ซ่อนกลิ่น
ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 50.1-50.3
บทที่ 50-2 สังหารคนปิดปาก
ด้วยเหตุนี้หลายวันให้หลังหลิ่วจือหว่านจึงเสนอว่าจะกลับไปพักที่สวนเซี่ยนหยวน เพราะอย่างไรก็ทำความสะอาดทั้งนอกและในสวนเรียบร้อยแล้ว นางยังสั่งคนก่อกำแพงจวนให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งติดตั้งตะขอลวดหนามป้องกันคนปีนเข้ามาไว้ตรงขอบกำแพงด้วย
ส่วนภายในสวนนั้นนอกจากขอให้นายท่านรองสกุลเฉินและลูกน้องของเขาประจำการคอยเฝ้าระวังอยู่ที่เรือนชั้นนอกแล้ว รัชทายาทยังเพิ่มกำลังคนให้มากขึ้น หากมีมือสังหารเข้ามาอีก รับรองว่าพวกเขาเข้ามาแล้วไม่ได้กลับออกไปแน่นอน
เดิมทีหลิ่วจือหว่านคิดว่าคราวนี้คงหมดเรื่องแล้ว แต่ว่าหลังจากท่านลุงกลับมาจากสกุลเซิ่งก็เริ่มมีไข้ตัวร้อน
ตอนที่ป้าสะใภ้เช็ดตัวให้ท่านลุงก็ต้องตกใจยกใหญ่ เพราะพบว่าจู่ๆ บนร่างกายของท่านลุงก็มีผื่นแดงมากมายผุดขึ้นมา
ป้าสะใภ้หลี่ซื่อเห็นว่าผื่นแดงเหล่านี้น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่เพราะว่าขึ้นในบริเวณที่ลับ จึงไม่กล้าเรียกหลานสาวมาดู จางอวิ้นหลี่พยายามลืมตามองดูตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไรนัก หลังจากนั้นก็ร้องออกมาเสียงต่ำเบาด้วยความตกใจ บอกว่าผื่นที่ขึ้นบนร่างกายของตนเองดูอย่างไรก็เหมือน ‘ผื่นหยางเหมย’!
นี่เป็นโรคสกปรกที่แขกประจำตามแหล่งเริงรมย์เท่านั้นถึงจะติด!
แต่จางอวิ้นหลี่ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบเกณฑ์เสมอมา ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ชนบทนอกจากดูแลพืชสวนไร่นาแล้วก็ตรวจรักษาโรคให้คนป่วย อยู่กับป้าสะใภ้แทบจะตัวติดกันเป็นเงา มีโอกาสไปหลับนอนกับหญิงคณิกาที่ใดกัน
พอจางอวิ้นหลี่เห็นสิ่งที่อยู่บนร่างกายของตนเองชัดเจนแล้ว หลังจากความตื่นตระหนกผ่านพ้นไปก็รีบร้อนบอกให้ภรรยาล้างมือด้วยสุราไฟ ห้ามสัมผัสกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เขาเพิ่งจะผลัดเปลี่ยนเมื่อครู่นี้เป็นอันขาด
หลิ่วจือหว่านรู้ว่าท่านลุงกำลังป่วยจึงรีบแวะมาเยี่ยมเยียนทันที ครั้นเข้ามาในเรือนก็เห็นป้าสะใภ้ใช้ไม้คีบถ่านคีบเสื้อผ้าของท่านลุงที่ถูกชุบน้ำจนเปียกนำไปต้มในหม้อใหญ่ใบหนึ่งซึ่งตั้งไว้ในลานบ้าน
เมื่อหลิ่วจือหว่านเห็นท่าทางของป้าสะใภ้ย่อมต้องถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
หลี่ซื่อมีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็คิดว่าในเมื่อตนเองมาอาศัยอยู่ในจวนของหลานสาว มิหนำซ้ำโรคที่สามีเป็นก็เป็นโรคสกปรกที่สามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้อีก ทำให้ไม่กล้าปิดบัง ดังนั้นจึงเล่าอาการป่วยออกมาเสียงแผ่วเบาอย่างตะกุกตะกัก
พอหลิ่วจือหว่านได้ยินก็ดวงตาเบิกกว้าง รีบร้อนเดินเข้าไปในห้องทันที
