X
    Categories: ชายาแม่ทัพหยามไม่ได้ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชายาแม่ทัพหยามไม่ได้ บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 7

เนี่ยชิงหลวนไม่คิดว่าความงามของตนจะถึงขั้นรบกวนให้คนและเทพสับสนว้าวุ่น จนถึงขั้นที่ชายใดได้พบเห็นต้องอยากเข้ามาทำความรู้จักนางร่ำไป

ที่จ้าวเจ๋อเฉิงทำเช่นนี้ คงเพราะเห็นแก่ฐานะน้องสาวของว่าที่ฮองเฮาก็เท่านั้น

เนี่ยชิงหลวนคร้านจะรับมือจ้าวเจ๋อเฉิง จึงพูดอย่างส่งเดชว่า “อ้อ หลานชายของจ้าวกุ้ยเฟย ข้าจะจำไว้”

ว่าแล้วก็หันหลังเดินจากไป

นางคิดว่าคงจบเรื่องได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าหลังจากนั้นจ้าวเจ๋อเฉิงจะตามติดเหมือนวิญญาณตามตัว

หลังงานเลี้ยงพระราชทานเทศกาลตวนอู่จบลง เนี่ยชิงหลวนก็ตามซิ่นหยางโหวกับมารดากลับบ้าน แต่ละวันควรทำอะไรก็ยังคงทำเฉกเช่นเดิม

ยุคสมัยต้าจิ้นก็มีดีอยู่อย่างหนึ่ง หญิงสาวสามารถทำอะไรได้เหมือนชาย เดินไปตามท้องถนนได้อย่างอิสระเฉกเช่นยุคปัจจุบัน

เดิมทีเนี่ยชิงหลวนก็เป็นคนอยู่ไม่ติดบ้าน หากไม่มีอะไรทำก็มักจะออกไปเดินเล่นตามท้องถนนกับผีผา

ทว่าตั้งแต่งานเลี้ยงเทศกาลตวนอู่คราวนั้น ยามใดที่นางออกไปข้างนอก ก็มักจะ ‘บังเอิญ’ ได้พบจ้าวเจ๋อเฉิงทุกครั้งไป

ถ้าพบเพียงครั้งหรือสองครั้งก็ยังพอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่นี่ถึงกับเป็นสามหรือสี่ครั้ง พี่ชาย เจ้าอย่าทำให้บังเอิญเจอกันอย่างโจ่งแจ้งถึงขั้นนี้ได้หรือไม่

เนี่ยชิงหลวนรู้สึกว่าจ้าวเจ๋อเฉิงผู้นี้จะต้องส่งใครสักคนมาฝังตัวอยู่ใกล้ๆ บ้านนางเป็นแน่ เมื่อใดที่นางออกมา จ้าวเจ๋อเฉิงจึงได้ตามติดนางเหนียวหนึบราวกับแผ่นปิดแก้ปวดเช่นนี้

เนี่ยชิงหลวนโกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายจึงไม่ออกจากบ้านเสียเลย เอาแต่คุดคู้อยู่ในบ้านให้สิ้นเรื่อง

ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเรื่องร้ายก็มักไม่เกิดเพียงเรื่องเดียว วันนี้เนี่ยชิงหลวนกำลังนั่งอยู่ในบ้านดีๆ เคราะห์หามยามร้ายก็ตกลงมาจากฟ้า เป็นเรื่องร้ายที่เกี่ยวพันไปชั่วชีวิตของนางเสียด้วย

ผีผาวิ่งมาหา บอกว่าคุณหนูใหญ่กลับมาบ้านแล้ว

เนี่ยชิงหลวนกำลังคิดว่าเหตุใดคนพวกนี้ไม่ยอมปล่อยให้นางได้อยู่อย่างสงบสักที

เนี่ยหยวนหวาตั้งใจมาสร้างความลำบากให้นางดังคาด

ยังใช้น้ำเสียงราวกับเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี บอกว่า “พี่สาวเกรงว่าน้องจะใช้ชีวิตสบายอกสบายใจเกินไป พอได้ทราบข่าวสองเรื่องนี้จึงรีบมาบอก สำหรับพี่สาว น้องสาวอยู่สุขสบายเพียงชั่วเค่อ* พี่สาวก็ยิ่งรู้สึกผิด”

ยามนี้ล่วงเข้าสู่กลางฤดูคิมหันต์แล้ว จักจั่นกรีดปีกเสียงดังระงมอยู่นอกห้อง ตะวันร้อนแรงอยู่สูงกลางฟ้าเหนือศีรษะ

เนี่ยชิงหลวนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ได้ยินก็มิได้รักษากิริยาอันใด เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สองแขนกางออกวางพักบนเท้าแขนโค้งดุจเสี้ยวจันทร์ จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ลำบากพี่สาวแล้วจริงๆ วันที่อากาศร้อนเยี่ยงนี้ เพื่อมาแจ้งข่าวสองเรื่องให้น้องรู้ อุตส่าห์แล่นมาบอกถึงที่เป็นการเฉพาะ ไม่กลัวว่าตนเองต้องเหน็ดเหนื่อยเสียเหงื่อไปหลายชั่ง* ว่ามาเถอะ เป็นข่าวอันใดกัน น้องคอยฟังอยู่”

