ถึงแม้ชีวิตในทุกวันนี้จะค่อนข้างยากจน แต่ชวนให้สบายใจ เหตุการณ์ในอดีตต่างๆ ล้วนผ่านไปนานแล้ว บิดาเป็นสาเหตุที่ทำให้นางชอบอ่านตำราพิชัยยุทธ์ เข้าออกค่ายทหารตั้งแต่เด็ก ชอบใช้กระบะทรายของบิดามาจัดกระบวนทัพ ภายหลังบิดายังสั่งทำหุ่นทหารดินเหนียวชุดหนึ่งมาให้นางเล่นเป็นพิเศษด้วย ทุกครั้งที่นางอาศัยภูมิประเทศของกระบะทรายจัดทัพเอาชนะสหายได้อย่างฉลาดเฉลียวก็มักจะได้รับเสียงหัวเราะเบาๆ ด้วยความชื่นชมจากบิดาด้วย
แต่เมื่อนางเติบโตขึ้น แตกฉานกลยุทธ์ลึกซึ้งกว่าเดิม กระทั่งตอนอายุสิบสองปี หลังจากนางบัญชาการกองทัพที่คุ้มกันนางอาศัยร่องน้ำสันเขา เอาชนะหน่วยสอดแนมของทัพกบฏที่บังเอิญเจอเข้าระหว่างทางได้ บิดากลับกลายเป็นเข้มงวดกับนางผิดปกติ ไม่เพียงไม่ชื่นชมนาง ซ้ำยังเล่าเรื่องราวของจ้าวคั่วบุตรชายของแม่ทัพจ้าวเซอสมัยยุคชุนชิวให้นางฟังอย่างจริงจัง สมัยนั้นนางนิสัยยังเด็ก เถียงบิดาว่า ‘ท่านพ่อรู้สึกว่าลูกเป็นเหมือนกับจ้าวคั่วที่รู้จักแต่วางแผนบนกระดาษ* หรือเจ้าคะ หรือรู้สึกว่าในฐานะสตรีไม่ควรสร้างผลงานเหมือนกับบุรุษ’
บิดาส่ายหน้าเอ่ย ‘เยี่ยนเอ๋อร์ของพ่อเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ เทียบกับบุรุษมากกว่าครึ่งในใต้หล้าได้ พ่อจะดูถูกเจ้าได้อย่างไร แต่คนทั้งใต้หล้าล้วนเชื่อในประโยค ‘ราชสำนักยังชื่นชมกลยุทธ์บนกระดาษ’ ที่หลิวหรูซุนเขียน โดยไม่ได้คิดถึงสถานการณ์จริงในเวลานั้นของจ้าวคั่วที่สกุลจ้าวอ่อนแอ แต่สกุลฉินแข็งแกร่ง จ้าวคั่วอาศัยสติปัญญาวางแผนทำลายกำลังของทัพฉินได้มากกว่าครึ่ง ทำลายความแข็งแกร่งของไป๋ฉี่ที่เป็นแม่ทัพของทัพฉินได้อย่างมาก หลังจากศึกฉางผิงสิ้นสุดลง ถึงแม้จ้าวคั่วจะถูกธนูยิงตาย ทว่ากลับรักษากำลังหลักของทัพจ้าวเอาไว้ได้สี่สิบหมื่นกว่านาย ผู้บัญชาการเช่นนี้หากมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันจะยังมีผู้ใดกล้าพูดว่าเขาทำให้บิดาเสียชื่อเสียง น่าเสียดายที่หลังจากเขาตาย ทหารสี่สิบหมื่นกว่านายกลับยอมศิโรราบให้ไป๋ฉี่ แต่ไป๋ฉี่ผู้นั้นหงุดหงิดที่ก่อนหน้านี้จ้าวคั่วสังหารทหารตนเองไปมากกว่าครึ่ง จึงเข่นฆ่าทหารแคว้นจ้าวจำนวนสี่สิบหมื่นกว่านายที่ยอมแพ้นี้อย่างอำมหิต…’
เวลานั้นนางฟังคำพูดของบิดาแล้วเกิดความเห็นอีกด้านต่อเรื่องราวของจ้าวคั่วผู้ถูกเสียดสีว่าไร้ความสามารถซึ่งได้ยินจนชินหูมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาถึงเล่าเรื่องนี้ จึงถามว่า ‘ในเมื่อจ้าวคั่วมีความสามารถมากพอจะเป็นแม่ทัพ เหตุใดก่อนบิดาเขาเสียชีวิตจึงกำชับกับภรรยาซ้ำๆ ไม่ให้จ้าวคั่วนำทัพเล่าเจ้าคะ’
