ซ่อนกลิ่น
ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 50.1-50.3
บทที่ 50-3 สังหารคนปิดปาก
ในวันนั้นหมอหลวงเจิ้งซึ่งเป็นผู้ดูแลร้านยาเพิ่งออกจากจวนไปได้ไม่นานก็ถูกจับกุมตัวกลับมาพร้อมรถม้า
ยามที่เขาถูกคนคลุมถุงผ้าสีดำกุมตัวมายังคฤหาสน์ลับแห่งหนึ่ง หมอหลวงเจิ้งตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง คิดว่าตนเองพบโจรร้ายเข้าแล้ว
เพราะเรื่องของสวนเซี่ยนหยวนกลายเป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมใหญ่โต ใครจะไปรู้ว่าโจรร้ายกลุ่มนั้นยังมีพรรคพวกอยู่อีกหรือไม่
สุดท้ายเขาถูกชายฉกรรจ์ใบหน้าถมึงทึงผู้หนึ่งสอบสวน ไต่ถามเขาว่าได้ทำอันใดใส่ยาสมุนไพรของกองทัพหรือไม่ หมอหลวงเจิ้งถูกถามจนงงงัน เอ่ยพลางร้องไห้โหยหวน
“นั่นล้วนเป็นยาของทหารแนวหน้า ใครกันกินใจหมีดีเสือเข้าไปถึงได้กล้าทำเรื่องไม่ดีใส่”
“พูดเหลวไหลอันใด ทหารที่แนวหน้ามีคนทาขี้ผึ้งของเจ้าแล้วเกิดผดผื่นขึ้นบนผิวหนัง ติดโรคสกปรก! เจ้ายังไม่ยอมรับอีก”
หมอหลวงเจิ้งร้อนใจจนใช้ศีรษะกระแทกกับพื้น “พูดเลอะเทอะอันใดกัน อาจมีคนที่ผิวบอบบางจนมีผดผื่นขึ้นก็เป็นได้!”
ในตอนนี้เองชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ชักดาบออกมาโดยพลัน กรีดลงบนแขนหมอหลวงเจิ้งจนกลายเป็นแผลหนึ่งรอย จากนั้นก็หยิบขี้ผึ้งสีเขียวอมดำตลับหนึ่งออกมาแล้วสั่งให้เขาป้ายลงบนปากแผลของตนเอง
ในทีแรกหมอหลวงเจิ้งเจ็บจนร้องครวญคราง จากนั้นก็ลองดมกลิ่นด้วยความตื่นตระหนกเสียขวัญ เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
“นี่มัน…ขี้ผึ้งมรกตห้ามเลือดที่ร้านยาของพวกเราปรุงขึ้นมิใช่หรือ”
พอพูดจบเขาก็ใช้นิ้วแตะเบาๆ มิหนำซ้ำยังนำมาจ่อตรงปลายจมูกแล้วสูดดมเพื่อความแน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกลับเอ่ยด้วยสีหน้าดุร้าย
“รีบทาเสีย!”
หมอหลวงเจิ้งรีบเร่งปาดขี้ผึ้งออกมาหนึ่งก้อน จากนั้นก็ทาลงบนบาดแผลที่ถูกกรีดพลางสะอึกสะอื้น
หลิ่วจือหว่านซึ่งยืนดูสถานการณ์ภายในห้องผ่านช่องผนังที่ห้องข้างๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรงด้วยความผิดหวัง แล้วเอ่ยกับรัชทายาทที่อยู่ด้านข้าง
“หมอหลวงเจิ้งไม่รู้เรื่อง หรือต้องบอกว่าเขาไม่รู้ว่าขี้ผึ้งนี้มีปัญหาอันใด”
ต่อให้หมอหลวงเจิ้งเป็นคนชั่วช้ากลับกลอก แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะแสดงละครเป็น เมื่อครู่ยามที่เขาเห็นขี้ผึ้งนั้น แม้แต่สีหน้าแววตารังเกียจเดียดฉันท์สักนิดก็ยังไม่มี บนใบหน้ามีแต่ความหวาดกลัวต่อคนที่สอบสวนเขาเท่านั้น
เท่านี้ก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่รู้เรื่องขี้ผึ้งแม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้เบาะแสก็ขาดตอนลงอีกแล้ว รัชทายาทไม่อยากให้ข่าวคราวเล็ดลอดออกไปจึงกักตัวหมอหลวงเจิ้งเอาไว้ก่อนชั่วคราว
เมื่อหลิ่วจือหว่านกลับมาถึงจวน ป้าสะใภ้หลี่ซื่อก็ยืนรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ พอเห็นนางกลับมาก็รีบเอ่ยขึ้น
“เจ้ากลับมาเสียที รีบไปดูท่านลุงเจ้าเร็วเข้า ขะ…เขาดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว!”