คนที่ติดโรคพรรค์นี้ล้วนไม่กล้าพบเจอผู้คน จางอวิ้นหลี่คิดว่าตนเองรักษาเกียรติในบั้นปลายเอาไว้มิได้ เศร้าโศกเสียใจจนน้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมา อธิบายกับหลานสาวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดตนเองถึงติดโรคพรรค์นี้ได้
หลิ่วจือหว่านรู้ว่าช่องทางที่โรคพรรค์นี้ติดต่อสู่คนมิได้มีแต่การร่วมหอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากบนร่างกายมีบาดแผล เมื่อสัมผัสกับโลหิตติดเชื้อของผู้ป่วยก็อาจถูกแพร่เชื้อใส่ได้เช่นกัน
ท่านลุงประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมจรรยา เป็นไปไม่ได้ที่จะไปข้องแวะกับสตรีอื่น เช่นนั้นหรือเป็นเพราะเขาสัมผัสคนป่วยที่ปิดบังอาการอย่างไม่ได้ตั้งใจเข้า…
หลิ่วจือหว่านเองก็ไม่มีเวลามาขบคิดอย่างถี่ถ้วน นางได้แต่จับชีพจรให้ท่านลุงอย่างละเอียด ทว่าโรคสกปรกจำพวกนี้ก็ไม่อาจตรวจได้จากชีพจรเช่นกัน
หลังจากปลอบประโลมท่านลุงแล้ว หลิ่วจือหว่านก็ก้าวเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ประจวบเหมาะเห็นสาวใช้ระดับล่างที่อยู่ในลานบ้านกำลังช่วยป้าสะใภ้ใช้น้ำเดือดต้มเสื้อผ้าอยู่พอดี
สาวใช้ระดับล่างผู้นั้นไม่มีอุปกรณ์เหมาะมืออันใด แต่เป็นเพราะรังเกียจโรคนี้อยู่บ้างจึงสวมปลอกแขนบุนวมที่เอาไว้ใช้ยามยกเตาถ่านแทนแล้วค่อยใช้ตะขอเหล็กเกี่ยวเสื้อผ้าขึ้นมา
หลิ่วจือหว่านมองดูภาพฉากนี้ด้วยท่าทีนิ่งงัน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่ชายฉกรรจ์เหล่านั้นขนของขึ้นรถม้าที่ร้านยาเมื่อหลายวันก่อน
นางหันกายกลับไป จากนั้นก็ให้ท่านลุงยื่นขาออกมาจากผ้าห่ม ตรวจดูบริเวณที่เขาถูกมีดบาดจนได้รับบาดเจ็บ
ตามหลักการแล้วผ่านไปหลายวันเพียงนี้ปากแผลก็น่าจะตกสะเก็ดนานแล้ว แต่หลิ่วจือหว่านกลับพบว่าบริเวณรอบๆ ปากแผลกลับมีตุ่มแดงและสะเก็ดแห้งมากมายผุดขึ้นมา
ผื่นหยางเหมยนี้มักจะแสดงอาการหลังจากติดเชื้อไปแล้วประมาณสิบวัน ส่วนบาดแผลบนขาของท่านลุงก็เป็นมาได้เจ็ดแปดวันแล้ว ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร ช่วงเวลาที่ท่านลุงถูกแพร่เชื้อก็ไม่ห่างจากตอนที่ขาถูกมีดบาดที่ร้านยานานเกินไปนัก…
ในชั่วขณะนั้นหัวสมองของหลิ่วจือหว่านทำงานอย่างรวดเร็ว ส่วนท่านลุงก็ลุกขึ้นนั่งมองดูขาที่ได้รับบาดเจ็บของตนเองแล้วเอ่ยถามอย่างสับสนงุนงง
“หรือว่า…มีดที่ร้านยาใช้หั่นสมุนไพรปนเปื้อนเชื้อผื่นหยางเหมย แต่ถึงแม้ผื่นหยางเหมยนี้จะแพร่เชื้อผ่านเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ ทว่าเชื้อค่อนข้างอ่อน บนมีดนั่นจะมีเชื้อรุนแรงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ถึงกับแพร่สู่ผู้อื่นจากมีดได้…”
ไม่รอให้ท่านลุงพูดจบ หลิ่วจือหว่านก็ลุกพรวดขึ้นมา พุ่งตรงกลับไปในห้องของตนเอง
ตอนที่เฉิงเทียนฟู่แวะมาเยือนสวนเซี่ยนหยวนยามค่ำคืน หลิ่วจือหว่านเคยแลกถุงใส่ยาที่ปักเย็บด้วยตนเองกับอันที่เขาพกติดกายไว้