บิดาลูบศีรษะนาง ถอนหายใจเอ่ย ‘เมื่อก่อนพ่อก็ไม่เข้าใจ แต่บัดนี้ได้เป็นพ่อคนถึงเข้าใจความรักของพ่อที่มีต่อลูก เยี่ยนเอ๋อร์ของพ่อ เจ้าจะต้องจำไว้ว่าการเข่นฆ่าสังหารในสนามรบไม่เคยเรียบง่ายแค่สงครามของสองฝ่าย นั่นคือกำลังของแคว้น กระทั่งเป็นการเข่นฆ่าของโชคชะตา คิดดูแล้วแม่ทัพจ้าวเซอผู้นั้นมองออกถึงความถดถอยของแคว้นจ้าว ก่อนเสียชีวิตจึงทนเห็นบุตรชายตนเองไปตายเปล่าไม่ได้จริงๆ’
บิดาเล่าเรื่องราวนั้นจบแล้วไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้อีก แค่สั่งห้ามไม่ให้นางแตะต้องหุ่นทหารดินเหนียวกับกระบะทรายอีก ทั้งยังเชิญอาจารย์สอนพิณกับหญิงเย็บปักมาให้นางเรียนรู้การดีดพิณ เล่นหมากล้อม และฝึกปรือฝีมืองานเย็บปักถักร้อยที่คุณหนูในห้องหอควรมีให้มาก
เวลานั้นเพราะเรื่องนี้นางยังเคยทะเลาะกับบิดาใหญ่โตอีกด้วย…ช่างไม่รู้ความเกินไปแล้วจริงๆ!
อันที่จริงเจตนาที่แท้จริงของเรื่องเล่านั้นนางเองก็เพิ่งกระจ่างแจ้งหลังจากบิดาตายไปนานแล้ว บิดาไม่ได้เหน็บแนมว่านางรู้จักแค่การวางแผนบนกระดาษ แต่เพราะมองออกว่าชะตาของต้าเหลียงได้มาถึงจุดสิ้นสุดเหมือนกับแคว้นจ้าวแล้ว แต่เขาในฐานะแม่ทัพแห่งต้าเหลียงจะเอื้อนเอ่ยบอกว่า ‘ต้าเหลียงจะตกต่ำ’ ออกมาตรงๆ ได้อย่างไร จึงยืมเรื่องเล่ามาบอกถึงความคิดนี้ให้ฟังโดยอ้อม ถึงแม้เขาจะอ่านสถานการณ์ขาด แต่ด้วยภาระหน้าที่ ต่อให้ต้องสละชีพบนสนามรบก็ไม่มีทางหนีทัพกลางคัน ซึ่งเขาไม่เคยคิดอยากให้บุตรสาวตนเองสละชีพบนสนามรบเฉกเช่นเดียวกับตนเอง
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย้อนนึกมาถึงตรงนี้กระบอกตาก็ร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงบนงานปัก…
เดิมหลงนึกว่าเหตุการณ์ที่บังเอิญได้พบองค์ชายรองจะผ่านไปทั้งอย่างนี้ แต่เรื่องที่ทำให้อวี้ฉือรุ่ยคาดไม่ถึงคือวันรุ่งขึ้นหัวหน้าขันทีของจวนเซียวอ๋องมาขอตัวคนถึงจวนกะทันหัน เอ่ยเสียงแหลมใส่อวี้ฉือรุ่ยว่า “เซียวอ๋องทรงชื่นชอบแจกันที่แตกแล้วใบนั้นอย่างมาก อยากขอเชิญคุณหนูเฟยเยี่ยนสกุลอวี้ฉือแวะไปที่จวนอ๋อง อาศัยฝีมือชั้นเลิศของนางซ่อมแซมแจกันใบนั้น”
อวี้ฉือรุ่ยได้ยินแล้วถึงกับเบื้อใบ้ นี่เป็นข้ออ้างแบบใดกัน คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งอยู่ดีๆ จะถูกพาเข้าจวนอ๋องตามลำพังได้อย่างไร
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ม.ค. 68