ครั้นหลิ่วจือหว่านได้ยินก็รีบวิ่งไปที่เรือนของท่านลุงโดยเร็ว เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่าบนใบหน้าของท่านลุงเต็มไปด้วยผื่นแดง ทั้งยังหมดสติไปแล้ว
หมอที่รับหน้าที่ดูแลเขาอยู่ด้านข้างก็อับจนปัญญาเช่นกัน
หมอผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่น่าอับอายในเมืองหลวง แต่เขาไม่เคยเห็นโรคที่ออกอาการเร็วเช่นนี้มาก่อน ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนกับคนป่วยด้วยโรคผื่นหยางเหมยที่เมื่อก่อนเขาเคยรักษาสักเท่าไร ดูเหมือนว่ายิ่งรักษาอาการจะยิ่งรุนแรงขึ้น
หลังจากหลิ่วจือหว่านสอบถามจนรู้ว่าหลังจากท่านลุงดื่มน้ำแกงยาที่ปรุงให้ลงไป จู่ๆ ถึงได้เกิดอาการชักอย่างรุนแรง จึงรีบตัดสินใจให้คนเอาตะเกียบมาง้างปากของท่านลุงแล้วเริ่มกระตุ้นให้เขาอาเจียนออกมา
หลังจากเขาอาเจียนน้ำแกงยาออกมามากกว่าครึ่ง ถึงแม้จะยังไม่ได้สติแต่ก็ดูแล้วดีขึ้นกว่าเดิมมากโข
หลิ่วจือหว่านตรวจชีพจรให้อย่างละเอียด แต่กลับพบว่าชีพจรของอีกฝ่ายดูอ่อนแรงจากการถูกพิษอยู่รางๆ นางจึงใช้เข็มเงินฝังลงบริเวณคอของเขา เมื่อดึงออกมาที่ปลายเข็มก็ปรากฏสีดำเล็กน้อยเหมือนดั่งที่คาดคิดไว้
หลิ่วจือหว่านเงยหน้าเอ่ยถามหมอว่าน้ำแกงยาที่ให้ท่านลุงดื่มคือยาอะไร หมอผู้นั้นตอบว่า “คือยาเทียนเจียงส่าน แก้พิษที่เอาไว้ใช้รักษาผื่นหยางเหมยกันทั่วไป”
หลิ่วจือหว่านเอ่ยถามอีกครา “ปกติผื่นหยางเหมยออกอาการเร็วเพียงนี้หรือไม่”
หมอผู้นั้นส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เป็นโรคที่ออกอาการช้า หาไม่แล้วเหตุใดสตรีที่ติดโรคในแหล่งเริงรมย์เหล่านั้นถึงยังคงรับแขกต่อไปเล่า พอติดโรคนี้แรกเริ่มนอกจากร่างกายไม่ค่อยสบายเล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่มีปัญหาทั้งสิ้น แต่พอถึงช่วงท้ายป่วยหนักไร้หนทางเยียวยาแล้วถึงจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต”
ในเวลานี้เองจางอวิ้นหลี่ก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ตัวเขาเองก็เป็นหมอ หลังจากผ่านความเจ็บปวดทรมานครานี้มาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติขึ้นมาเช่นกัน จึงฝืนผ่อนลมหายใจเอ่ยกับหลิ่วจือหว่าน
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ผื่นหยางเหมย”
หลิ่วจือหว่านเองก็รู้สึกว่าไม่ใช่เช่นกัน ถึงแม้ผื่นหยางเหมยจะสามารถทำลายชื่อเสียงของกองทัพป้องกันด่านเหยียนสุ่ยได้ แต่ว่าโรคออกอาการช้าเกินไป ไม่สามารถทำให้แม่ทัพถูกเปลี่ยนตัวระหว่างการศึกหรือเห็นผลลัพธ์อย่างทันทีทันใดได้
ผื่นหยางเหมยส่วนมากจะติดต่อจากคนสู่คน แต่ว่าแม่ทัพเฉินเสวียนปกครองกองทัพอย่างเคร่งครัดยิ่ง ไม่มีทางปล่อยให้พลทหารภายใต้บังคับบัญชาไปเที่ยวเตร่จนติดโรคภัยที่น่าอับอายแน่นอน
แต่ถ้าหากเป็นยาบางชนิดที่หลังจากทาไปแล้วอาการที่ปรากฏออกมามีความคล้ายคลึงกับผื่นหยางเหมย สร้างความเข้าใจผิดให้หมอทหารของกองทัพจนสั่งผงยารักษาผื่นหยางเหมยให้ ทว่ายาที่แพร่เชื้อนี้กับผงยารักษามีฤทธิ์ต่อต้านกัน เช่นนั้นทหารที่แนวหน้าก็มีโอกาสสลบไสลไม่ได้สติเหมือนกับท่านลุงเมื่อครู่นี้ ในขณะเดียวกันอาจเกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
พอเป็นเช่นนี้ความผิดโทษฐานทหารกองทัพป้องกันด่านเหยียนสุ่ยติดโรคผื่นหยางเหมย ทำให้กระทบต่อสถานการณ์การศึกก็จะกลายเป็นจริง
ราชสำนักถามแต่ผลการศึกเป็นเช่นไร มีใครบ้างจะไปไล่ตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงของโรค
เมื่อถึงเวลานั้นขุนพลป้องกันด่านเหยียนสุ่ยก็จะไม่มีใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว นับจากนี้ไปต้องแบกรับคำด่าทอว่าไปหลับนอนกับหญิงคณิกาในช่วงศึกสงคราม ถึงจะไม่ตายเพราะโรค แต่แม่ทัพทั้งหมดและบุตรหลานในตระกูลของพวกเขาจะต้องอับอายขายหน้า ไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากอีก!
ทางด้านต่งอิ้งจูที่ร่ำไห้สะอึกสะอื้นกลับจวน นางรู้สึกว่าตนเองเสียหน้าต่อหน้าผู้คน จึงเป็นธรรมดาที่จะอาละวาดโวยวายรอบหนึ่ง
ชายาเกาฟังคำระบายพร่ำบ่นฟูมฟายของต่งอิ้งจูมาตลอดทาง กระทั่งกลับมาถึงจวนนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เงื้อมือขึ้นตบลูกสะใภ้ซ้ำอีกหนึ่งฉาด
“เจ้าคิดว่าแต่งเข้าสกุลจินของพวกเราและบิดาเจ้ากลับมาได้รับความสำคัญอีกครั้งแล้วเจ้าก็ไม่ต้องยำเกรงสิ่งใดทั้งสิ้นหรือ หากมิใช่เพราะวันนี้เจ้าพูดมาก จะถึงขั้นยั่วโทสะซื่อจื่อจนโกรธ ทำให้เขาตบหน้าเจ้าต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร ไป! กลับเรือนเจ้าไปสำนึกให้ดี หากคิดว่าสกุลจินของข้าไม่ดีพอจะรองรับเจ้า เจ้าจะกลับบ้านเดิมไปก็ได้!”
ต่งอิ้งจูเงียบเสียงในฉับพลัน นับตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลจินก็ถูกจินซื่อจื่อทำตัวเย็นชาใส่มาโดยตลอด เขาถึงกับพูดต่อหน้านางว่านางดีไปหมดทุกอย่าง แต่ว่าถูกผู้อื่นยัดเยียดให้เขา ดังนั้นเขาจึงรักนางไม่ลง
คำพูดเช่นนี้ใครจะรับได้บ้าง ต่งอิ้งจูเองก็เก็บกดเอาไว้ในหัวใจเช่นกัน ถึงได้เผลอลืมตัวต่อหน้ามารดาสามี
ชายาเการะงับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของนางเอาไว้ได้ในที่สุด จึงผ่อนคลายความเย็นชาประหนึ่งเกล็ดน้ำแข็งบนใบหน้าลง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“เจ้าเองก็รู้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องกับบิดาเจ้ากำลังจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง สตรีเรือนหลังอย่างพวกเราก็ควรจะช่วยให้พวกเขาเบาใจ หลิ่วจือหว่านผู้นั้นเป็นสตรีอัปมงคล เจ้าเอาแต่พูดถึงนางต่อหน้าซื่อจื่อไปเพื่ออันใดกันเล่า ไปเถิด กลับไปล้างหน้าล้างตา แต่งตัวประทินโฉมเสียใหม่ ประเดี๋ยวพอซื่อจื่อกลับมาข้าจะต่อว่าเขาให้เจ้าเอง”
หลังจากถูกตบต่งอิ้งจูก็นึกถึงอุปนิสัยใจคอของมารดาสามีขึ้นมาได้ จึงไม่กล้าโวยวายอีก กลับเรือนของตนเองไปแต่โดยดี
นางเดินไปพลางย้อนนึกถึงบทสนทนาของท่านอ๋องกับจินซื่อจื่อที่นางได้ยินจากนอกห้องหนังสือเมื่อหลายวันก่อนไปพลาง ในใจมีแต่ความเคียดแค้น
ดูเหมือนว่าเพื่อเกลี้ยกล่อมให้บุตรชายมีกะจิตกะใจขึ้นมา ท่านอ๋องถึงขนาดพูดกับจินซื่อจื่อว่า ‘หากอำนาจอยู่ในมือเสียอย่าง บุรุษไยต้องกลัวจะไร้ภรรยาด้วยเล่า ฮ่องเต้เกาจงของราชวงศ์ก่อนสังหารครอบครัวทั้งหมดของฉินอี้ขุนนางทุจริต เหลือไว้เพียงบุตรสาวคนสุดท้องของสกุลฉิน สตรีสกุลฉินผู้นั้นก็กลายเป็นสนมรักของพระโอรสฮ่องเต้เกาจง ให้กำเนิดบุตรแก่เขาถึงสามคนมิใช่หรือ หากเจ้าชอบหลิ่วจือหว่านผู้นั้นก็ต้องสร้างความสำเร็จให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องกลายเป็นบุรุษทรงอำนาจที่นางปฏิเสธไม่ได้! พอถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะรับนางเป็นชายารอง นางจะกล้าปฏิเสธเจ้าหรือ’
ในตอนนั้นต่งอิ้งจูได้ยินถ้อยคำนี้จากด้านนอก ในใจพลันหงุดหงิดขึ้นมาในทันใด
หลายวันหลังจากนั้นยามเห็นจินซื่อจื่อออกไปปฏิบัติงานยังที่ทำการของทางการ ท่าทางดูเหมือนจะฮึกเหิมมีกำลังใจขึ้นมา นางก็ยิ่งอึดอัดทรมานมากกว่าเดิม รู้สึกว่าเขาเอาการเอางานก็เพื่อที่วันข้างหน้าจะสามารถแต่งชายารองที่พึงใจได้ตามที่ตนเองปรารถนา
เพราะเหตุนี้เองนางถึงก้าวข้ามปราการนี้ไปไม่ได้ ชังน้ำหน้าหลิ่วจือหว่านผู้นั้นมาโดยตลอด
ก่อนที่บิดาจะยกทัพ พอได้ยินคำพูดของนางแล้วเขากลับไม่ใคร่ใส่ใจนัก บอกแค่ว่าท่านอ๋องก็แค่พูดกระตุ้นให้ซื่อจื่อร่าเริงขึ้นมาเท่านั้น ไฉนเลยจะมีเจตนารับหลิ่วจือหว่านเป็นชายารองจริงๆ
ตอนนั้นบิดายังเอ่ยอย่างมีความนัยลึกซึ้งว่า ‘หลิ่วจือหว่านผู้นั้นเป็นแค่เด็กสาวกำพร้าตัวคนเดียว แทบจะไม่มีญาติพี่น้องที่ใด แต่ว่าญาติผู้พี่สองคนรับใช้กองทัพ หากด่านเหยียนสุ่ยแตกพ่าย เจ้าว่านางยังจะมีที่พึ่งพิงอันใดอีก วางใจเถิด นางก็เป็นแค่ตั๊กแตนหลังสารทฤดู ปล่อยให้นางกระโดดโลดเต้นไปอีกสักสองสามวัน…’
ถึงแม้ว่าต่งอิ้งจูจะไม่รู้ความหมายแฝงในคำพูดของบิดา แต่ก็คิดว่าวาจาของบิดาไม่มีทางพูดออกมาอย่างสูญเปล่าแน่นอน
เมื่อขบคิดอย่างถี่ถ้วน หลิ่วจือหว่านผู้นี้เป็นดาวพิฆาตอย่างแท้จริง! ข่าวลือที่ว่าหลูอีเซี่ยนจู่ชะตาแข็งพิฆาตคนทั้งครอบครัวจนตายซึ่งกำลังแพร่ลือกันไปทั่วเมืองหลวงในตอนนี้ก็เป็นเพราะต่งอิ้งจูจ่ายเงินป่าวประกาศออกไป!
เดิมทีนางคิดว่าพอจินซื่อจื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ในใจน่าจะบังเกิดความระแวดระวังต่อสตรีผู้นั้น แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขากลับตบหน้าตนเองต่อหน้าผู้คน!
ต่งอิ้งจูมองดูใบหน้าที่บวมแดงอยู่หน้าคันฉ่อง ในใจอาฆาตแค้นอย่างถึงที่สุด หลิ่วจือหว่าน ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้อยู่อย่างสบายแน่!
ทางด้านหลิ่วจือหว่าน หลังจากศึกษาน้ำแกงยาที่ท่านลุงดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็จ่ายขี้ผึ้งทาภายนอกที่ใช้รักษาผดผื่นบนผิวหนังตามปกติให้ท่านลุง ต่อมาก็ยังให้เขาดื่มน้ำแกงยาช่วยขับปัสสาวะ โดยหลีกเลี่ยงตัวยาที่มีฤทธิ์ต่อต้านกัน
น้ำอุ่นอยู่บนเตาอย่างไม่ขาดช่วง จำเป็นต้องให้ท่านลุงดื่มน้ำในปริมาณมาก
ภายใต้สภาวะที่ไม่ได้กินยาใดๆ ทั้งสิ้น ผ่านไปไม่กี่วันพิษในร่างของท่านลุงก็หมดฤทธิ์ลง อาการก็ทุเลาลงมาก ผื่นแดงบนร่างกายก็ค่อยๆ เลือนหายไป เพียงแค่แขนขายังคงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าใดนัก
ส่วนหมอหลวงเจิ้งที่ถูกควบคุมตัวผู้นั้นก็เริ่มมีไข้ บนแขนที่ถูกบาดเป็นแผลมีผื่นแดงผุดขึ้นมา ปรากฏอาการของผื่นหยางเหมย ทำให้หมอหลวงเจิ้งร้องโวยวายด้วยความตกใจ ตะโกนเสียงดังให้ปล่อยเขาออกไป
เมื่อนำทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันแล้วก็สามารถยืนยันการคาดเดาของหลิ่วจือหว่านได้อีกครั้งว่าขี้ผึ้งเขียวนั่นมีปัญหาจริงๆ ทำให้คนเป็นไข้อ่อนเพลีย ปรากฏอาการของโรคที่ใกล้เคียงกับผื่นหยางเหมย
แต่สิ่งที่สามารถทำให้คนตายได้จริงๆ ก็คือน้ำแกงยารักษาผื่นหยางเหมยที่หมอผู้ทำการรักษาสั่งให้ด้วยความเข้าใจผิด ถ้าเกิดคนป่วยกินเข้าไปจะก่อให้เกิดพิษที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าหมอที่อยู่แนวหน้าคงจะต้องแบกรับความผิดไป
หลิ่วจือหว่านนับถือแผนการที่คิดมาเป็นอย่างดีทีละชั้นของผู้บงการเบื้องหลังคนนั้นจริงๆ เพราะอย่างไรเสียขี้ผึ้งเขียวนี่ก็เป็นสูตรลับเฉพาะของสกุลจาง ญาติผู้พี่จางซีเหวินเป็นคนกำกับการปรุงยาเพราะอยากสร้างคุณงามความชอบ แต่ความจริงแล้วผู้ที่จะทำให้คนตายก็คือหมอทหารแนวหน้าที่สั่งยาผิด หากมีการสืบสวนอย่างละเอียดจริงๆ นั่นก็เป็นเพราะหมอด้อยวิชาความรู้อย่างพวกเขาวินิจฉัยโรคผิด ทำให้ทหารกล้าจำนวนมากที่แนวหน้าต้องเสียชีวิต
ส่วนคนที่วางแผนวางยาพิษอย่างต่อเนื่องตัวจริงกลับสามารถเอาตัวรอดไปได้โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้
พอถึงตอนนั้นญาติผู้พี่ซึ่งรักษาคนอยู่ที่แนวหน้าก็มิอาจหนีความผิดได้ เพราะว่าขี้ผึ้งที่มีปัญหาเป็นสูตรลับเฉพาะของสกุลจาง แน่นอนว่าต้องให้คนที่ปรุงยามารับโทษทัณฑ์!
แผนการหลายชั้นเช่นนี้ไม่เพียงแต่เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการทหารมาจากแม่ทัพเฉินเสวียนเท่านั้น ทว่ายังต้องการจะเล่นงานครอบครัวของท่านลุงอีกด้วย และผู้บงการเบื้องหลังก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แม้เพียงสักนิด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ในใจหลิ่วจือหว่านก็เริ่มมีแผนการขึ้นมาบ้างแล้ว
นางรักษาหมอหลวงเจิ้งด้วยวิธีที่ใช้รักษาท่านลุงอีกครั้ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าวิธีรักษาด้วยน้ำของตนเองได้ผล นางก็ตัดสินใจออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังด่านเหยียนสุ่ยทันที
เพียงแต่รัชทายาทยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมให้สตรีอ่อนแอเปราะบางอย่างหลูอีเซี่ยนจู่เดินทางไปยังสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายพรรค์นั้น
ในตอนนั้นหลิ่วจือหว่านมิได้ส่งเสียงโต้ตอบ คล้ายกับว่าถูกรัชทายาทเกลี้ยกล่อมจนยอมฟัง แต่คิดไม่ถึงว่าวันถัดมาหลิ่วจือหว่านได้ไหว้วานให้คนนำข่าวไปแจ้งแก่รัชทายาทว่านางได้ออกเดินทางอย่างลับๆ แล้ว ตรงไปยังด่านเหยียนสุ่ยโดยมีนายท่านรองสกุลเฉินคุ้มกันไปส่ง
รัชทายาทรู้ว่าเมื่อครั้งนั้นนางหนูสกุลหลิ่วผู้นี้เคยมุ่งหน้าไปยังอำเภอก้งเซี่ยนอย่างลับๆ ให้ความช่วยเหลือเฉิงเทียนฟู่ริบอำนาจบ่อเกลือกลับคืนมาได้
สตรีที่มีความกล้าหาญและมีสติปัญญาผู้นี้หาใช่คุณหนูที่ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอไม่
ไม่ว่านางจะทำอะไรล้วนเด็ดขาดฉับไวทั้งสิ้น ไม่มีชักช้าร่ำไร ทั้งยังไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น รัชทายาทรู้ดีแก่ใจว่าตนเองก็ห้ามนางไม่ได้เช่นกัน ทำได้แค่ปกปิดเรื่องที่หลิ่วจือหว่านเดินทางออกจากเมืองหลวงไปแล้วเอาไว้อย่างสุดความสามารถเท่านั้น
ขอแค่ทำให้คนเชื่อว่านางยังอยู่ในเมืองหลวง เช่นนั้นตลอดการเดินทางของนางก็จะปลอดภัยมากขึ้น
แต่เรื่องสำคัญอันดับแรกของรัชทายาทในตอนนี้ก็คือรวบรวมสมุนไพรใหม่อีกครั้ง จะได้นำไปสับเปลี่ยนกับยาของด่านเหยียนสุ่ยที่ปนเปื้อนเหล่านั้น และไม่รู้ว่าผู้บงการเบื้องหลังจะทำอันใดกับสมุนไพรอีกหรือไม่ ดังนั้นสมุนไพรที่มาจากร้านยาของหมอหลวงเจิ้งจึงมิอาจใช้ได้อีก
เมื่อนึกถึงตรงนี้รัชทายาทก็ก้มดูรายการที่หลิ่วจือหว่านสั่งให้คนนำมาส่งให้…ในนี้ล้วนแต่เป็นรายชื่อร้านยาขายส่งสมุนไพรชนิดต่างๆ รวมไปถึงสมุนไพรที่ไม่ตรงตามฤดูกาลสามารถใช้สมุนไพรราคาถูกชนิดใดแทนได้บ้าง
นางดูแลร้านยามานานหลายปีย่อมรู้จักช่องทางซื้อสมุนไพรชนิดต่างๆ เป็นอย่างดี
หลูอีเซี่ยนจู่คงจะเร่งเขียนรายการเหล่านี้ตลอดทั้งคืน ทุกด้านล้วนพิจารณาไตร่ตรองแทนรัชทายาทอย่างรอบคอบ ยกตัวอย่างเช่นสามารถรับซื้อสมุนไพรในนามร้านยาจากหยางโจว นอกเหนือจากนั้นสมุนไพรชนิดเดียวกันให้กระจายซื้อจากต่างเมือง เพื่อมิให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้คนวางอุบายกับสมุนไพรได้อีก
เหล่าที่ปรึกษาส่งรายการฉบับนี้ให้คนอื่นดูต่อ ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เด็กสาวอายุยังน้อยอย่างนางเชื่อใจได้หรือ รัชทายาทต้องทรงตรึกตรองให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
แต่รัชทายาทกลับเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เด็กสาวอายุน้อยผู้นี้เองที่ช่วยให้ทรัพย์สินของเทียนฟู่เพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามปี หากพูดถึงกลอุบายในการปกครองบ้านเมืองนางอาจเทียบชั้นทุกคนในที่นี้ไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงการคัดเลือกสมุนไพรกักตุนสินค้า ทุกท่านรวมกันก็ยังสู้แม่นางน้อยผู้ฉลาดเป็นกรดคนนี้ไม่ได้!”
ยามนี้เขาดูออกแล้วว่าคนที่ฉลาดล้ำเลิศที่สุดก็คือเฉิงเทียนฟู่ ถ้าพูดถึงการเลือกภรรยาแล้วสายตาของอีกฝ่ายเฉียบคมมากจริงๆ! มิน่าเล่า ต่อให้ต้องเป็นเขยแต่งเข้า เฉิงเทียนฟู่ก็ต้องคว้านางหนูสกุลหลิ่วเอาไว้ให้ได้!
ภรรยาที่แสนประเสริฐผู้นี้ต่อให้มีทองพันชั่งก็แลกไม่ได้! ขอให้นางแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดการเดินทาง ไปถึงด่านเหยียนสุ่ยอย่างราบรื่นด้วยเถิด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.ย. 67