เนี่ยหยวนหวาลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งด้วยตนเอง ไม่แสดงออกว่าขัดเคืองใจเมื่อเนี่ยชิงหลวนทำทีเย้ยหยัน นางเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “น้องสาวพูดเล่นเก่งจริงๆ เกรงว่าอีกสักพักพอน้องได้รู้ข่าวสองเรื่องนี้แล้ว คงไม่มีแก่ใจจะพูดเล่นเช่นนี้อีก”

เนี่ยชิงหลวนเอามือแคะใบหู ท่าทางเหลืออดอยู่บ้าง สีหน้าที่ว่านั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยเห็นได้ชัดเจน

ราวกับจะบอกว่ามีอะไรก็รีบๆ พูดมา จะผายลมก็รีบปล่อยเสีย ปล่อยเสร็จแล้วก็รีบไสหัวไป

เนี่ยหยวนหวากลับไม่รีบร้อน ค่อยๆ จิบน้ำชาที่สาวใช้ของตนเองยกมาให้อย่างเชื่องช้า ก่อนวางถ้วยชาลง ยิ้มพลางพูดว่า “ข่าวแรก จ้าวกุ้ยเฟยไปขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้องค์หญิงซูหวา บุตรีของพระนางกับฉินกั๋วกงซื่อจื่อ ได้ข่าวว่าฝ่าบาททรงรับปากแล้ว”

เนี่ยชิงหลวนกำเท้าแขนแน่น แต่แล้วก็รีบปล่อยทันที

ทว่าเนี่ยหยวนหวาก็ยังแอบสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ทางหางตาอยู่ดี

รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงยิ่งหยักลึกขึ้นในทันที

“ส่วนข่าวที่สองนั้น จ้าวกุ้ยเฟยได้ทูลขอต่อฝ่าบาท แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยนี่สิ”

เนี่ยชิงหลวนเอือมระอาเหลือทนที่นางชอบทำเป็นเล่นตัว ไม่ยอมบอกเรื่องที่รู้ออกมาเสียที

ดังนั้นจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เล่นตัวเสร็จหรือยัง เล่นเสร็จแล้วก็รีบๆ ไสหัวไป ข้าจะไปนอนกลางวัน”

“กลัวแต่ว่าน้องสาวได้ยินแล้ว อย่าว่าแต่นอนกลางวันเลย แม้แต่คืนนี้ก็คงจะนอนไม่หลับ” เนี่ยหยวนหวาเอ่ยพลางหัวเราะ “จ้าวกุ้ยเฟยทูลขอต่อฮ่องเต้ จะให้น้องสาวแต่งงานกับจ้าวเจ๋อเฉิงหลานชายของเขา”

หัวใจเนี่ยชิงหลวนถึงกับกระตุก แม้แต่สีหน้าเอือมระอาก็ยังชะงักค้างไปด้วย

เนี่ยหยวนหวาเห็นดังนั้นก็หัวเราะร่าออกมาทันที

เนี่ยชิงหลวนเห็นนางได้ใจจนลืมรักษากิริยา ก็แทบอยากจะหยิบน้ำแข็งจากโถเคลือบสีขาวข้างๆ มายัดใส่ปากนางเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ในช่วงกลางฤดูคิมหันต์ บ้านผู้ดีมีเงินมักนำโถเคลือบมาบรรจุน้ำแข็งแล้ววางไว้ในห้องเพื่อช่วยคลายร้อน

“พูดจบแล้ว? เช่นนั้นก็ไสหัวไปเสีย”

เนี่ยชิงหลวนออกคำสั่งให้ส่งแขกอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

สิ่งที่เนี่ยหยวนหวาอยากจะพูดก็ได้พูดสมใจ ยิ่งรู้ว่าบรรลุจุดประสงค์ในการมาโจมตีเนี่ยชิงหลวนด้วยแล้วจึงไม่รั้งรออยู่ต่อ นางรีบลุกขึ้นยืน

“พี่สาวไปแล้ว น้องสาวไปนอนพักผ่อนกลางวันเถอะ”

ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป

หลังนางออกไปแล้ว ผีผามองดูเนี่ยชิงหลวนด้วยความเป็นห่วง พูดขึ้นว่า

“คุณหนู หลานชายผู้นั้นของจ้าวกุ้ยเฟยเรียกได้ว่าเป็นลูกหลานผู้มีอันจะกินจริงๆ ได้ยินว่ามีอนุภรรยาอยู่ในบ้านเป็นโขยง ซ้ำยังมีลูกชายแล้วถึงสองคน จ้าวกุ้ยเฟยก็ร้ายนัก เหตุใดอยู่ดีๆ จึงเกิดความคิดอยากจะจับคู่คุณหนูกับหลานชายตนเอง ไม่คิดบ้างว่าจ้าวเจ๋อเฉิงมีอะไรที่คู่ควรกับคุณหนู”

เนี่ยชิงหลวนรู้ดีว่าเรื่องนี้จะต้องมีเนี่ยหยวนหวาคอยช่วยผลักดันเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นจ้าวกุ้ยเฟยคงไม่อาจกราบทูลขอพระราชทานสมรสต่อฮ่องเต้หลงอันตี้ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

เนี่ยหยวนหวาคงอยากให้นางได้ลิ้มรสการได้เป็นมารดาทันทีที่แต่งงานบ้างกระมัง

เนี่ยชิงหลวนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้

ผีผาถามไถ่คุณหนูด้วยความเป็นห่วง “คุณหนู จะทำอะไรหรือเจ้าคะ”

นางยังกลัวว่าเนี่ยชิงหลวนจะปรี่เข้าไปตบตีเนี่ยหยวนหวาด้วยอารมณ์ฉุนขาด

แต่เนี่ยชิงหลวนกลับเดินไปทางเก้าอี้ยาว ก่อนเอนตัวลงนอน

“หลับกลางวัน”

ผีผาหมดคำพูด

คุณหนูใจใหญ่อะไรปานนี้

 

ผ่านไปสามวัน หลงอันตี้ก็ส่งขันทีมาประกาศราชโองการ

ซิ่นหยางโหวตั้งโต๊ะเผาเครื่องหอม สมาชิกในบ้านทุกคนต่างหมอบรอฟังราชโองการของหลงอันตี้ในห้องโถงใหญ่

นอกจากขันที ยังมีเนี่ยหยวนหวาพระชายาขององค์รัชทายาทตามมาด้วย

เนี่ยหยวนหวาลอบคิดในใจ ใช่แล้ว ข้าจะพลาดเหตุการณ์น่าสนุกเช่นนี้ได้อย่างไร

นางอยากเห็นสีหน้าแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูกของเนี่ยชิงหลวนแทบแย่ จะให้ดีต้องร้องไห้จนน้ำตาไหลพรากพลางขอร้องให้นางให้อภัย

แต่เนี่ยหยวนหวากลับต้องผิดหวัง สีหน้าของเนี่ยชิงหลวนกลับดูสงบราวกับน้ำในบ่อโบราณ ไม่แสดงท่าทีหวั่นไหวออกมาสักนิดเดียว

นางหมอบกราบบนพื้นอิฐสีดำพร้อมซิ่นหยางโหวกับเนี่ยฮูหยิน คอยฟังจุดจบครึ่งหลังของชีวิตนางด้วยใจสงบ

“…บุตรีคนรองของซิ่นหยางโหวมีชาติกำเนิดในตระกูลดี อุปนิสัยอ่อนหวานดีงาม คู่ควรจะเป็นภรรยาของจิ้นอ๋อง ด้วยเหตุที่ต้องออกเดินทางไปยังเมืองหล่งในอีกไม่กี่วัน จึงพระราชทานสมรสในวันที่สิบแปดเดือนเก้า”

ซิ่นหยางโหวและสมาชิกทุกคนในบ้านพากันตกตะลึง

ซิ่นหยางโหวกับเนี่ยฮูหยินหันมาสบตากัน ต่างคิดในใจว่าฮ่องเต้ทรงคิดจะทำอะไรกันแน่

ส่วนเนี่ยชิงหลวนกำลังคิด จ้าวเจ๋อเฉิงผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องตั้งแต่เมื่อใด

เนี่ยหยวนหวากลับหลุดปากพูดออกมาอย่างเสียกิริยา “เป็นไปได้อย่างไร เห็นๆ กันอยู่ว่าก่อนหน้านี้จ้าวกุ้ยเฟยไปขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้เนี่ยชิงหลวนกับจ้าวเจ๋อเฉิง เหตุใดจึงกลายเป็นจิ้นอ๋องไปได้ เจ้าอ่านผิดแล้วกระมัง”

ว่าแล้วนางก็ผุดลุกขึ้น ตรงเข้าไปฉวยเอาราชโองการมาจากมือขันทีเลยทีเดียว

อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท ต่อไปก็จะได้เป็นฮองเฮา ขันทีจึงไม่กล้าทำอะไรนาง จำต้องปล่อยให้นางดึงราชโองการไปจากมือ

เนี่ยหยวนหวาฉวยเอาราชโองการไล่อ่านทุกตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดจึงยอมเชื่อว่าขันทีมิได้อ่านผิด แต่ฮ่องเต้มีราชโองการให้เนี่ยชิงหลวนสมรสกับจิ้นอ๋องจริงๆ

เนี่ยชิงหลวนเองก็เพิ่งจะรู้ตัวตอนนี้เอง ในคราวที่หลงอันตี้พระราชทานตราประจำตัวแม่ทัพแดนพายัพแก่จั่วหลิง ตำแหน่งจิ้นอ๋องที่ได้รับการสืบทอดในสายตระกูลจั่วก็ถูกส่งกลับคืนให้แก่พวกเขาด้วย

