ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก
ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 1-2
หลานสาวของเขามาขอพึ่งพาเขาเมื่อสามเดือนก่อน นางไร้มารดาตั้งแต่เด็ก มีน้องชายร่วมอุทรของเขาเลี้ยงดูมาจนโต ตั้งแต่เด็กก็ชอบแต่งกายเป็นบุรุษเข้าออกค่ายทหาร สายตาที่นางมองสิ่งต่างๆ แตกต่างจากคุณหนูในห้องหอทั่วไป เวลาช่วยเขาดูแลเรื่องในบ้านก็ใส่ใจกว่าบุตรชายบุตรสาวคู่นั้นของตนเองมาก
“วันนี้อากาศไม่เลว เฟยเยี่ยนอยู่ในบ้านจนอึดอัดแล้ว มิสู้ตามท่านลุงไปด้วย จะได้พักผ่อนหย่อนใจไปในตัวเจ้าค่ะ” อวี้ฉือเฟยเยี่ยนนึกถึงว่าครั้งก่อนท่านลุงไปโรงรับจำนำ กำไลหยกดีๆ คู่หนึ่งกลับได้เงินมาเพียงสองตำลึงเท่านั้นก็ถอนหายใจเบาๆ คิดต่อว่าการจำนำทรัพย์สมบัติครอบครัวเช่นนี้ไม่ใช่แผนการระยะยาว ถ้าหากจะวางแผนให้เหมาะสม ควรออกจากเมืองหลวงไปเปิดร้านค้าเล็กๆ แถบชานเมือง อย่างน้อยก็ดีกว่ากินสมบัติเก่าจนหมดอยู่ในเมืองหลวง แต่ว่าตนเองเพิ่งมาอยู่ที่นี่ จะอย่างไรก็ไม่สะดวกเอ่ยปากละลาบละล้วง ตอนนี้ได้แต่ช่วยจับตาดูท่านลุงไม่ให้ถูกพ่อค้าคดโกงของโรงรับจำนำหลอกลวงอีก
อวี้ฉือรุ่ยได้ยินว่าหลานสาวจะตามไปด้วยก็ผงกศีรษะ ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นชนชั้นสูงแล้ว ปราศจากข้อจำกัดในตระกูลสูงศักดิ์พวกนั้นไปด้วยเช่นกัน บุตรชายบุตรสาวของครอบครัวธรรมดาจะออกไปเดินบนท้องถนนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งยังคิดว่าหากจำนำของได้ราคาดี จะได้เข้าเหลาสุราไปซื้ออาหารเลิศรสหลายๆ อย่างใส่กล่องอาหาร แล้วก็ซื้อผ้าผืนใหม่มาตัดชุดให้กับพวกเด็กๆ ด้วยเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเรียกบุตรชายของตนเอง อวี้ฉือจิ้งเสียนที่อายุสิบเจ็ดปี รวมถึงอวี้ฉือจิ้งโหรว บุตรสาวอายุสิบสี่ปี ทั้งสี่คนออกจากบ้านไปด้วยกัน เหลือทิ้งไว้แค่สาวใช้ยวนยางซึ่งอวี้ฉือเฟยเยี่ยนพามาด้วยในตอนที่เดินทางมาขอพึ่งพาอาศัยอยู่ที่นี่ให้อยู่ดูแลบ้าน
เมื่อคิดว่าประเดี๋ยวจะได้ตัดชุดใหม่ บนใบหน้าของเด็กสาวเผยความดีใจอย่างช่วยไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปจำนำสมบัติล้วนมีความสุขดุจฉลองปีใหม่ อวี้ฉือจิ้งโหรวคล้องแขนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนญาติผู้พี่ ดวงตาทอประกายเล่าถึงผ้าลายดอกอิงฮวา ที่คุณหนูร้านข้าวสารบ้านข้างๆ สวมใส่ให้เห็นในตรอกเมื่อหลายวันก่อน
เทียบกันแล้วคุณชายของสกุลอวี้ฉือค่อนข้างเงียบขรึมกว่า หัวคิ้วขมวดแน่นขณะกลืนน้ำลายอย่างแรง ลังเลว่าประเดี๋ยวจะสั่งหัวสิงโตราดน้ำแดง หรือสั่งปลากะพงนึ่งตัวหนึ่งจะเหมาะสมกว่ากัน
ขณะที่พวกเขาทั้งครอบครัวกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของเมือง บนถนนที่เงียบเหงาก็มีเสียงกีบเท้าม้าดังอึกทึกขึ้นมากะทันหัน ประหนึ่งมีคนกำลังควบม้าห้อตะบึงมาทางนี้ เวลานี้ตรงกับช่วงเช้าตรู่ แม้ว่าบรรดาร้านค้าจะทยอยกันเปิดร้าน ตั้งร้านแล้ว แต่คนเดินถนนมีอยู่ไม่มาก ดังนั้นม้างามเหล่านั้นจึงวิ่งห้อตะบึงมากันอย่างสบายใจ
อวี้ฉือรุ่ยต่างจากน้องชาย เขาไม่ได้เก่งวรยุทธ์ ไม่มีฝีมือด้านขี่ม้ายิงธนู รวมกับสมัยที่ทัพต้าฉีบุกเข้าเมืองหลวง เขาถูกภาพเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกของกองทัพทำให้ตกใจจนกลายเป็นปมในใจ บัดนี้เห็นม้าศึกเกราะทองวิ่งตรงเข้าหาก็ตกใจจนมือสั่น ถือแจกันดอกไม้ที่ห่อด้วยผ้ากำมะหยี่หนาใบนั้นเอาไว้ไม่อยู่ ร่วงตกลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นทันใด
อวี้ฉือรุ่ยตกใจดวงตาเบิกกว้าง ก้มตัวลงตั้งใจจะไล่ตามเก็บแจกันใบนั้นที่ยังกลิ้งอยู่บนพื้น อวี้ฉือเฟยเยี่ยนมือไวตาไว เอื้อมไปคว้าตัวท่านลุงที่ไม่รักชีวิตเอาไว้ได้ทัน หลบม้าที่วิ่งเร็วรี่มาได้อย่างฉิวเฉียด
เพล้ง! สิ้นเสียงนั้นใต้กีบเท้าม้าเหล็กก็เหยียบย่ำค่าใช้จ่ายในเรือนสกุลอวี้ฉือของเดือนหน้าจนแตกละเอียด ท่านโหวเฒ่ากับบุตรชายบุตรสาวร้องโอ๊ยออกมาด้วยความปวดใจพร้อมๆ กัน ในใจสบถด่าผู้ที่ควบม้าไปถึงบรรพบุรุษสามชั่วโคตรแล้วเรียบร้อย
แต่เมื่ออวี้ฉือรุ่ยเหลือบสายตาขึ้นมองไป กลับตกอกตกใจจนคำขัดเคืองเต็มอกกระเจิดกระเจิงไม่มีเหลือ
นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นม้ารูปงามตัวที่เหยียบแจกันดอกไม้แตกย้อนกลับมา ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าเป็นบุรุษหล่อเหลาสวมชุดเกราะเงิน รูปร่างสูงใหญ่ ต่อให้นั่งอยู่บนหลังม้าก็ยังมองเห็นสันจมูกโด่งกับโหนกคิ้วสูงที่งดงามมาก ทว่าแฝงกลิ่นอายของชนต่างเผ่าชัดเจน โดยเฉพาะดวงตาเย็นชาคู่นั้นเป็นความเย็นชาที่ผ่านการอาบย้อมด้วยทะเลเลือดจากสนามรบ เวลานี้บุรุษผู้นั้นกำลังหรี่ตาเข้มทะมึนมองตรงมาที่พวกเขา…ไม่สิ พูดให้ชัดกว่านั้นคือจับจ้องอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่งอยู่
อวี้ฉือรุ่ยยังจำได้ว่าตอนที่ทัพต้าฉีเพิ่งเข้าเมือง ตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งไม่ทันหลบหนีออกจากเมืองหลวงต่างถูกทหารจับตัวไปรวมกันที่หน้าประตูเซวียนอู่ ไล่ขานชื่อสกุลทีละตระกูล ขอแค่เคยเป็นผู้ออกหน้าต่อต้านทัพต้าฉี ล้วนถูกลากตัวไปเบื้องหน้าบุตรชายคนโตของฮ่องเต้ราชวงศ์ฉี…รัชทายาทแห่งราชวงศ์ใหม่ฮั่วตงเหลยที่อายุยี่สิบสามปีผู้นั้น ให้ถูกดาบง้างฟันลงมาสะบั้นศีรษะ เวลานั้นกลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง เลือดของผู้สูงศักดิ์ในวันวานปลุกเสียงร้องโหยหวนของอีกาให้ดังระงมทั่วผืนฟ้า บินพึ่บพั่บปิดบังดวงอาทิตย์ ดุจเมฆครึ้มเคลื่อนตัวมาปกคลุม…
เมื่อมาถึงคราวของสกุลอวี้ฉือ เนื่องจากน้องชายอวี้ฉือเต๋อเป็นแม่ทัพต่อต้านทัพต้าฉีที่มีชื่อเสียง เวลานั้นอวี้ฉือรุ่ยตระหนักดีว่าตนเองยากจะหนีรอด ตอนที่ถูกลากตัวไปข้างหน้านั้นตกใจจนตัวสั่นระริก ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ น้องชาย พี่กำลังจะตามเจ้าไปแล้ว!
รัชทายาทผู้นั้นถลึงตาใส่อวี้ฉือรุ่ยดังคาด คร้านกระทั่งจะพูดสักคำ เพียงแค่ยกมือขึ้น แสดงเจตนาให้เพชฌฆาตลากตัวพวกเขาไปสะบั้นศีรษะให้จบเรื่องจบราว นึกไม่ถึงว่าองค์ชายรองแห่งต้าฉีที่นั่งเงียบๆ ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดจะเอ่ยปากห้ามเพชฌฆาตกะทันหัน จากนั้นไม่รู้ว่าพูดอะไรกับพี่ชายตนเอง สุดท้ายสกุลอวี้ฉือของเขาก็เอาตัวรอดมาได้ มิหนำซ้ำยังได้รับคำอนุญาตพิเศษให้พกหีบสมบัติสามใบติดตัวไปด้วย จากนั้นก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเก่า
ดังนั้นพูดไปแล้วองค์ชายรองผู้นี้กลับกลายมาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตสกุลอวี้ฉือของเขา เวลานี้ ‘ผู้มีพระคุณ’ กลับอยู่ไม่ไกล เป็นบุรุษหล่อเหลาที่นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าตรงหน้านี้เอง…ผู้บัญชาการสามกองทัพแห่งต้าฉี ช่วยเหลือบิดากำราบศัตรูทั้งสี่ทิศ ขุนนางผู้มีความดีความชอบอันดับหนึ่งในการรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น…เซียวอ๋องฮั่วจวินถิง
หลังจากมองเห็นหน้าผู้ที่มาชัดเจน อวี้ฉือรุ่ยไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก ท่ามกลางความลังเลเขารีบดึงตัวบุตรชายบุตรสาวตนเองมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าม้า เอ่ยเสียงเบาอย่างขลาดกลัว “ผู้น้อยอวี้ฉือรุ่ยถวายบังคมเซียวอ๋อง…”
ส่วนอวี้ฉือเฟยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างเห็นท่านลุงคุกเข่าลงจึงคุกเข่าตามด้านหลังเงียบๆ ตัวหมอบกราบแนบบนพื้นหิน ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย กดศีรษะลงต่ำที่สุดอย่างนอบน้อม…