ในตอนนั้นดูเหมือนนางจะได้ยินเฉิงเทียนฟู่เอ่ยว่าในถุงใส่ยานั้นล้วนเป็นยาที่ปรุงขึ้นใหม่ในร้านยา
หลังจากแลกเปลี่ยนกันแล้วนางก็โยนถุงใส่ยาไปไว้ในกระจาดใส่เข็มกับด้ายอย่างส่งเดช
ตอนนี้ดูไปแล้วถุงใส่ยาผ้าฝ้ายสีขาวอมเทาที่เขานำมาแลกใบนี้คงจะเป็นข้าวของเครื่องใช้เสริมสำหรับทหารทุกคนในกองทัพ
โรคสกปรกอย่างผื่นหยางเหมยสามารถแพร่ผ่านเสื้อผ้าและบาดแผลได้ อีกทั้งมิใช่ยาพิษ แม้แต่เข็มเงินก็ไม่สามารถตรวจสอบได้
หลิ่วจือหว่านมองดูยาหลายชนิดที่อยู่เบื้องหน้าอย่างจริงจัง สายตาหยุดลงบนตลับเหล็กใบเล็กๆ ใบหนึ่ง นางเปิดตลับเหล็กใบนั้นออกมา สิ่งที่บรรจุเอาไว้ด้านในคือขี้ผึ้งเปียกสีเขียวอมดำเต็มตลับดูเหนียวหนืด นางมองดูป้ายที่แปะอยู่บนตลับเหล็ก คงจะเอาไว้ใช้สำหรับสมานปากแผล สร้างผิวเนื้อขึ้นมาใหม่ ดูแล้วเหมือนขี้ผึ้งซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของสกุลจางยิ่ง
หลิ่วจือหว่านใช้ผ้าเช็ดหน้ารองเอาไว้ จากนั้นก็หยิบตลับนี้ไปให้ท่านลุงดู ท่านลุงมองดูขี้ผึ้งเปียกสีเขียวอมดำนี้อย่างละเอียด พินิจพิเคราะห์ด้วยความฉงนสงสัยเช่นเดียวกัน จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“นะ…นี่มันขี้ผึ้งมรกตกำเนิดผิวสูตรลับเฉพาะของสกุลจางมิใช่หรือ นี่เอาไว้ให้สตรีที่มีรอยแผลบนใบหน้าใช้โดยเฉพาะ ญาติผู้พี่ของเจ้าผู้นั้น! อยากจะได้หน้าจนตัวสั่น แม้กระทั่งสูตรลับที่บรรพบุรุษสกุลจางของข้าถ่ายทอดให้ก็ยังยกให้คนอื่น!”
จางอวิ้นหลี่ด่าทอไปมา จู่ๆ ก็นึกโยงได้ว่าวันนั้นตอนที่ตนเองกลับมาทำแผลก็มียาสีเขียวอมดำเปื้อนติดมาเช่นกัน จึงรีบเอ่ยขึ้นอีก
“นี่เหมือนกับน้ำยาที่เปื้อนติดบาดแผลของข้ายิ่ง! สมุนไพรที่ใช้ปรุงขี้ผึ้งนี้ล้วนต้องแช่น้ำให้เปียกชุ่มแล้วค่อยใช้มีดตัด หรือว่าในขี้ผึ้งนี้ปนเปื้อนเชื้อผื่นหยางเหมย แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผื่นหยางเหมยสามารถแพร่สู่คนโดยผ่านขี้ผึ้งได้ เชื้อผื่นหยางเหมยนั่นพออยู่นอกร่างกายคนแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในเลือดก็ไม่อาจอยู่ได้นานเพียงนั้น…”
หลิ่วจือหว่านจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะเช่นกัน ดังนั้นนางจึงหากระดาษมันมารองเอาไว้บนมือแล้วกอบยาที่อยู่ในถุงผ้านี้เอาไว้และเก็บให้มิดชิด
นางพลันนึกถึงเรื่องในอดีตเมื่อครั้งที่ตนเองรับช่วงดูแลร้านยาจากญาติผู้พี่เมื่อครั้งนั้น หลงจู๊ที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายผู้นั้นลักลอบใช้สมุนไพรด้อยคุณภาพ ลอบนำสมุนไพรที่ขึ้นราปะปนเข้าไปในเสบียงกรังของกองทัพ
ตอนนี้ฉือหนิงอ๋องรีบร้อนอยากจะฉวยโอกาสจากสถานการณ์วุ่นวายกลับมายิ่งใหญ่ กุมอำนาจในกรมทหารอีกครั้ง นอกจากเรื่องที่ซื้อปืนไฟจากต่างแดนแล้ว เขาคิดยังจะวางอุบายกับสมุนไพรที่เป็นเสบียงของกองทัพด้วยหรือไม่
พอนึกถึงตรงนี้นางก็ลุกขึ้นหมายจะไปเข้าเฝ้ารัชทายาทที่ตำหนักบูรพาด้วยตนเอง
เมื่อมาถึงหน้าประตูวัง หลิ่วจือหว่านก็เห็นจินซื่อจื่อยืนอยู่ด้านหน้าประตูวังหลวงพอดี
ระยะนี้ฮ่องเต้กลับมาเรียกใช้งานต่งฉางกงอีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมต้องให้เกียรติบุตรสาวของเขาที่เพิ่งแต่งเข้าจวนอ๋องเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ดังนั้นงานเลี้ยงน้ำชาของสนมชายาในวังล้วนขาดนางไปไม่ได้
ชายาเการู้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้บุตรชายเฉยชาใส่ต่งอิ้งจู จึงตั้งใจจะช่วยให้ลูกสะใภ้ได้มีหน้ามีตา วันนี้ได้กำชับจินซื่อจื่อครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องยืนรอต่งอิ้งจูออกมาที่หน้าประตูวัง เพราะฮูหยินสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างก็มองดูอยู่ จะได้ลบล้างข่าวลือที่ว่าซื่อจื่อสองสามีภรรยาไม่สมัครสมานสามัคคีกัน
เมื่อหลิ่วจือหว่านลงจากรถม้าแล้วเห็นเขาเข้าก็พลันอึ้งงันไปเล็กน้อย นางรู้ว่าซื่อจื่อผู้นี้ถูกประคบประหงมดูแลมาแต่เยาว์วัย ใช้ชีวิตตามใจตนเองอย่างยิ่ง กอปรกับจดหมายที่เขาเขียนส่งมาก่อนหน้านี้ หลิ่วจือหว่านก็กลัวว่าเขาจะเข้ามาเกาะแกะตามตอแยอีกจริงๆ
แต่ใครเล่าจะรู้ว่ายามจินซื่อจื่อมองเห็นนาง ใบหน้ากลับซีดเผือดเล็กน้อยอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปก่อนไม่ยอมหันมามองนาง
ได้ยินว่าช่วงก่อนหน้านี้เขาป่วยหนักไปรอบหนึ่ง บัดนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริง สองแก้มซึ่งแต่เดิมอวบอิ่มมีน้ำมีนวลดูซูบตอบลง คนรูปร่างผ่ายผอมยืนอยู่ตรงนั้น แผ่กลิ่นอายเศร้าซึมออกมาอย่างบอกไม่ถูก
ขณะที่หลิ่วจือหว่านยืนรอแจ้งเข้าเฝ้าที่ตำหนักบูรพาอยู่หน้าประตูวังหลวง บรรดาฮูหยินที่เข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาในวังก็ทยอยเดินออกมาทีละคนสองคน
ช่วงนี้หลิ่วจือหว่านปฏิเสธการสู่ขอไปมากมายเหลือเกิน เรียกได้ว่าปฏิเสธจวนต่างๆ ในเมืองหลวงไปมากกว่าครึ่ง
ถึงแม้หลิ่วจือหว่านผู้นี้จะเป็นเศรษฐินี แต่ถ้าหากสิ่งที่เข้ากระเป๋านางไม่ใช่เงิน นางย่อมไม่เรียกสิ่งนั้นว่าทรัพย์สิน!
มิหนำซ้ำสวนเซี่ยนหยวนของนางยังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใหญ่โตถึงเพียงนั้น คนตายเต็มไปหมดทั้งสวน ไม่รู้เช่นกันว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวลือ บอกว่านางเป็นดาวพิฆาต ชะตาแข็งอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้แม้นางจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากเพียงใดก็ไม่มีใครอยากจะแต่งงานกับนางแล้ว
ฮูหยินเหล่านั้นมองเห็นนางแต่ไกล แต่กลับไม่เดินเข้ามาพูดคุยทักทาย เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น
แน่นอนว่าต่งอิ้งจูมองสถานการณ์นี้ออก จึงทำเป็นพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับฮูหยินทั้งหลายเสียงดังก้องไปพลางเชิดหน้ายืดอกเดินผ่านข้างกายหลิ่วจือหว่านไปพลาง เจตนาเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน
“เมื่อสักครู่นี้จิ่นเฟยได้ถ่ายทอดหลักปรัชญาแห่งชีวิตให้พวกเรา แต่ละถ้อยคำล้วนเยี่ยมยอดเลิศล้ำ คนบางคนภายนอกดูงดงาม ทว่าชะตาชีวิตไม่ดี แม้จะจับลิงมาสวมใส่เสื้อผ้า แสร้งทำตัวเป็นมนุษย์ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ หากเจอคนอัปมงคลนำพาเคราะห์ร้ายเช่นนี้เข้า ฮูหยินทุกท่านต้องอยู่ให้ห่างๆ เอาไว้! ครอบครัวขุนนางอย่างพวกเราล้วนแต่มีวาสนาบารมีที่สั่งสมมาหลายชาติภพ อย่าเผลอไปคบหากับดาวพิฆาต ประเดี๋ยวจะบั่นทอนอายุขัยเข้า”
จากความนัยแฝงในถ้อยคำของชายาซื่อจื่อแสดงให้เห็นชัดเจนยิ่งว่าตอนที่พวกนางดื่มชากับจิ่นเฟยในวังเมื่อครู่นี้ จิ่นเฟยเป็นตัวตั้งตัวตีเอาเรื่องของหลิ่วจือหว่านมาพูดซุบซิบนินทา
อย่างไรเสียเมื่อคิดดูอย่างจริงจังแล้ว หลังจากเซิ่งเซียงเฉียวตัวปลอมผู้นี้เข้าจวนมา สกุลเซิ่งถึงได้ประสบหายนะ ใต้เท้าเซิ่งเสียชีวิตผิดธรรมชาติ พอตรึกตรองอย่างละเอียด เรื่องดาวพิฆาตที่เล่าลือกันก็พอจะสมเหตุสมผลอยู่หลายส่วน
หลิ่วจือหว่านย่อมรู้ว่าต่งอิ้งจูกำลังเสียดสีใคร แต่ว่าครั้งนี้นางมาเข้าเฝ้ารัชทายาทเพราะมีเรื่องสำคัญ จึงคร้านจะเปลืองน้ำลายกับสตรีเรือนหลังพรรค์นี้ ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสีย
ต่งอิ้งจูมิได้มีท่าทีภาคภูมิใจต่อหน้าหลูอีเซี่ยนจู่เช่นนี้มานานแล้วจึงลำพองใจไปชั่วขณะ ต่อมาเมื่อเห็นซื่อจื่อกำลังยืนอยู่หน้ารถม้าเพื่อรอรับนางกลับจวน ในใจก็ยิ่งยินดีปรีดาเข้าไปใหญ่
ชายาเกาบอกนางว่าท่านอ๋องได้ตำหนิซื่อจื่อแล้ว บอกให้เขาสำรวมตนรีบให้กำเนิดทายาทสืบทอดโดยเร็ว
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะถูกรูปโฉมอันงดงามล่อลวงให้ลุ่มหลง ถึงกับคลั่งไคล้หลงใหลในรูปลักษณ์ของหลิ่วจือหว่าน ตอนนี้หลังจากได้ยินข่าวลือว่าหลิ่วจือหว่านพิฆาตบิดามารดาแล้วก็คงจะหมดใจกับนางเช่นกันกระมัง
ดังนั้นหลังจากจินซื่อจื่อประคองนางขึ้นรถม้าแล้ว ต่งอิ้งจูก็ยังคึกคักจนหุบปากไม่อยู่ เอ่ยอย่างชอบใจว่า “ซื่อจื่อ ท่านไม่รู้ว่างานเลี้ยงน้ำชาวันนี้ครึกครื้นเพียงใด เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่าความเป็นมาของหลิ่วจือหว่านจะน่าสะพรึงกลัวปานนั้น แม้กระทั่งครอบครัวทางท่านยายนางทั้งตระกูลก็ยังเสียชีวิตจากเหตุไม่คาดฝัน…เหตุใดถึงชะตาแข็งเช่นนี้ เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซิ่งถึงยังกล้ารับเลี้ยงเอาไว้อีก ท่านว่าครั้งนั้นใต้เท้าเซิ่งเสียชีวิตอย่างน่าอนาถเพียงนั้นเป็นเพราะถูกบุตรสาวตัวปลอมผู้นี้พิฆาตเช่นกันใช่หรือไม่”
ต่งอิ้งจูยังไม่ทันพูดจบ จินซื่อจื่อก็ยกแขนขึ้นสูง ฟาดใส่แก้มของนางหนึ่งฉาดอย่างแรง
“สตรีโง่เขลาเบาปัญญา ปั้นเรื่องโป้ปดมดเท็จหน้าประตูวัง! ชาติที่แล้วข้าก่อกรรมทำเข็ญอันใดถึงต้องแต่งสตรีต่ำทรามที่ปากพล่อยเช่นเจ้าเป็นภรรยา!”
ชายาเกาซึ่งอยู่ด้านข้างตกตะลึง นางรู้จักบุตรชายของตนเองดี ถึงแม้จะเสเพลรักสนุก ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามิใช่บุรุษกักขฬะที่จะลงไม้ลงมือกับสตรี
แล้ววันนี้เขาเกิดเสียสติอันใดขึ้นมา ถึงได้รีบร้อนอยากจะสั่งสอนภรรยาทั้งๆ ที่ยังไม่ทันกลับถึงจวน
ฝ่ามือของจินซื่อจื่อตบเสียงดังยิ่ง เสียงตะคอกก็ดังสนั่นราวกับอสนีบาตด้วยความโกรธแค้นเดือดดาล
บรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่โดยรอบยังไม่ทันเดินแยกย้ายจากไป ย่อมได้ยินชัดเจนเต็มสองหูเป็นธรรมดา ต่อมาเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของต่งอิ้งจูผู้นั้นก็ดังลอยออกมาจากในรถม้า
ทุกคนหันไปมองตามเสียง จากนั้นก็เห็นจินซื่อจื่อกระโดดลงมาจากรถม้าด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว พาบ่าวรับใช้ของตนเองเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง
หลิ่วจือหว่านเองก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในรถม้าซึ่งอยู่ห่างจากนางไปไม่ไกลเช่นกัน
นางพอจะเดาได้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดจินซื่อจื่อถึงได้โกรธจัดเช่นนั้น
เพราะจินซื่อจื่อรู้ดีว่าสาเหตุที่นายท่านสกุลเซิ่งถูกสังหารในปีนั้น…เป็นเพราะเขาถูกลิ่วล้อของจวนฉือหนิงอ๋องปองร้ายจนถึงแก่ความตาย!
ส่วนการกระทำทั้งหลายของท่านอ๋องในระยะนี้ จินซื่อจื่อที่มิใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปก็คงจะพอรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่บ้างเช่นกัน
อันที่จริงในจดหมายเหล่านั้นที่เขาเขียนถึงนาง หากบอกว่าในแต่ละประโยคแต่ละบรรทัดล้วนพร่ำพรรณนาถึงความถวิลหา มิสู้บอกว่าเป็นการระบายความรู้สึกผิดที่มีต่อนางเสียมากกว่า
วังวนของจวนฉือหนิงอ๋องนั้นดำมืดมากเกินไป จินซื่อจื่อที่ค่อยๆ เริ่มจะรู้เรื่องรู้ราวดูเหมือนมิอาจทนรับได้เท่าไรนัก เขาอาลัยอาวรณ์ในความสบายใจไร้กังวลที่ได้จากการเที่ยวเตร่ตามเรือสำราญและร้านหนังสือของกวีปัญญาชนมาเนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ต้องถูกโลกแห่งความเป็นจริงทุบตีจนแตกสลาย
ตัวอยู่บนเรือลำใหญ่อย่างจวนฉือหนิงอ๋องที่กำลังขับเคลื่อนมุ่งหน้าสู่หุบเหวลึก ทำให้จินซื่อจื่อผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยทำอะไรตามใจตนเองไม่ได้เช่นกัน…
กระทั่งหลิ่วจือหว่านได้เข้าตำหนักไปเข้าเฝ้ารัชทายาทก็เล่าเหตุการณ์น่าสงสัยที่ท่านลุงติดโรคออกมา หลังจากรัชทายาทขมวดคิ้วฟังจนจบก็สั่งให้คนสนิทนำยาหลายชนิดที่หลิ่วจือหว่านนำติดตัวมาด้วยไปทาลงบนร่างของนักโทษประหารที่อยู่ในคุก เปรียบเทียบตรวจสอบดูว่ายาเหล่านี้มีปัญหาหรือไม่
แต่กว่าผื่นหยางเหมยจะออกอาการต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันทีทันใด
หลิ่วจือหว่านเอ่ยกับรัชทายาทว่า “รัชทายาทเพคะ ตอนนี้พระองค์ต้องวางแผนรองรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พิจารณาดูว่าจะต้องรวบรวมสมุนไพรใหม่อีกครั้งแล้วนำไปสับเปลี่ยนกับยาที่ลำเลียงไปยังแนวหน้าหรือไม่”
รัชทายาทขมวดคิ้วกล่าว “ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำเช่นนี้จะไม่รีบร้อนเกินไปหรือไร”
บัดนี้ในสมองของหลิ่วจือหว่านได้เรียบเรียงเหตุไม่คาดฝันต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันมานี้มาแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นนางก็คุกเข่าแล้วเอ่ยขึ้น
“รัชทายาท สถานการณ์เร่งด่วนฉุกเฉิน ยอมเชื่อดีกว่าไม่เชื่อนะเพคะ พระองค์ยังทรงจำเรื่องที่โจรร้ายลอบโจมตีสวนเซี่ยนหยวนของหม่อมฉันได้หรือไม่ หม่อมฉันคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก ไม่รู้ว่าเหตุใดโจรร้ายจะต้องปองร้ายหม่อมฉันด้วย แต่ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านลุงของหม่อมฉันถูกมีดบาดพอดี สังหารหม่อมฉันก็เป็นแค่อุบายตบตาเท่านั้น คนที่พวกเขาอยากสังหารจริงๆ น่าจะเป็นท่านลุงของหม่อมฉันที่ถูกมีดบาดจนได้รับบาดเจ็บถึงจะถูกเพคะ!”
มีแต่ต้องสังหารจางอวิ้นหลี่ถึงจะสามารถเลี่ยงมิให้ผื่นหยางเหมยของเขาออกอาการได้ จะได้อำพรางเรื่องที่ของมีคมจากร้านยาแปดเปื้อนเชื้อสกปรกของผื่นหยางเหมย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการปิดบังความจริงที่สมุนไพรเหล่านั้นปนเปื้อนอีกด้วย
คนที่ทำเรื่องนี้จิตใจอำมหิตเหลือเกิน! สมุนไพรที่เปื้อนเชื้อโรคเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผงยาที่เอาไว้รักษาบาดแผลภายนอก ไม่จำเป็นต้องต้มน้ำ สามารถเทใส่บนปากแผลได้โดยตรง
พอถึงตอนนั้นเชื้อก็จะเข้ามาทางปากแผล พลทหารทุกคนที่ใช้ยานี้ก็จะติดโรคกันหมด ในค่ายทหารเหล่าทหารหาญล้วนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดทั้งกลางวันกลางคืน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ปะปนอยู่ด้วยกัน ถาดอาหารก็ผลัดกันใช้ เกรงว่าคงจะมีคนติดเชื้อไม่น้อย
หากเป็นโรคอื่นก็ยังไม่เท่าไร แต่ถ้าเกิดเหล่าทหารติดโรคสกปรกพรรค์นี้เข้าจะรายงานราชสำนักได้อย่างไร เกรงว่าคงจะถูกคนที่มีเจตนาร้ายจับมาใส่สีตีไข่ให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต บอกว่าทหารที่ด่านเหยียนสุ่ยคงคิดแต่จะเที่ยวเตร่หาความสุขสำราญในขณะที่แนวหน้าต่อกรอยู่กับศัตรู หลับนอนกับสตรีที่ติดโรคสกปรกถึงได้ทำให้โรคนี้แพร่ระบาดในกองทัพเป็นวงกว้าง
รัชทายาทขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “คนรับหน้าที่หลักในการดูแลร้านยาก็คือหมอหลวงเจิ้งที่มีประสบการณ์ยาวนาน ข้าจะสั่งให้คนไปกุมตัวเขาเอาไว้แล้วสอบถามอย่างละเอียด เจ้าเองก็บอกแล้วว่าวันนั้นมีคนเก็บของมีคมไปแล้ว สมุนไพรที่เหลือคงจะถูกทำลายทิ้งไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ อาศัยเพียงท่านลุงของเจ้าที่ติดโรคกับถุงใส่ยาที่เจ้าถือไว้ในมือยังไม่พอจะทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้ ถ้าหากไม่มีคำสารภาพของหมอหลวงเจิ้งจะถูกคนย้อนกลับมาพูดว่าเจ้าใส่ร้ายป้ายสีขุนนางผู้จงรักภักดีได้”
หลิ่วจือหว่านเอ่ยด้วยความเข้าใจว่า “ครั้งนี้ผู้ที่รับผิดชอบดูแลสมุนไพรและเสบียงกองทัพก็คือรัชทายาท แม้แต่หมอหลวงเจิ้งผู้นั้นพระองค์ก็เป็นคนมอบหมายหน้าที่ให้เอง หากบัดนี้หมอหลวงเจิ้งเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ ทำให้สมุนไพรมากมายแปดเปื้อนเชื้อโรค เช่นนั้นรัชทายาทก็ยากจะปัดความรับผิดชอบได้เช่นกัน ดูท่าคนที่วางอุบายนี้คงจะเตรียมการมาอย่างพร้อมสรรพ คิดใคร่ครวญมาหมดแล้วทุกด้าน หลังจากใช้อุบายนี้จะได้ผลลัพธ์เพียงสองอย่างเท่านั้น ประการแรกคือแม่ทัพเฉินเสวียนแห่งด่านเหยียนสุ่ยปกครองกองทัพไม่เข้มงวดกวดขัน ปล่อยปละละเลยให้เหล่าทหารไปเที่ยวหอคณิกาก่อนออกรบ ทำให้ทหารจำนวนมากติดโรคสกปรกจนล้มป่วย…”
รัชทายาทพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อจากถ้อยคำของหลิ่วจือหว่านอย่างช้าๆ “เกรงว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้บงการเบื้องหลังคือพอเรื่องที่สมุนไพรถูกปนเปื้อนถูกเปิดเผยออกมา ข้าซึ่งรับหน้าที่ดูแลเสบียงกองทัพก็จะถูกฝ่าบาทลงโทษเพราะสะเพร่าในการปฏิบัติหน้าที่จนกระทบต่อสถานการณ์การศึก ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรล้วนเป็นไปตามเป้าหมายของผู้บงการเบื้องหลังทั้งสิ้น”
รัชทายาทอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี เดิมทีคิดว่าตนเคยชินกับการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบเหล่านี้แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังคงส่งเสียงทอดถอนใจออกมา
เภทภัยของบ้านเมืองอยู่ตรงหน้า แต่กลับมีคนถูกอำนาจมัวเมาจิตใจ มิหนำซ้ำยังจะทำเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนให้พวกพ้องของตนเองเช่นนี้อีก ช่างชวนให้คนโกรธแค้นเข้ากระดูกจริงๆ ทว่าตอนนี้กลับไม่อาจทำอันใดได้!
แต่เขากลับประหลาดใจที่แม่นางน้อยตรงหน้าสามารถขบคิดได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ไม่ด้อยไปกว่าที่ปรึกษาของเขาเหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้นเขาจึงมองไปทางหลิ่วจือหว่าน เอ่ยชมเชยว่า “เมื่อก่อนรู้แค่ว่าเจ้ามีวิชาแพทย์เป็นเลิศ เป็นคนไม่ยึดติด แต่นึกไม่ถึงว่าแม่นางน้อยอย่างเจ้าจะมองสถานการณ์บ้านเมืองได้ทะลุปรุโปร่งมากเช่นกัน หากเป็นบุรุษเจ้าคงเป็นขุนนางได้ มีความฉลาดปราดเปรื่องอย่างหาได้ยากยิ่ง!”
ครั้นหลิ่วจือหว่านได้ยินคำชมเชยของรัชทายาทก็ยิ้มฝืดเฝื่อนพลางกล่าวว่า “รัชทายาทตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันก็แค่รู้วิชาแพทย์ที่สืบทอดต่อกันมาในครอบครัวเท่านั้น สิ่งที่สามารถทำได้มีเพียงรีบมุ่งหน้าไปรักษาโรคสั่งยาที่ชายแดนด้วยตนเอง และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือหายาที่มีปัญหาให้พบแล้วสับเปลี่ยนให้เร็วที่สุด เพื่อเลี่ยงมิให้เหล่าทหารต้องล้มป่วย นอกจากนี้ยังต้องขอให้รัชทายาททรงเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ พอถึงเวลานั้นจะได้ไม่จนมุมมากจนเกินไป”
รัชทายาทพยักหน้าเบาๆ ผู้สืบทอดบัลลังก์ซึ่งสุขุมเยือกเย็น ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้ามาโดยตลอด บัดนี้ก็ถูกความใจกล้าบ้าระห่ำของคนเบื้องหลังผู้นั้นยั่วโทสะขึ้นมาแล้วเช่นกัน
สาวกลัทธิผู่ฮว่าอาละวาดแผลงฤทธิ์ไปทั่ว หากเกิดความผิดพลาดเพียงนิดเดียวในการศึกที่อิ๋งโจวก็จะส่งผลต่อเมืองหลวง ในช่วงเวลาสำคัญของเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้กลับมีคนคิดจะแย่งอำนาจชิงผลประโยชน์ สร้างความเสียหายให้พวกเดียวกันอีก! นี่จะทำให้คนที่หลั่งเลือดเข่นฆ่าศัตรูปกป้องบ้านเมืองอย่างแท้จริงเหล่านั้นขมขื่นใจเพียงใดกันหนอ
หากเรื่องที่ยาสมุนไพรในเสบียงกองทัพถูกแพร่กระจายออกไปจะต้องสั่นคลอนขวัญกำลังใจของกองทัพแน่นอน ไม่แน่อาจทำให้กองทัพเกิดความวุ่นวายภายในขึ้นมาก็เป็นได้
แผนรับมือเฉพาะหน้าในตอนนี้ก็เป็นเหมือนอย่างที่หลิ่วจือหว่านว่าจริงๆ ต้องยับยั้งหายนะที่ด่านเหยียนสุ่ยก่อนแล้วค่อยว่ากัน