นี่เท่ากับว่าข้าจะต้องแต่งงานกับจั่วหลิง แม่ทัพแดนพายัพผู้เลือดเย็นไร้หัวใจ ที่คนเล่าลือกันว่ายิงธนูไม่เคยพลาดเป้าผู้นั้นหรือ

เนี่ยหยวนหวาตื่นจากภวังค์ ซิ่นหยางโหวกับภรรยาก็รีบล้วงเอาตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาอย่างใจกว้าง มอบให้แก่ขันทีผู้ประกาศราชโองการแล้วน้อมส่งเขาออกไป

เนี่ยชิงหลวนค่อยๆ ลุกขึ้นจากท่าหมอบกราบบนพื้น เหยียดชายแขนเสื้อปัดฝุ่นที่ติดกระโปรง

นางเหลือบเห็นเนี่ยหยวนหวากำลังจ้องมองตนเองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เนี่ยชิงหลวนจึงยิ้มให้ ก่อนสอดมือทั้งสองเข้าไปในชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไป

เนี่ยหยวนหวาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “ดูเหมือนเจ้าจะดีใจมากกระมัง”

เนี่ยชิงหลวนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น จากฮูหยินของเสมียนสำนักอาลักษณ์คนหนึ่ง ได้ขึ้นเป็นถึงพระชายาจิ้นอ๋อง ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดีใจ”

ตอนนี้ตำแหน่งของจ้าวเจ๋อเฉิงคือเสมียนสำนักอาลักษณ์ ขุนนางลำดับรองขั้นเจ็ด แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นตำแหน่งที่จ้าวกุ้ยเฟยท่านป้าของเขาหามาให้ ที่จริงก็เป็นแค่ตำแหน่งในนามเท่านั้น ปกติแล้วไม่ต้องเข้าไปรายงานตัวที่สำนัก

สีหน้าเนี่ยหยวนหวาตึงเครียด แทบจะกลั่นเป็นน้ำหยดลงมาได้

เนี่ยชิงหลวนรู้สึกว่าพอสุนัขตกน้ำแล้วต้องตีซ้ำให้น่วม หากปล่อยให้ปีนขึ้นฝั่งได้ก็จะเห่ากระโชกใส่ตนเองด้วยความหยิ่งผยองเหลือประมาณ

ดังนั้นจึงพูดต่อว่า “อีกอย่างข้าคิดว่าจิ้นอ๋องจั่วหลิงผู้นี้ก็เป็นคนที่ฝ่าบาทต้องไว้หน้าอยู่บ้าง ถึงพี่สาวจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท แต่ก็คงไม่กล้าทำอะไรเขากระมัง เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมไม่กล้าทำอะไรพระชายาจิ้นอ๋องไปด้วย อีกไม่กี่เพลาข้าก็จะต้องแต่งงานไปอยู่เมืองหล่งแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทอยู่ห่างไกลเหมือนฟ้าที่อยู่สูง ต่อให้พี่สาวคิดถึงหรือกลัวว่าข้าจะได้อยู่สุขสบายเกินไป แส้ของพี่สาวก็คงไม่ยาวพอจะฟาดมาถึง คงได้แต่พร่ำรำพันว่าตนเองทำพลาดไปแล้วอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”

พอเนี่ยหยวนหวาได้ฟังเนี่ยชิงหลวนพูดจนจบ ก็แทบจะใช้คำว่า ‘เมฆดำครึ้มฟ้า กดข่มจนกำแพงเมืองแทบถล่มทลาย’ มาบรรยายสีหน้าของนางได้เลยทีเดียว

ทว่าเพียงชั่วพริบตา จู่ๆ นางก็ยกมุมปากแสยะยิ้มขึ้น

บทที่ 8

รอยยิ้มของเนี่ยหยวนหวามักดูงดงามติดตาตรึงใจอย่างยิ่ง

นางมีรูปโฉมงามสะคราญ ยามยิ้มราวกับดอกโบตั๋นแย้มบาน งดงามโดดเด่นเหนือใคร

ทว่าเนี่ยชิงหลวนนึกอยากจะฉีกทึ้งดอกโบตั๋นนี้ให้แหลกคามือเสียจริง

“น้องสาวช่างคิดในแง่ดีเสียจริง เจ้าคิดว่าพระชายาจิ้นอ๋องเป็นกันได้ง่ายๆ หรือ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมืองชายแดนกันดารยากแค้น ขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็น ได้ยินว่าถึงเดือนเก้าก็มีหิมะตกแล้ว ในหนึ่งปีสิ้นเหมันต์ก็เข้าสู่คิมหันต์ วสันต์กับสารทเป็นเพียงชื่อฤดูกาลที่เคยได้ยินผ่านๆ เท่านั้น ตั้งแต่ยังเล็กเจ้าเติบโตอย่างคุณหนูสูงศักดิ์ กินอยู่หรูหรา จะรับได้หรือถ้าได้อาบน้ำเพียงปีละครั้ง ทั้งยังต้องทนกับเหมันต์อันหนาวเหน็บชนิดที่ว่าน้ำหยดลงมาก็กลายเป็นน้ำแข็งทันที และคิมหันต์ที่ดวงตะวันร้อนแรงแผดเผาจนออกไปเดินเล่นข้างนอกไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ต้องเอาแต่คุดคู้อยู่ในบ้านทั้งวี่วัน”

เนี่ยชิงหลวนหัวเราะหึๆ

เจ้าดูแคลนข้าเกินไปจริงๆ หวนคิดถึงชาติก่อน เมืองที่ตนเคยอยู่ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในสี่เมืองที่ร้อนราวกับเป็นเตาอบของประเทศแทบทุกปี ถนนราดยางมะตอยตอนกลางวันร้อนระอุจนทอดไข่ได้ ส่วนเรื่องความหนาวเย็น ความหนาวของดินแดนทางใต้ช่วงหน้าหนาวก็หนาวจนเสียดกระดูก หาความอบอุ่นไม่ได้เลย ถ้าหมาป่าสักตัวจากทางเหนือมาอยู่ที่ภาคใต้ คงหนาวจนต้องกลายร่างเป็นหมาบ้าน ยังต้องกลัวอะไรกับแค่แสงแดดแผดเผากับหยดน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง

เนี่ยหยวนหวายังขู่ต่อไป “ส่วนจิ้นอ๋องจั่วหลิงผู้นี้ ไม่ใช่ว่าข้าจะขู่ให้เจ้ากลัว ใครบ้างไม่บอกว่าเขาเป็นพวกกระหายเลือด ตามที่ขุนนางผู้แทนพระองค์ผู้นั้นกลับมาเล่าให้ฟัง เขาหน้าตาราวกับอสูรร้าย ร่างสูงแปดฉื่อ ใบหน้าดำมะเมื่อม น่ากลัวเป็นที่สุด ได้ยินว่าแถบเมืองหล่ง ถ้ามีเด็กคนใดเกเร ขอเพียงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่าท่านแม่ทัพมาแล้ว เด็กน้อยผู้นั้นก็จะทำตัวว่าง่ายขึ้นมาทันที ไม่กล้าเกเรอีกเลย”

เนี่ยชิงหลวนได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเช่นเดิม

“ขอบคุณพี่สาวที่เป็นห่วง แต่ไม่ว่าเขาจะหน้าตาเป็นเช่นไร บัดนี้เขาก็เป็นสามีของข้าแล้ว มีคำกล่าวว่าลูกไม่รังเกียจแม่อัปลักษณ์ ข้าผู้เป็นภรรยาก็ไม่รังเกียจรูปโฉมสามีเช่นกัน คงไม่ต้องให้พี่สาวลำบากมาช่วยเป็นกังวลหรอก”

เนี่ยหยวนหวาเห็นว่าขู่อย่างไรเนี่ยชิงหลวนก็ไม่ตกใจ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเอาแต่ทำเป็นไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น ใบหน้านางก็เขียวคล้ำลง

“เนี่ย-ชิง-หลวน” นางเองก็คร้านจะตีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเป็นกังวลเต็มแก่ จึงกัดฟันกรอดๆ แล้วเอ่ยว่า “ใต้หล้านี้ล้วนเป็นของราชัน ต่อให้เจ้าแต่งงานไปอยู่เมืองหล่งจริง ข้าก็ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหนีพ้นเงื้อมมือไปได้ สักวันข้าจะทำให้เจ้ากลับมาคร่ำครวญอ้อนวอนต่อข้าแต่โดยดี”

ถึงตรงนี้นางก็พูดต่อด้วยความเคียดแค้น “แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างเป็นสุขที่เมืองหล่งเป็นแน่”

ว่าแล้วก็สะบัดชายแขนเสื้อ หันเดินจากไปอย่างชิงชัง

หลังนางไป รอยยิ้มก็เหือดหายไปจากใบหน้าเนี่ยชิงหลวนเช่นกัน

เนี่ยชิงหลวนหันกลับมา พูดกับผีผาที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสลดว่า “ผีผา จั่วหลิงผู้นี้หน้าตาอัปลักษณ์เหมือนอสูรจริงหรือ”

ผีผาถึงกับหลุดขำ

คุณหนู ข้าว่าที่ท่านควรเป็นห่วงมากกว่าก็คือเรื่องที่เขาลือกันว่าจิ้นอ๋องเป็นคนกระหายเลือดไม่ใช่หรือ

ที่แท้อะไรสำคัญกว่ากัน ชีวิตหรือว่าหน้าตา

ผีผารู้สึกว่าคุณหนูของตนความคิดช่างสั้นนัก แม้แต่เรื่องใดสำคัญกว่าก็ยังแยกแยะไม่ออก

ตอนนี้เป็นเวลาต้นเดือนหก ในราชโองการของหลงอันตี้แจ้งว่าจะให้มีงานสมรสพระราชทานในฤกษ์มงคลวันที่สิบแปดเดือนเก้า นั่นก็หมายความว่าเนี่ยชิงหลวนจะได้อยู่ในจวนซิ่นหยางโหวอีกไม่นานก็ต้องรีบออกเดินทางไปเมืองหล่งแล้ว

ในเมื่อเป็นถึงสมรสพระราชทาน แม้หลงอันตี้จะเป็นฮ่องเต้ที่ตระหนี่ อย่างไรเสียก็ต้องพระราชทานทรัพย์สิ่งของบางประการเป็นสินเดิมให้เนี่ยชิงหลวนนำติดตัวไปบ้าง ข้อดีประการแรกคือซิ่นหยางโหวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรสด้วยพระองค์เอง ประการต่อมาจะดีจะชั่วอย่างไรเนี่ยชิงหลวนก็ได้แต่งงานไปเป็นถึงพระชายาของจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องผู้นั้นก็มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ เขาซึ่งเป็นพ่อตาจึงไม่กล้าดูแคลน สินเดิมที่ซิ่นหยางโหวมอบแก่เนี่ยชิงหลวนจึงมีจำนวนค่อนข้างมาก

 

ต้นเดือนแปด อากาศเริ่มจะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น ขบวนสมรสพระราชทานของเนี่ยชิงหลวนก็เตรียมพร้อมออกเดินทางแล้ว

จนกระทั่งออกเดินทาง เนี่ยชิงหลวนถึงได้เข้าใจความหมายของประโยค ‘ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างเป็นสุขที่เมืองหล่ง’ ที่เนี่ยหยวนหวาพูดในวันนั้น

เนี่ยหยวนหวาได้แอบแทรกคนผู้หนึ่งเข้ามาด้วยในขบวนสมรสนี้

คนผู้นั้นคือสาวรุ่นกำดัดวัยยี่สิบปีนางหนึ่ง

เนี่ยชิงหลวนนั่งอยู่ในรถม้าที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ลูบคางพลางมองดูหญิงสาวที่มายืนกล่าวคำทักทายต่อนางหน้ารถม้า

“คุณหนูเนี่ย ข้ามีชื่อว่าเชียนอี พระชายาขององค์รัชทายาทส่งข้ามารับใช้ท่านเจ้าค่ะ”

ในสายตาเนี่ยชิงหลวน เชียนอีผู้นี้มีอกมีสะโพก ทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้า งามเย้ายวนน่าหลงใหล แต่หากจะว่ากันถึงเรื่องหน้าตาแล้ว ที่จริงยังไม่อาจเรียกได้ว่างามโดดเด่นนัก

คิ้วไม่ค่อยหนา นัยน์ตาเรียวเล็ก สันจมูกไม่โด่งงาม ส่วนริมฝีปากแม้อาจบอกว่างามได้รูป พอจะฝืนเรียกได้ว่าปากทรงกระจับ แต่ยามยิ้มแย้ม ริมฝีปากบนกลับยื่นออกมานิดหน่อย

แต่ก็น่าแปลก สิ่งต่างๆ ที่เรียกได้ว่าไม่โดดเด่นเมื่อมารวมกันอยู่บนใบหน้าของนาง กลับชวนให้ต้องพิศดู นอกจากนี้เวลาที่นางยิ้ม ชวนให้รู้สึกว่างามชดช้อยระคนขวยเขินอย่างแท้จริง

ฉับพลันเนี่ยชิงหลวนก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้

เสน่ห์ในตัวคนเปรียบประหนึ่งเปลวเพลิงวูบไหว แสงไฟจากดวงโคม และประกายวาววับแห่งอัญมณี

เจ้าต้องการจะได้อัญมณีที่แม้ดูภายนอกจะสมบูรณ์ไร้ที่ติแต่ไร้ชีวิตชีวา หรือต้องการจะได้มุกราตรีที่แม้มีรอยตำหนิเล็กน้อยหากแต่เปล่งแสงนวลตาน่ามอง

เนี่ยชิงหลวนรู้สึกว่าตนเองจะต้องเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ดังนั้นจึงบอกได้ว่าเชียนอีผู้นี้เป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่ง ทั้งยังเป็นความงามที่เปล่งประกายจากภายในสู่ภายนอก

จัดหาคนเช่นนี้มาอยู่ข้างกายตนเอง จุดประสงค์ของเนี่ยหยวนหวาชัดเจนยิ่งนัก ประหนึ่งจิตใจของซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้*

ทว่าเนี่ยชิงหลวนไม่คิดแยแสมากนัก ถ้าจั่วหลิงเป็นคนน่ากลัวอย่างที่เขาว่ากันมาจริงๆ ก็ยกให้เชียนอีไปเสียเถอะ

นางรู้สึกว่าตราบใดที่เป็นชาย ย่อมต้องชมชอบหญิงสาวที่มีทรวดทรงองค์เอวงามสะคราญ ทั้งยังอ่อนโยนเฉกเช่นสายน้ำเยี่ยงเชียนอีอยู่แล้ว มิใช่สาวน้อยที่แม้แต่ทรวงอกก็ยังไม่เต็มวัยเฉกเช่นตนเอง

แต่ในเมื่อเป็นคนที่เนี่ยหยวนหวาส่งมา ไม่แน่ว่าอาจคอยลอบจับตาดูนางทุกการกระทำก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นตนย่อมมิอาจปล่อยให้เชียนอีมาคอยเสนอหน้าอยู่เช่นนี้

ดังนั้นเนี่ยชิงหลวนจึงบอกว่า “ในเมื่อพระชายาองค์รัชทายาทส่งเจ้ามารับใช้ข้า เช่นนั้นก็เอาเถอะ เจ้าคอยเดินตามรถม้าไปก็แล้วกัน”

ขบวนสมรสพระราชทานนั้นมีองครักษ์ที่ส่งมาคุ้มกันนางเป็นพิเศษ ทั้งยังมีเหล่าสาวใช้ผู้ติดตามที่ฮูหยินของซิ่นหยางโหวมอบให้เป็นสินเดิม แม้ในขบวนจะมีม้า แต่ก็ล้วนเป็นม้าที่พวกองครักษ์ขี่ สาวใช้ส่วนใหญ่ล้วนเดินตามรถม้าไป

สีหน้าเชียนอีจึงแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

เห็นได้ชัดเลยว่าปกตินางมีคนคอยรับใช้ ออกไปข้างนอกมีรถม้าคอยรับส่ง กลับเข้าบ้านก็คงมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ โอกาสที่จะได้เดินด้วยตนเองคงไม่มากนัก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเดินจากเมืองหลวงไปยังเมืองหล่งซึ่งเป็นระยะทางยาวไกลนับพันหลี่

แต่นางสมแล้วที่มีชื่อว่าเชียนอี* แม้สีหน้าจะแปรเปลี่ยนไปชั่วครู่หนึ่ง แต่เชียนอีก็ค้อมศีรษะคำนับอย่างนอบน้อมยิ่งพลางเอ่ยว่า “เชียนอีน้อมทำตามคำสั่งคุณหนูเนี่ยเจ้าค่ะ”

เนี่ยชิงหลวนทำท่าบอกให้ผีผาปล่อยม่านรถลงมาแล้วเอนหลังลงนอนบนที่นั่งปูหนังจิ้งจอกขาวทันที

ผีผานั่งอยู่ที่นั่งด้านข้าง ถามเนี่ยชิงหลวนว่า “คุณหนู คุณหนูใหญ่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านจะไปแต่งงานกับจิ้นอ๋อง นางกลับส่งหญิงสาวรูปงามเช่นนี้แทรกไปด้วย หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”

“ก็หมายความอย่างที่เจ้าคิดในใจนั่นล่ะ” เนี่ยชิงหลวนนอนตะแคงอยู่บนที่นั่งในรถ ตอบคำถามด้วยท่าทางเกียจคร้าน

ผีผาฉุนจัด “คุณหนูใหญ่ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

“นางก็ทำเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้ว เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ ตั้งแต่เล็กจนโตวันใดไม่ได้กลั่นแกล้งข้า นางเป็นต้องสะบัดร้อนสะบัดหนาว ชั่วชีวิตนางกระเหี้ยนกระหือรือแต่จะหาทางทำให้ชีวิตข้าปั่นป่วน เชอะ ทำตัวเยี่ยงนี้มีความสุขอะไรกัน มีแต่ทำให้ตัวเองลำบากล่ะไม่ว่า”

ผีผาถกแขนเสื้อราวกับเตรียมตัวจะไปปราบอธรรม “คุณหนู อยากให้ข้าไปหาเรื่องตีเชียนอีผู้นี้สักครั้งหรือไม่ ในขบวนก็ล้วนเป็นคนของเรา นางพาเด็กสาวคนรับใช้มาด้วยคนเดียว ฝ่ายเราแค่กระดิกปลายนิ้วก็บีบนางจนตายได้แล้ว”

เนี่ยชิงหลวนเห็นนางทำท่าทางเหมือนอยากทวงความเป็นธรรมให้ ก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าออมแรงไว้เถอะ กว่าจะถึงเมืองหล่งยังอีกไกล อีกไม่กี่วันหลังเจ้าลิ้มรสความยากลำบากของการนั่งรถม้าทางไกล ก็อย่าเพิ่งย่ำแย่ไปก็แล้วกัน อีกอย่างเก็บเชียนอีผู้นี้ไว้ก่อน นางยังมีประโยชน์”

พอผีผาได้ยินคุณหนูของตนพูดเช่นนี้ ก็จำต้องปล่อยวาง

หลังจากนั้นนางก็ได้ลิ้มรสสิ่งที่เนี่ยชิงหลวนเรียกว่าความลำบากของการนั่งรถม้าทางไกลอย่างแท้จริง

นั่งหัวสั่นหัวคลอนในรถม้าทุกเมื่อเชื่อวัน แทบไม่ต้องพูดถึงน้ำที่ดื่มเข้าไป นางล้วนต้องอาเจียนออกมาจนหมด กระดูกกระเดี้ยวทั่วร่างเหมือนจะหลุดออกจากกัน

ถึงที่สุดนางจึงเอ่ยถามคุณหนูของตน ใบหน้าเล็กๆ ดูซีดเซียว “คุณหนู นานเท่าใดกว่าจะถึงเมืองหล่งกันล่ะเจ้าคะ”

เนี่ยชิงหลวนเองก็แทบทนไม่ไหวเช่นกัน แต่ก็ยังเอ่ยปากปลอบประโลมผีผา “ใกล้แล้ว ไม่ช้าก็จะถึงแล้วล่ะ”

วันที่ห้าเดือนเก้า ในที่สุดหัวหน้าขบวนก็รายงาน “คุณหนู ถึงเมืองหล่งแล้ว”

เนี่ยชิงหลวนได้ยินดังนั้นก็เลิกม่านรถขึ้นดู

เมืองชายแดนช่างห่างไกลและกันดารจริงๆ เพิ่งจะต้นเดือนเก้าเท่านั้น พยัคฆ์ฤดูสารทยังออกอาละวาดที่เมืองหลวงอยู่เลย ที่นี่กลับมีหิมะตกแล้ว

นอกจากนี้ยังเป็นหิมะขนห่านอีกด้วย

เนี่ยชิงหลวนเอามือป้องปากพลางเป่าลมหายใจออกมา ก่อนหันไปสั่งการ “มาถึงแล้วก็รีบเข้าเมืองไปหาโรงเตี๊ยมพักก่อนเถอะ”

แม้ในรถม้าจะมีเตาไฟ นางเองก็ยังห่อตัวอยู่ในหนังจิ้งจอก แต่กลับรู้สึกหนาวเหน็บแทบทนไม่ไหว

ตอนที่ปล่อยม่านรถลงมานางเหลือบเห็นทางหางตาว่าเชียนอีในยามนี้สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ นั่งบนหลังม้าพลางพูดคุยหัวเราะกับองครักษ์ผู้หนึ่ง

เห็นสายตาองครักษ์ผู้นั้นที่ทอดมองนาง เต็มไปด้วยแววรักใคร่ชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่ได้พบเชียนอีที่เมืองหลวง หลังสั่งให้นางเดินเท้าติดตามคณะเดินทางแล้ว เนี่ยชิงหลวนก็มิได้ใส่ใจนางอีกเลย

เดิมทีเนี่ยชิงหลวนมิได้มีใจจดจ่ออะไรกับเชียนอีอยู่แล้ว อีกอย่างขบวนสมรสพระราชทานก็มีคนอยู่มาก ถ้าไม่มีเรื่องอันใด ไฉนนางจึงต้องไปใส่ใจเชียนอีด้วยเล่า

แต่ไม่คิดเลยว่าเชียนอีจะเป็นคนมีความสามารถ เพียงไม่นานนางก็สามารถเข้าหาและผูกมิตรกับองครักษ์ผู้หนึ่งได้แล้ว

หาไม่แล้วเขาจะถึงกับยอมลงเดินแล้วยกม้าตนเองให้นางขี่เชียวหรือ ซ้ำยังกลัวว่านางจะตกลงมา จนถึงกับคอยใส่ใจจูงม้าเดินแทนนางเสียอีก

เนี่ยชิงหลวนปล่อยม่านรถลงมา

ที่ด้านหน้าขบวน หัวหน้าขบวนเดินไปเจรจากับทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ตรงกำแพงเมืองแล้ว

เมื่อมีพระราชโองการสมรสพระราชทานอยู่ในมือ ทหารก็ทำเพียงตรวจดูคร่าวๆ ว่าคนในขบวนนำสิ่งใดที่เป็นอันตรายมาด้วยหรือไม่ เพียงไม่นานก็ยอมปล่อยให้ขบวนผ่านเข้าไป

เนี่ยชิงหลวนถอนหายใจโล่งอก

เดิมทีนางคิดว่าอย่างไรเสียนี่ก็เป็นขบวนสมรสพระราชทานของฮ่องเต้หลงอันตี้ หากจั่วหลิงไม่ยอมออกจากเมืองสักสองสามหลี่เพื่อมาต้อนรับ อย่างน้อยส่งใครสักคนมาเป็นตัวแทนก็ยังดี ไม่คิดเลยว่าจั่วหลิงจะเฉยชามากถึงขั้นนี้ ทำราวกับไม่มีเรื่องสมรสพระราชทานเกิดขึ้น ปล่อยให้พวกนางต้องเดินทางเข้าเมืองหล่งกันเอง

เนี่ยชิงหลวนเอามือเท้าคางท่าทางเป็นกังวล มีสามีเป็นพวกไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา อนาคตช่างน่าเป็นห่วงเสียจริงๆ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: