ แล้วอุ้มตัวนางชูขึ้นกลางอากาศ เอ่ยหยอกนาง “เสี่ยวอวี้อยากร้องไห้ขี้มูกโป่งเหมือนกันล่ะสิ มา…ร้องไห้ให้พี่รองหน่อย พี่รองไม่ได้เห็นเจ้าเป่าปี่ขี้แยมาตั้งนานแล้ว”

อี๋อวี้ที่สลดหดหู่อยู่ในทีแรกได้ยินคำพูดนี้ก็เหยียดมือสองข้างไปหยิกแก้มของหลูจวิ้นทันที พร้อมกล่าวเสียงฮึดฮัด “พี่รองนิสัยไม่ดี หัวเราะเยาะข้า”

“โอ๊ยๆ เจ็บๆๆๆ เสี่ยวอวี้เป็นเด็กดีนะ ปล่อยมือเร็วเข้า” หลูจวิ้นไม่กล้าขืนตัวออก ด้วยกลัวตนเองมือหนักจะพลั้งทำน้องสาวบาดเจ็บ รอกระทั่งนางหยิกเขาจนอารมณ์ดีขึ้นแล้วปล่อยมือออก ถึงวางร่างนางกลับลงไปบนพื้นอย่างเบาไม้เบามือ

การกระเซ้าเย้าแหย่ของทั้งสองช่วยบรรเทาความระทมหม่นหมองในใจพี่ชายคนโตกับมารดาให้เจือจางลงไม่น้อย หลูจื้อถึงขั้นมีแก่ใจกล่าววาจาทับถม

“เจ้าปล่อยให้นางระบายความโกรธเถอะ เจ้าไปแล้ว ในเรือนก็ไม่มีใครให้นางแกล้งอีก”

อี๋อวี้ฉุนโกรธ ไม่มีใครให้นางแกล้งหมายความว่าอะไร นางเคยแกล้งหลูจวิ้นด้วยหรือ ว่ากันถึงเรื่องแกล้งคน คนทั้งครอบครัวรวมหัวกันแล้วยังไม่เก่งเท่าหลูจื้อคนเดียวเลย

“เอาล่ะ แม่ไม่พิรี้พิไรแล้ว” หลูซื่อเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม สืบเท้าเข้าไปจัดเสื้อผ้าของบุตรชายสองคนให้เข้าที่

“พวกเจ้าไปกันเถอะ”

หลูจื้อกับหลูจวิ้นได้ยินแล้วพยักหน้า มองพวกนางสองแม่ลูกแวบหนึ่งอย่างอาวรณ์ ถึงหันหลังออกเดินไปพร้อมกัน และค่อยๆ ลับร่างไปในผืนป่าต้นฮว่าเบื้องหน้า

“อวี้เอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะ” หลูซื่อมองไม่เห็นแผ่นหลังของบุตรชายทั้งคู่แล้ว จึงจูงมืออี๋อวี้เดินย้อนกลับไปทางเดิม

“ท่านแม่ อย่าเสียใจเลยนะเจ้าคะ พวกพี่ๆ ไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”

“แม่ไม่ได้เสียใจสักหน่อย เจ้าตัวกวนใจสองคนนี้ไปแล้ว เหลือเด็กว่าง่ายอย่างเจ้าคนเดียว แม่สบายขึ้นไม่น้อยเลยนะ”

“อ๋อ ที่แท้เมื่อครู่นี้ท่านแม่ร้องไห้น้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เป็นดีใจนี่เอง”

“เจ้าลูกคนนี้ กล้าล้อเล่นกับแม่แล้วนะ”

เมื่อได้อี๋อวี้เจตนาปลอบอารมณ์ ตอนเดินถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ใบหน้าของหลูซื่อก็ไม่หลงเหลือรอยหม่นเศร้าเมื่อครู่นี้ให้เห็นอีก กลับถกเถียงกับนางเรื่องลวดลายผ้าปักซื่อชวนแทน

หลูจื้อเข้าเมืองหลวงคราวนี้ หลูซื่อเอาเงินยี่สิบกว่าก้วนแลกเป็นเศษก้อนเงินให้เขาพกติดตัว เวลานี้ในเรือนเหลือเงินเก็บไม่มาก แม้ว่าใกล้จะเก็บเกี่ยวพืชผลตอนปลายฤดูใบไม้ผลิ กอปรกับมีรายได้จากการขายถังหูลู่ กระนั้นสองแม่ลูกยังหารือกันว่าจะซื้อวัสดุชั้นดีมาทำงานปักชิ้นใหญ่สักหลายๆ ชิ้นไปขายให้ร้านขายผ้าหนีอวิ๋น เพื่อหาเงินเพิ่มขึ้น รอเมื่อหลูจื้อกลับมา จะได้มีเงินเหลือพอใช้สอยสำหรับการสอบของกรมปกครองในวันหน้า

ขณะก้าวเท้าเข้าสู่ถนนในหมู่บ้าน อี๋อวี้เป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล มาตรว่านางไม่ชอบออกไปไหน หลายปีที่ผ่านมาก็เดินผ่านทางสายนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ มองเห็นพวกหญิงที่ออกเรือนแล้วจับกลุ่มคุยเล่นกันหลังทำงานเสร็จอยู่ริมถนนอยู่บ่อยๆ ทว่าวันนี้พวกนางกลับชุมนุมกันเป็นกลุ่มใหญ่จนอี๋อวี้รู้สึกหลากใจ

ที่สำคัญคือสายตาสำรวจตรวจตราที่จับจ้องมองตามพวกนางสองแม่ลูกไม่ขาดสายนั่น ทำให้นางไม่สบอารมณ์ยิ่ง แต่นั่นมิใช่เพราะดวงตาเหล่านั้นแฝงความประสงค์ร้ายใด เพียงแต่พอนางตวัดสายตาไป สตรีที่แอบมองอยู่พวกนั้นก็หลบตาด้วยท่าทางหลุกหลิก ชวนให้สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องร้ายอะไรบางอย่างบังเกิดขึ้น

หลูซื่อรับรู้ถึงบรรยากาศที่แปลกพิกลในหมู่บ้านได้แล้วเช่นกัน นางชายตามองพวกสตรีที่แอบมองตนเองตลอดทางซ้ำๆ อย่างนึกฉงน หากแต่ไม่แสดงความรู้สึกออกมา นางจูงอี๋อวี้เร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้น หลังกลับถึงเรือนไม่มีสายตาชอบกลมองอยู่ ถึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง

อากาศในเดือนสองยังหนาวเย็นอยู่ หลูซื่อก้าวเข้าเรือนแล้วไปก็เตรียมอ่างไฟ ส่วนอี๋อวี้นั่งอยู่บนเสื่อหวนคิดไปถึงสีหน้าของสตรีพวกนั้น หมายขบคิดหาสาเหตุให้ได้บ้าง ในเวลานี้เองพลันมีคนผู้หนึ่งลุกลี้ลุกลนวิ่งมาในลานเรือนสกุลหลู และย่างเท้าผ่านประตูห้องโถงที่ยังไม่ปิดเข้ามา

“เสี่ยวอวี้ แม่ของเจ้าล่ะ” ผู้มาคือหนิวซื่อ มารดาแท้ๆ ของเสี่ยวชุนเถาสหายสนิทของนาง ขณะนี้ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ธรรมดามีนิสัยร่าเริงเปิดเผยผู้นี้กลับเต็มไปด้วยความร้อนรน

อี๋อวี้ไม่ทันกล่าวตอบ หลูซื่อก็ยกอ่างไฟเดินมาจากห้องครัว พอเห็นหนิวซื่อ นางชะงักไปก่อนจะเอ่ยเย้าๆ “ไฉนมาตอนนี้เล่า สายกว่านี้สักหน่อยจะได้กินอาหารมื้อเที่ยงกัน แม่ไก่ในเรือนเพิ่งออกไข่ อย่างกับรู้ว่าท่านจะมาขอข้าวกิน”

“นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว เจ้า…เสี่ยวอวี้ เจ้ากลับเข้าห้องไปก่อน” หนิวซื่อหยุดปากกะทันหัน หันหน้าไปบอกกับอี๋อวี้ที่เงี่ยหูรอฟังนางพูดอยู่ด้านข้าง

อี๋อวี้มองมารดาแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็กลับเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง พอม่านปิดลง นางย่องกริบไปแอบตัวชิดข้างกรอบประตู หมายลอบฟังว่าทั้งคู่จะพูดความลับอะไรกัน

สุ้มเสียงที่ลดเบาลงของหนิวซื่อดังแว่วมากระทบหูนางอย่างชัดถนัดถนี่ “เอ้อร์เหนียง เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เจ้าใคร่ครวญดีแล้วใช่หรือไม่”

“ใคร่ครวญอะไรดีแล้ว” น้ำเสียงของหลูซื่อแกมกังขา

“ถึง…ถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังจะปิดบังเรื่องนี้กับข้าอีก เจ้าจะออกเรือนใหม่จริงๆ หรือ”

“อะไรนะ!” หลูซื่อตะเบ็งเสียงขึ้นกะทันหัน

“สองสามวันนี้เรื่องที่เจ้าจะออกเรือนใหม่ลือไปทั่วหมู่บ้านแล้ว มีแต่ข้าเพิ่งจะรู้เอาเมื่อเช้านี้ ถึงได้มาถามไถ่เจ้านี่อย่างไรเล่า”

“เป็นผู้ใดกันที่บอกว่าข้าจะออกเรือนใหม่” หลูซื่อกัดฟันกรอด ถามเสียงเน้นหนักทีละคำ

“ตอนข้าอยู่ในแปลงนาเมื่อเช้านี้ได้ยินพวกสตรีคุยเล่นกัน พอถามความดูถึงรู้เรื่องนี้ เอ้อร์เหนียง เจ้าคิดอย่างแจ่มแจ้งแล้วจริงๆ หรือ ถึงเรื่องแบบนี้มิใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน แต่อย่างไรเจ้ายังมีลูกอีกสามคน หลูจื้อก็ไปสอบเข้ารับราชการที่เมืองหลวง นี่ถ้าเจ้าออกเรือนใหม่จริงๆ กลับไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของเจ้าเท่าไหร่”

“พี่หนิวซื่อ ท่านบอกข้าที พวกนางพูดหรือไม่ว่าข้าจะออกเรือนใหม่ไปกับผู้ใด” ดูเหมือนน้ำเสียงของหลูซื่อจะสงบลงบ้าง

“เอ๊ะ? มิใช่นายท่านจางที่ตำบลจางหรอกหรือ เจ้า…เอ้อร์เหนียง เหตุใดสีหน้าเจ้าไม่สู้ดีเลย”

หนิวซื่อกล่าวคำนี้จบ ด้านนอกไม่มีความเคลื่อนไหวใด ผ่านไปอีกอึดใจหนึ่ง เสียงพูดอย่างสะกดกลั้นของหลูซื่อดังขึ้นอีกครา

“พี่หนิวซื่อ ข้าไม่เคยพูดว่าจะออกเรือนใหม่ แล้วก็ไม่มีความคิดนี้ด้วย นี่ต้องเป็นการกุข่าวลือลับหลังข้าเป็นแน่ ถ้าท่านได้ยินเสียงซุบซิบถึงข้ากับนายท่านจาง ข้าพอจะรู้แล้วว่าเป็นผู้ใดที่เล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง”

“เอ๊ะ?”

หลังจากเสียงอุทานด้วยความแปลกใจครามครันของหนิวซื่อดังขึ้น หลูซื่อยากจะควบคุมตนเองได้อีก นางตบโต๊ะลุกขึ้นแล้วกล่าว “ไม่ได้ ข้าต้องไปหาเจ้าคนสารเลวที่เที่ยวนินทาว่าร้ายผู้อื่นไปทั่วคนนั้นประเดี๋ยวนี้”

 

ยามนี้จิตใจของหลูซื่อปนเปไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและตกใจ นางนึกว่าเรื่องไม่เป็นสาระเรื่องนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางเพิ่งส่งบุตรชายออกเดินทางก็บังเกิดเรื่องเหลวไหลในคราวนี้ขึ้นอีก

วันนั้นนางปฏิเสธแม่สื่อหวังผู้นั้นไปอย่างเด็ดขาดแล้วแท้ๆ ซ้ำยังใช้ไม้กวาดไล่ตีพวกนางออกไป ผู้ใดจะรู้ว่าผ่านไปไม่กี่เดือน ถึงกับมีข่าวลือแพร่ออกมาอย่างนี้ นางเพียงหยุดคิดทบทวนเล็กน้อย ก็รู้ว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวโคมลอยลับหลังตนเอง

เรื่องในวันนั้นนางมิได้เอ่ยกับใคร แน่นอนว่าอี๋อวี้ย่อมไม่เอาไปพูดส่งเดช ฉะนั้นเหลือแค่หวังซื่อกับอาหญิงของนางตัวต้นเรื่องสองคนนั่น อีกทั้งตอนพูดคุยกันก็อยู่ในเรือน จึงตัดความเป็นไปได้ที่จะมีคนมาลอบฟังทิ้งไป เหลือแต่หวังซื่อที่ปากพล่อยบอกกับคนอื่นไปทั่ว

หลังมั่นใจว่าเป็นฝีมือของหวังซื่อ นางระงับโทสะไม่อยู่อีก ผลุนผลันออกจากเรือนตรงไปที่เรือนสกุลหลี่โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองให้รอบคอบสักนิดว่าหวังซื่อทำเช่นนี้เพราะเหตุใดกันแน่

ขณะที่หนิวซื่อด้านข้างยังตกตะลึงอยู่ นางไม่ใช่คนเลอะเลือน พอเห็นปฏิกิริยาก่อนและหลังของหลูซื่อก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในซ่อนอยู่ รอเมื่อตั้งสติได้ หลูซื่อก็วิ่งออกไปแล้ว นางสาวเท้าตามไปด้วย ตั้งใจไปดูว่านี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่

หนิวซื่อคล้อยหลังไปไม่ทันไร อี๋อวี้ที่หลบอยู่ในห้องถึงเลิกม่านขึ้นเดินออกมา นางได้ยินถ้อยคำของหนิวซื่อเมื่อครู่ก็เดือดดาลสุดจะกล่าวอยู่ชั่วขณะ แต่ครั้นมารดาบันดาลโทสะขึ้นมา นางกลับสงบอารมณ์ลงได้ และเริ่มตรึกตรองถึงความผิดปกติของเรื่องนี้ได้

นางเป็นคนละเอียดรอบคอบ ต่างจากหลูซื่อที่ภายนอกดูฉลาดทันคน แต่แท้จริงแล้วมิได้หัวไวไปกว่าหลูจวิ้นสักเท่าไหร่ นางเห็นมารดาบุ่มบ่ามวิ่งออกไป ก็รู้ว่าไปหาหวังซื่อเป็นแน่ แม้จะมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของหวังซื่อ นางกลับสงสัยว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

แค่ต้องการทำลายชื่อเสียงท่านแม่หรือ แต่ท่านแม่ไม่มีทางแต่งงานกับนายตำบลสกุลจางผู้นั้นแน่นอน ถึงเวลาข่าวลือจะเงียบหายไปเอง ถ้าหวังซื่อใช้อุบายลอบกัดเยี่ยงนี้เพียงเพื่อให้ท่านแม่เสื่อมเสียจริงๆ ก็คล้ายจะเป็นเรื่องที่สตรีไร้หัวคิดพรรค์นั้นกระทำได้ ทว่าข้อกังวลใจของอี๋อวี้คือเวลาที่ข่าวลือนี้แพร่ออกมา ไฉนถึงประจวบเหมาะกับที่หลูจื้อสอบผ่านแล้วเข้าเมืองหลวง หากก่อนประกาศผลสอบ ยังไม่แน่ใจว่าหลูจื้อจะสอบผ่าน นั่นยังพอมีเหตุผลฟังขึ้น ถ้าหลังประกาศผลสอบ รู้ว่าหลูจื้อต้องไปเข้าร่วมการสอบที่เมืองหลวง หวังซื่อถึงปล่อยข่าวลือนี้ออกมา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าขบคิดให้ลึกลงไป

หวังเพียงว่านี่เป็นความบังเอิญเท่านั้น หวังซื่อไม่ใช่คนมากเล่ห์เพทุบาย ดีชั่วก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวมาหลายปี อี๋อวี้รู้นิสัยของอีกฝ่ายอย่างแจ่มแจ้งดีว่าเป็นสตรีที่ขี้อิจฉาตาร้อน ใจแคบ และชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นคนหนึ่ง แต่ว่า…ยามนั้นเองมีใบหน้าหนึ่งที่ผัดหน้าทาแป้งหนา ยามยิ้มทำให้นางอึดอัดไปทั้งตัววาบผ่านเข้ามาในห้วงสมอง

อี๋อวี้เลิกคิ้วขึ้น รีบไปค้นหากุญแจ จากนั้นปิดประตูใส่กลอนเรียบร้อยแล้ววิ่งไปยังเรือนสกุลหลี่อย่างเร็วรี่

นับจากหลูซื่อวิ่งออกจากเรือนจนอี๋อวี้ไล่ตามไปเป็นเวลาแค่ครึ่งถ้วยชา ขณะนี้ในลานเรือนของสกุลหลี่กลับมีชาวบ้านยืนอยู่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นหญิงวัยกลางคนที่จะกลับเรือนไปทำอาหารตอนกลางวัน ส่วนพวกบุรุษไม่ใคร่จะสนใจมุงดูเหตุการณ์อย่างนี้

ยามที่อี๋อวี้วิ่งมาถึง มองลอดฝูงชนเห็นภาพหลูซื่อเหวี่ยงฝ่ามือจะตบหน้าหวังซื่อ ทว่าฝ่ามือนี้ยังฟาดไม่โดน ก็ถูกหลี่เหล่าสือสามีของนางที่อยู่ด้านข้างยึดเอาไว้

หลูซื่อสะบัดมือให้หลุดจากมือของเขาอย่างฉุนเฉียว นางไม่มองหน้าฉายแววลำบากใจของเขา เพียงพูดกับหวังซื่อคนเดียว “หวังกุ้ยเซียง เจ้าหุบปากซะ!”

“ถือดีอะไรให้ข้าหุบปาก เจ้ากล้าทำไม่กล้ารับ ไม่ยอมให้ข้าพูด แต่ข้าจะพูดเสียอย่าง! เวลานี้เหล่าพี่น้องในหมู่บ้านล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ข้าจะพูดอีกครั้งให้ทุกคนได้ยินชัดถนัดหูว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร” หวังซื่ออาศัยว่ามีสามีปกป้อง ยิ่งใจกล้าเพิ่มขึ้นหลายส่วน เมื่อไม่ต้องกลัวว่าหลูซื่อจะลงมือลงไม้กับตน นางก็เปล่งเสียงโวยวายดังลั่น ส่งผลให้บรรดาชาวบ้านทั้งสี่ทิศที่ยังได้ยินเรื่องราวไม่กระจ่างล้วนเงี่ยหูฟังไปตามๆ กัน

“ดีๆๆๆ!” หลูซื่อกล่าวคำนี้ลอดไรฟันติดๆ กัน นางไม่ห้ามปรามอีกฝ่าย กลับถอยไปอยู่ด้านข้าง ชี้นิ้วไปที่เหล่าชาวบ้านรอบตัวพร้อมกล่าวกับหวังซื่อ “เจ้าพูดสิ พูดถ้อยคำเมื่อครู่นี้ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งอีกหน ให้ทุกคนดูว่าเจ้าใส่ร้ายป้ายสีข้าเช่นไร”

หวังซื่อไม่ขุ่นใจกับคำพูดของนาง สืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งแล้วกล่าวกับผู้คนรอบด้าน “ทุกคนช่วยตัดสินความเป็นธรรมให้ข้าด้วย ดูว่าเรื่องนี้เป็นผู้ใดที่ไม่สุจริตใจ! พี่น้องในหมู่บ้านไม่น้อยต่างล่วงรู้ว่าข้ามีอาหญิงแท้ๆ เป็นแม่สื่อจับคู่ดูตัวชื่อดังอยู่ที่ตำบลจาง คู่สามีภรรยาในรัศมีโดยรอบนี้ที่ผ่านมือนาง ไม่ถึงหนึ่งร้อยก็ไม่ต่ำกว่าห้าสิบ ส่วนเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีกลาย วันนั้นอาหญิงมาหาข้า บอกว่ามีญาติสนิทกำลังมองหาคนที่เหมาะสม ฝ่ายชายคือนายท่านจางของตำบลจาง บอกว่าอยากหาหญิงม่ายครองตัวลำพังที่ถือเกียรติและเชี่ยวชาญการดูแลเหย้าเรือน ยังไม่ต้องเอ่ยว่าการออกเรือนใหม่นั้นเหมาะควรหรือไม่ ที่ข้าอยากให้เรื่องนี้สำเร็จเป็นจริง เพราะเสี่ยวเหมยได้รับความเอื้ออารีจากหลูเอ้อร์เหนียงมาก ด้านนายท่านจางมีทั้งบ้านช่องเรือนชาน เรือกสวนไร่นา อีกทั้งทรัพย์สมบัติ ออกเรือนไปยังได้เป็นภรรยาเอก ข้าเลยคิดอาศัยโอกาสนี้ช่วยเหลือเกื้อหนุนนางได้มิใช่หรือ”

หวังซื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลูซื่อแค่นเสียงเยาะ ข่มใจไว้ไม่ไปตัดบทวาจาเลื่อนเปื้อนของนาง ชาวบ้านที่ล้อมรอบอยู่เริ่มเอียงคอกระซิบกระซาบกัน ไม่มีใครขัดจังหวะหวังซื่อสักคน

“พูดเช่นนี้ อาจมีคนบอกว่าข้าไม่สุจริตใจที่จับคู่ให้หญิงม่าย พวกท่านลองฟังข้ากล่าวต่อไปก่อน ถ้าหลูเอ้อร์เหนียงเป็นคนที่มั่นคงซื่อสัตย์จริงๆ ก็แล้วกันไป นางไม่ตอบตกลง ข้ายังจะว่าอย่างไรได้ แต่วันนั้นต่อหน้านางปฏิเสธ ซ้ำยังตะเพิดไล่ข้ากับอาหญิง ซึ่งเรื่องนี้มีคนมองเห็นใช่หรือไม่”

หวังซื่อหยุดเว้นจังหวะฉับพลัน มองไปรอบๆ จนมีหญิงวัยกลางคนที่จดจำเรื่องในวันนั้นได้พยักหน้าหลายคน นางคลี่ยิ้มอย่างพอใจแล้วกล่าวต่อ “แต่นางไม่เต็มใจจริงๆ ที่ไหนกัน คืนนั้นนางทำลับๆ ล่อๆ มาหาข้า ถามซอกแซกถึงครอบครัวของนายท่านจาง ข้าบอกกับนางทุกๆ เรื่อง นางยังกลับคำพูด เป็นฝ่ายขอร้องข้าช่วยตอบรับการแต่งงานนี้ให้ ถึงข้าโมโหที่นางไม่ไว้หน้าข้าเมื่อตอนกลางวัน แต่อย่างไรข้าหวังกุ้ยเซียงเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นได้เลยตกปากรับคำ”

“เจ้าพูดเหลวไหล!” หลูซื่อฟังนางเล่ามาถึงตรงนี้ก็อดรนทนไม่ไหวในที่สุด ไม่รอให้นางพูดต่อไป จะเข้าไปทำร้ายนางอีก กลับถูกหลี่เหล่าสือขัดขวางจนแตะไม่ถูกตัวหวังซื่อสักนิด

หวังซื่อทำหน้าตกใจเมื่อเห็นหลูซื่อปรี่เข้ามา แต่พอสามีของตนเองสกัดเอาไว้ก็เบาใจได้ นางพูดกับชาวบ้านรอบทิศอย่างรวดเร็วต่อไป “คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่นี้จู่ๆ หลูเอ้อร์เหนียงจะมาที่เรือนข้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ด่าว่าข้าสาดเสียเทเสีย แรกเริ่มข้ายังไม่กระจ่างว่าเป็นเรื่องใด พอนางพูดซ้ำๆ อยู่คำเดียวว่าข้าปรักปรำนาง ข้าถึงรู้ว่านางต้องการล้มเลิกการแต่งงาน”

“หวังกุ้ยเซียง! เจ้ามันโกหกพกลมทั้งเพ” ถึงอย่างไรความคิดของหลูซื่อก็เป็นคนยุคโบราณที่อยู่ในกรอบประเพณี มาตรว่าราชวงศ์นี้ค่อนข้างให้อิสรเสรีแก่สตรี แต่เรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงด่างพร้อยและความบริสุทธิ์ของหญิงออกเรือนแล้วต้องมีมลทินยังคงส่งผลร้ายแรงต่อสตรีอย่างใหญ่หลวง หากพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่หลูซื่อตอบตกลงออกเรือนใหม่แล้วตระบัดสัตย์เป็นความจริง นั่นจะมิใช่ลงเอยง่ายๆ แค่ถูกผู้คนมองด้วยสายตาเหยียดหยามเท่านั้น

ตอนแรกหลูซื่อปล่อยให้หวังซื่อพรั่งพรูวาจาตามอำเภอใจ ด้วยมั่นใจในตนเองดังคำกล่าวว่าตัวตรงไม่กลัวเงาเอียง อีกทั้งไม่เชื่อว่าทุกคนจะฟังความข้างเดียว ทว่าขณะนี้พอฟังอีกฝ่ายปั้นเรื่องได้เป็นตุเป็นตะจนพวกชาวบ้านล้วนมีท่าทางหลงเชื่อ และพากันมองมาด้วยสายตาเปลี่ยนไป บันดาลให้หลูซื่อใจกระตุกวูบอย่างแรง

ด้วยเหตุนี้นางไม่นำพาอีกแล้วว่าชายหญิงไม่พึงแตะเนื้อต้องตัวกัน ยกมือผลักหลี่เหล่าสือที่เอาตัวบังอยู่ข้างหน้าหวังซื่อให้พ้นทาง นางต้องยับยั้งไม่ให้อีกฝ่ายกล่าวต่อไป เป็นเหตุให้ทั้งคู่เริ่มวิวาทกันขึ้น

“ท่านแม่!” อี๋อวี้ยืนนิ่งดูอยู่ด้านข้างมาตลอดจนถึงตอนนี้รีบเบียดตัวแทรกเข้าไปโอบเอวมารดาไว้ หยุดยั้งนางไม่ให้ยื้อยุดฉุดดึงกับบุรุษต่อไป

“น้องหลูซื่อ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ เรื่องนี้มิใช่ว่าฟังนางพูดคนเดียวแล้วตัดสินอะไรได้” หนิวซื่อที่วิ่งตามหลูซื่อมาก่อนหน้านี้ได้แต่มองดูสองคนวิวาทกันตาปริบๆ จะอย่างไรนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของหญิงออกเรือนแล้ว นางจะสอดปากขึ้นก็ไม่เป็นการดี กระนั้นนางสนิทสนมกับหลูซื่อ ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายตกเป็นเบี้ยล่าง ครั้นเห็นสหายรักเริ่มแตกตื่นเสียกระบวน จึงลุกลนเข้าไปห้ามปราม

หลูซื่อถูกหนิวซื่อดึงรั้งไว้ อี๋อวี้สบจังหวะปล่อยสองมือที่โอบตัวมารดาไว้ ยามนี้นางไม่คำนึงถึงว่าตนเองยังเป็นเด็กหญิงที่ใกล้ย่างเก้าขวบคนหนึ่ง หมุนกายทอดสายตาข้ามหลี่เหล่าสือมองไปที่หวังซื่อ

นางเอ่ยถามขึ้น “ท่านอาสะใภ้หลี่ ปีที่แล้วตอนที่ท่านกับท่านยายคนหนึ่งไปที่เรือนข้าวันนั้น ข้าก็อยู่ด้วย แต่ที่ท่านบอกว่าตกดึกท่านแม่ข้าไปหาท่านอีกเป็นการพูดโกหกชัดๆ ข้าจำได้แม่นยำว่าท่านแม่ข้าไม่ได้ไปหาท่าน”

หวังซื่อกลอกตาอย่างเอือมระอาพลางพูด “เจ้ายังเป็นเด็ก ทั้งเคยสติปัญญาไม่สมบูรณ์ ไหนเลยจะจำได้เล่า”

“ท่านบอกว่าท่านแม่ข้าไปหาท่าน น่าจะมีคนเห็นกระมัง”

“ตอนนั้นเป็นเวลาหัวค่ำแล้ว ทั้งมืดทั้งหนาว ใครกันจะออกมาเถลไถลอยู่ข้างนอก ตั้งใจจับตามองมาทางเรือนข้า”

“เช่นนั้นก็ไม่มีคนเห็นแล้ว”

“ฮึ เจ้าเด็กน้อย อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังตะล่อมถามความข้าอยู่ ข้าบอกเจ้าได้ว่าทางข้ามีพยานรู้เห็นว่าแม่ของเจ้าเคยมาหาข้าและพูดอะไรไว้บ้าง ข้ามีคนยืนยันได้”

อี๋อวี้เห็นท่าทางสงบเยือกเย็นของหวังซื่อแล้วลอบอุทานไม่ได้การในใจ ยังคิดจะอ้าปากพูดก็ถูกนางชิงตัดหน้า “เสี่ยวเหมย มานี่เร็วเข้า บอกกับพวกท่านป้าท่านน้าทั้งหลายว่าปีก่อนตอนท่านพ่อเจ้าไปทำงานในเมืองหลายวันนั้น คืนที่ท่านยายมาที่เรือน ท่านน้าหลูซื่อมาหาแม่ใช่หรือไม่ พอนางกลับไปแม่ยังหารือกับเจ้าว่าจะเอ่ยเรื่องนี้กับท่านยายอย่างไรใช่หรือไม่”

พอนางส่งเสียงเรียกขึ้น อี๋อวี้เพิ่งสังเกตเห็นร่างผอมสูงร่างนั้นกลางกลุ่มคน หลี่เสี่ยวเหมยก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า ชำเลืองมองนางแวบหนึ่งอย่างระมัดระวังแล้วรีบเบือนหน้าไปอีกทางไม่กล้ามองนาง อี๋อวี้ตระหนกในใจ ด้วยรู้ว่านี่คืออาการร้อนตัว

แม้นางจะเปล่งเสียงพูดแผ่วเบามาก แต่เหล่าชาวบ้านที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่หยุดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงทันทีแล้วเบนสายตาไปจับอยู่ที่หลี่เสี่ยวเหมย รอนางกล่าวให้ความกระจ่างกับทุกคน “คืน…คืนนั้นข้าเห็นท่านน้าหลูมา…มาหาท่านแม่ที่เรือนจริงๆ มาถามเรื่องของนายท่านจางคนนั้น ยัง…ยังขอร้องท่านแม่ให้พูดเรื่องแต่งงานกับท่านยาย…หลังนางกลับไป ท่านแม่ยังหา…หารือกับข้าว่าจะบอกเรื่องนี้กับท่านยายอย่างไร…”

ชาวบ้านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวของนาง เดิมทียังระแวงสงสัยแปดส่วน บัดนี้กลับพากันเชื่อสนิทใจทันควัน หลี่เสี่ยวเหมยคนนี้เป็นเด็กที่ทุกคนเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ถึงจะมีมารดาที่กระทำตัวไม่เหมาะสม แต่นางสุภาพเรียบร้อยไม่เคยโกหกเกเร อีกประการหนึ่ง เด็กน้อยคนหนึ่งจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรได้ ทั้งมีสายตามากมายหลายคู่มองอยู่ หรือนางยังกล้าพูดโป้ปดมดเท็จ

กระทั่งหนิวซื่อซึ่งยังยึดตัวหลูซื่อไว้ฟังหลี่เสี่ยวเหมยพูดจบ ใบหน้าของนางก็แฝงรอยคลางแคลงสองส่วนยามหันไปมองหลูซื่อที่ทำหน้าบึ้งตึง

ขณะนี้คนทั้งหมู่บ้านไม่ได้สนใจมองเด็กหญิงที่กล่าววาจาจบแล้วก้มหน้ากัดริมฝีปากล่างไว้คนนั้นอีก กลับพากันจับจ้องไปที่หลูซื่อ เพียงรอว่ามาถึงขั้นนี้แล้วนางยังมีอะไรแก้ตัวได้อีก

 

หลังหลูซื่อกับอี๋อวี้ฟังหลี่เสี่ยวเหมยพูดจบแล้วต่างสะท้านเยือกในอก พวกนางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กหญิงที่คลุกคลีกันมาสองปีกว่าผู้นี้ถึงกับกล่าวคำเท็จให้ร้ายคน

อี๋อวี้บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกในใจนั้นคืออะไร คิดถึงที่สองปีมานี้นางเห็นหลี่เสี่ยวเหมยเป็นสหายเสมอมา ทั้งตั้งใจสอนงานเย็บปักให้ หลูซื่อยังให้ความเอ็นดูหลี่เสี่ยวเหมยมาก และไม่เคยแล้งน้ำใจต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อยเพราะบาดหมางกับหวังซื่อ ทว่าในเวลาคับขันนี้ หลี่เสี่ยวเหมยกลับสาดโคลนใส่มารดาของนาง

นางรู้ว่าหลี่เสี่ยวเหมยอาจจะไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่หากหวังซื่อผู้เป็นมารดาบังคับให้ทำแบบนี้ก็เป็นเรื่องจนปัญญา กระนั้นรู้กับเข้าใจเป็นคนละเรื่องกัน เมื่อเทียบกับการกุข่าวลือสร้างความวุ่นวายของหวังซื่อแล้ว การกระทำในตอนนี้ของหลี่เสี่ยวเหมย นางทำใจยอมรับได้ยากยิ่งกว่า

หลูซื่อกวาดสายตามองชาวบ้านที่จ้องนางเขม็งรอบหนึ่งแล้วย่างเท้าไปตรงหน้าหลี่เสี่ยวเหมย เอ่ยถามเสียงแหบพร่าอย่างตรงไปตรงมามากกว่า “เสี่ยวเหมย ท่านน้าเคยทำไม่ดีกับเจ้าสักนิดหรือไม่ เจ้าถึงต้องแต่งเรื่องโกหกมาป้ายสีกันอย่างนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำแบบนี้ วันหน้าข้าจะสู้หน้าคนอื่นเช่นไร คนเราจะทำอะไรต้องมีมโนธรรมในใจนะ”

หลี่เสี่ยวเหมยไม่พูดตอบ เอาแต่ก้มหน้าต่ำลงพร้อมสาวเท้าเร็วรี่ถอยห่างจากหลูซื่อไปหลบอยู่หลังหลี่เหล่าสือกับมารดา ในสายตาคนนอก หลูซื่อกระทำเยี่ยงนี้กลับดูก้าวร้าวคุกคามผู้อื่นอยู่สักหน่อย ถึงขนาดที่มีหญิงชาวบ้านนางหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยสุ้มเสียงที่ค่อนข้างดัง

“เจ้าข่มขู่เด็กคนหนึ่งทำไม เรื่องนี้เห็นกันอยู่ทนโท่แล้วมิใช่รึ”

หญิงชาวบ้านไม่น้อยพากันเปล่งเสียงผสมโรงเบาๆ ไปกับถ้อยคำนี้ของนาง หลูซื่อเหลียวมองรอบตัว รู้ว่าแปดในสิบของคนที่ล้อมวงมุงดูอยู่ล้วนเชื่อถือคำลวงของหวังซื่อ เวลานี้นางรู้เช่นกันว่าวันนี้ตนเองคงจะอธิบายเรื่องนี้ไม่กระจ่างแล้ว อยู่ตรงนี้ต่อไปรังแต่เป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่นเท่านั้น

นางถอนใจเฮือกหนึ่ง หมุนกายไปจูงอี๋อวี้ที่ไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างแล้วตั้งท่าจะกลับไป ไม่นึกว่าหวังซื่อซึ่งตอนแรกยังหลบอยู่ด้านหลังสามีเห็นท่าทางของนาง จะถลันออกมายืนขวางหน้าพวกนางสองแม่ลูกทันที

“อะไรกัน ยังพูดกันไม่รู้เรื่องก็คิดจะไปเสียแล้วหรือ”

หลูซื่อไม่อยากแยแสนาง แต่ชำเลืองเห็นทางหางตาว่ามีหญิงชาวบ้านหลายคนพร้อมใจกันยืนปิดประตูทางเข้าลานเรือนไว้ ร่องรอยเศร้าใจที่ปรากฏบนใบหน้าเพราะหลี่เสี่ยวเหมยพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดันดังเก่า

นางเอ่ยกับหวังซื่อ “เจ้ายังคิดจะให้ข้าพูดอะไร พวกเจ้าสองแม่ลูกล้วนพูดไปหมดแล้ว ข้ายังพูดอะไรได้อีก”

หวังซื่อทำหน้ายินดีอย่างสุดระงับ กล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ยอมรับสิ”

“ยอมรับ?” หลูซื่อแค่นเสียงฮึ ก่อนพูดเสียงกร้าว “เรื่องต่ำทรามที่ข้าไม่เคยกระทำพรรค์นี้ เหตุใดข้าต้องยอมรับด้วย! หวังกุ้ยเซียง หากวันนี้เจ้าแค่ต้องการทำลายชื่อเสียงของข้า เจ้าทำสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกรวมหัวกันหลอกลวงเพื่อนบ้าน ทำให้ข้าแปดเปื้อนมลทิน จนใจที่บุตรชายสองคนของข้าเพิ่งจากบ้านไป ในเรือนเหลือแค่ข้าหญิงม่ายกับลูกกำพร้า ไหนเลยจะตัดสินถูกผิดให้รู้ดำรู้แดงกับเจ้าที่มีสามีอยู่ด้วย วันนี้ข้าอดทนข่มกลั้นไว้ก่อน วันหน้ายังอีกยาวไกล ระหว่างเจ้ากับข้าใครดีใครชั่วย่อมมีผู้มีสายตาเป็นธรรมมองเห็นได้กระจ่างชัด”

สุ้มเสียงของนางแตกพร่าด้วยความโกรธจัด ทั้งที่น้ำเสียงแข็งกระด้าง กลับทำให้คนสัมผัสถึงความคับข้องหมองใจที่ถูกปรักปรำได้โดยง่าย ชาวบ้านรอบด้านเห็นสีหน้านางไม่คล้ายเสแสร้ง พวกที่เดิมตัดสินถูกผิดในเรื่องนี้ไปแล้วอดลังเลใจไม่ได้

หวังซื่อคลับคล้ายคิดไม่ถึงว่าหลูซื่อจะกล่าวคำเหล่านี้ นางพูดด้วยความเดือดดาลกะทันหัน “นี่เจ้าจะปากแข็งไม่ยอมรับนะสิ ข้ามีพยานรู้เห็นพร้อม เจ้ายังมีหน้าไม่ยอมรับอีก”

อี๋อวี้พูดแทรกขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีก “วาจาเลื่อนลอย ใครบ้างพูดไม่เป็น มีแต่พวกหูเบาถึงหลงเชื่อพวกท่าน หลี่เสี่ยวเหมยเป็นบุตรสาวท่าน ต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านมิใช่หรือ ท่านให้พูดอย่างไรนางก็พูดอย่างนั้น แบบนี้จะเป็นพยานได้เช่นไรกัน”

แม้หญิงชาวบ้านไม่รู้หนังสือ แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘วาจาเลื่อนลอย’ ได้ ในยุคสมัยที่การติดต่อสื่อสารไม่สะดวก คนชนบทเหล่านี้โดยมากไม่เข้าใจเรื่องคดีความ เพียงรู้จักแต่คำว่าจับโจรต้องจับได้คาหนังคาเขา หรือมีพยานหลักฐานมัดตัว ไหนเลยจะนึกไปถึงว่าบางเรื่องยังมีการ ‘สมรู้ร่วมคิด’ และ ‘ใส่ความ’ พรรค์นี้ได้ ก่อนหน้านี้ที่อี๋อวี้ไม่เอ่ยขึ้นมาเพราะไม่รู้ว่าหวังซื่อถึงกับให้บุตรสาวพูดโกหก เมื่อเห็นเหตุการณ์พลิกตาลปัตร นางไม่นำพาว่าต้องซ่อนคมแสร้งทำตัวเป็นเด็กน้อยต่อไป ดีที่ยามนี้ทุกคนไม่มีแก่ใจหยุดพินิจว่าเด็กน้อยคนหนึ่งกล่าวคำนี้เป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างยิ่ง

ราวกับหวังซื่อรอคอยคำนี้อยู่ก็ไม่ปาน พอสิ้นเสียงอี๋อวี้ นางพูดตอบทันทีโดยไม่รอดูปฏิกิริยาของชาวบ้านทั้งหลาย “ได้ ต่อให้พยานไม่น่าเชื่อถือ แล้วหลักฐานเล่า ข้ายังมีหลักฐานด้วยนะ”

อี๋อวี้ฉงนใจ ในถ้อยคำของนางหาได้เอ่ยถึง ‘หลักฐาน’ ไม่ เพียงอยากชี้ให้เห็นว่าพยานของหวังซื่อไร้น้ำหนักเท่านั้น ไฉนกลับกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายฉวยจังหวะยกเรื่อง ‘หลักฐาน’ ขึ้นมา

หลูซื่อดึงบุตรสาวที่ตั้งท่าจะอ้าปากไต่ถามไว้แล้วกล่าว “หวังกุ้ยเซียง เจ้ามีอะไรก็บอกมาให้หมดในคราวเดียว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องที่ข้าไม่เคยรับปากเจ้า เจ้ายังจะมีหลักฐานได้อย่างไร”

พวกชาวบ้านส่งเสียงร้องสนับสนุนให้หวังซื่อไปหยิบ ‘หลักฐาน’ ที่นางว่าไว้ออกมาโดยไว

หวังซื่อกลับยืนนิ่งกับที่กล่าวกับทุกคนด้วยหน้าตาลำบากใจอยู่บ้าง “พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย หลักฐานที่ข้าพูดถึงนี้ สามารถพิสูจน์ว่าหลูเอ้อร์เหนียงตอบตกลงการแต่งงานนี้ได้จริงๆ เพียงแต่มันมิได้อยู่ที่เรือนข้า ต้องให้นางหยิบออกมาจึงจะได้”

“ฮึ น่าขัน เจ้าปรักปรำข้า แล้วข้ายังต้องเอาหลักฐานออกมาช่วยเจ้าให้ร้ายตนเองต่อไปหรือไร ในเมื่อเจ้าเอาหลักฐานออกมาไม่ได้ ก็เลิกหลอกลวงคนอื่นต่อไปได้แล้ว” หลูซื่อยิ้มเยาะ

“เจ้าอย่าเพิ่งย่ามใจไป หากเจ้าไม่ได้รับของแทนใจของนายท่านจางไว้จริงๆ กล้าให้พวกข้าไปค้นเรือนเจ้าดูหรือไม่”

“ของแทนใจอะไร” หลูซื่อได้ยินคำพูดของนางแล้วอึ้งงันไป ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“อย่ามาทำไขสือ วันนั้นหลังจากเจ้าไหว้วานให้ข้าช่วยตอบรับการแต่งงานนี้ ข้าก็ไปหาอาหญิงที่ตำบลจาง และได้บอกเล่าเก้าสิบกับท่านนายตำบลเรียบร้อย พร้อมทั้งรับหยกพกลายมัจฉาคู่เป็นของแทนใจกลับมามอบต่อให้เจ้า อะไรกัน เจ้ารับของไว้เองยังจำไม่ได้หรือ”

“ข้าไม่เคยได้รับของพรรค์นั้น แล้วจะจำได้อย่างไรกัน” เห็นนางปั้นน้ำเป็นตัวอีก หลูซื่อแค่นเสียงเยาะ

“เช่นนั้นเจ้ากล้าให้พวกข้าทุกคนไปค้นที่เรือนเจ้าหรือไม่”

อี๋อวี้สะดุ้งโหยงในใจ กำลังจะร้องห้ามมารดาก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว หลูซื่อรับคำโดยไม่รอช้า “พวกเจ้าไปค้นดูได้เลย ของที่ไม่มีอยู่จริงพวกนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะหาเจอในเรือนข้าได้”

กล่าวจบนางจูงอี๋อวี้เดินนำหน้าพาผู้คนที่คันไม้คันมือเต็มทีกลับไปยังเรือนสกุลหลู เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว อี๋อวี้รับรู้ได้แล้วว่าดูคล้ายพวกนางกระโจนเข้าสู่กับดักที่คนอื่นวางไว้แล้ว ทว่านางยังฉงนสงสัยอยู่ว่าหวังซื่อกับคนที่อยู่เบื้องหลังนางกระทำเรื่องพวกนี้มีเป้าหมายใด ได้แต่ปล่อยให้หลูซื่อจูงนางกลับเรือนไป

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: