ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก
ทดลองอ่าน ซ่อนแผนร้ายชิงบัลลังก์รัก บทที่ 5-6
โรงน้ำชาช่วงเช้าเงียบเหงาไร้ผู้คน แต่หลงเจินยังคงเลือกนั่งในห้องส่วนตัวอันเงียบสงบที่อยู่ด้านในสุดกับอวี้ฉือเฟยเยี่ยนตามลำพัง
หลังจากไล่สาวใช้ที่ตนเองพามาด้วยออกไป หลงเจินยังไม่ทันพูดอะไรก็หลั่งน้ำตาลงมาสองสายก่อนแล้ว
ที่แท้ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนหลบหนีออกจากวังหลวง ได้ข่าวว่าพลาดท่าตกหน้าผา เสด็จสวรรคตโดยไร้พระศพ สถานการณ์ในเมืองหลวงจึงเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา รากฐานเก่าแก่นับร้อยปีของต้าเหลียงล้มลงในวันเดียว ท่านอ๋อง ท่านโหว แม่ทัพ เสนาบดีทุกคนในต้าเหลียงพลันกลายเป็นหมอกควันไป
ติ้งกั๋วโหวได้ยินข่าวสวรรคตของฮ่องเต้พระองค์ก่อนแล้วก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เดิมทีนางจะติดตามมารดาออกจากเมืองหลวง จนใจที่รถม้าเพิ่งออกจากประตูเมืองก็เจอกับกองทัพของแม่ทัพอารมณ์ร้อนโต้วหย่งซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวอ๋อง รถม้านางถูกขวางทางไป จากนั้นนางที่ขดร่างตัวสั่นงันงกอยู่ในอ้อมกอดมารดาก็ถูกกระชากตัวลงจากรถม้าอย่างหยาบคาย ด้วยรูปโฉมที่อ่อนหวานของนางจึงถูกโต้วหย่งผู้นั้นต้องตาเข้า ถูกอุ้มพาตัวขึ้นหลังม้ากลับเข้าเมืองหลวง ในคืนเดียวกันนั้นก็ถูกลากเข้าไปในม่านมุ้งย่ำยีจนไม่เหลือสภาพ โชคดีที่โต้วหย่งได้คุณหนูตระกูลโหวแล้วรู้สึกแปลกใหม่ หลังจากเล่นสนุกจนสาแก่ใจก็สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งตัวมารดานางกลับบ้านเดิมที่เจียงหนาน รั้งแค่นางให้เป็นอนุของจวนแม่ทัพ
“ข้าเองก็อยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายเลียนแบบสตรีมากคุณธรรม แต่พอนึกถึงมารดาแล้วตัดใจจากไปไม่ลง สุดท้าย…ข้าก็ยังสู้บิดาไม่ได้ ไม่อาจยกคุณธรรมสูงส่งแล้วจากไปโดยไม่สนใจพวกเราสองแม่ลูกได้…” ครั้นนึกถึงความทรมานที่ทนผ่านมาในจวนแม่ทัพหลายปีนี้ น้ำตาของหลงเจินก็ไหลไม่หยุด เดิมทีโต้วหย่งผู้นั้นเป็นคนขายเนื้อคนหนึ่งในซินเหยี่ย หลังจากฮั่วอวิ่นก่อกบฏ เขาเองก็จับมีดเชือดสัตว์สองเล่มเข้าร่วมกองทัพด้วย เพราะเขารบได้อย่างห้าวหาญจึงกลายมาเป็นแม่ทัพคนโปรดของฮั่วจวินถิง ทว่าภรรยาเอกของเขาเดิมก็เป็นสตรีบ้านนอกคนหนึ่ง นิสัยหยาบคายไร้มารยาท เวลากินข้าวแคะฟัน เวลาชมงิ้วก็สะบัดรองเท้าปักลายหลุด ยกเท้าขึ้นมาเกาแกรกๆ สตรีนางนี้เป็นคนที่มารดาของโต้วหย่งสู่ขอมาให้เขาโดยเฉพาะ โต้วหย่งเองก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไร แต่ติดที่ตอนเขาเข้าร่วมกองทัพนางคอยดูแลรวมถึงจัดงานศพให้กับมารดา ด้วยความรู้สึกขอบคุณจึงไม่อาจหย่าอีกฝ่าย ทว่าเตียงของภรรยาเอกนับได้ว่าเย็นยะเยือกอ้างว้างมาตลอด
เมื่อเป็นเช่นนี้ยามที่นางเห็นสภาพคุณหนูสูงศักดิ์ของหลงเจินก็ให้อิจฉาริษยา วันๆ เอาแต่ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอก บ้างก็ว่านางสำส่อน
หลงเจินใช้ชีวิตเป็นคุณหนูตระกูลโหวมาสิบหกปี เคยพบเจอสตรีฝีปากจัดจ้านไร้เหตุผลระดับล้างดินโคลนออกจากขาไม่สะอาดเช่นนี้เสียที่ใด จึงอัดอั้นตันใจ รู้สึกว่าแม่ทัพโต้วกับสตรีนางนี้เป็นหม้อรั่วกับฝาขึ้นสนิม ถือเป็นคู่สร้างคู่สมกัน ส่วนตนเองเมื่อชาติก่อนสั่งสมบุญบารมีไม่มากพอ ชาตินี้มารับโทษตกอยู่ในขุมนรกทั้งเป็น
ยังดีที่แม้โต้วหย่งจะเป็นคนนิสัยป่าเถื่อน แต่พอเห็นสภาพนางร่างกายทรุดโทรมลงทุกวัน สุดท้ายยังคงเกิดจิตใจรักหยกถนอมบุปผาขึ้นมาบ้าง จัดเตรียมเรือนแยกไว้นอกจวนแม่ทัพ ให้นางย้ายออกไปพักอยู่อาศัย หลงเจินถึงได้พอหายใจหายคอบ้าง
หลงเจินเล่าเหตุการณ์ที่ตนเองพบเจอมาจนจบก็ถามเรื่องของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนต่อ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนยิ้มน้อยๆ เอ่ย “หลังจากท่านพ่อจากไป ข้าก็อาศัยอยู่ที่บ้านนอก ไม่นานมานี้เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาตามหาท่านลุงของข้าเจ้าค่ะ วันนี้เอาพวกงานปักไปขายในร้านเย็บปัก บังเอิญได้มาเจอกับท่านเข้าพอดี”
เดิมทีหลงเจินรู้สึกสงสารเวทนาสิ่งที่ตนเองพบเจอ กระทั่งตอนนี้ได้เห็นการแต่งกายของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน ถึงแม้นางจะอายุสิบแปดปี อยู่ในช่วงวัยสาวสะพรั่ง ทว่ากลับสวมอาภรณ์แบบเก่าๆ บนเรือนผมดกดำไม่มีเครื่องประดับทอประกายช่วยขับเน้นสักอันเดียว คาดว่าการแต่งงานในวันหน้าของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนคงยากจะสมดังใจปรารถนา…ที่แท้ข้ามีชีวิตลำบากเช่นนี้ เยี่ยนเอ๋อร์ก็ลำบากอีกแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน ชั่วเวลานี้นางจึงวางความกลัดกลุ้มใจของตนเองลง แล้วหันมากังวลใจถึงชีวิตภายหลังจากนี้ของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแทน
นึกถึงว่าตอนที่ตนเองออกมาจากจวน สาวใช้พกเงินมาไว้สำหรับซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ด้วย จึงสั่งให้สาวใช้หยิบถุงเงินออกมายื่นให้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนทั้งหมดทันที
ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่เคยรับเงินทองจากผู้อื่น ย่อมต้องรีบร้อนปฏิเสธทันควัน หลงเจินกลับถลึงตาใส่ “เวลาเช่นนี้ยังทำตัวสูงส่งไม่แตะต้องเงินทองพวกนี้อีกหรือ ความสูงส่งช่วยหุงข้าวสารสุกได้หรือ”
อดีตคุณหนูตระกูลโหวผู้นี้ท้ายที่สุดแม้ผ่านการขัดเกลาจากจวนแม่ทัพมาหลายปี แต่ก็ยังติดนิสัยปากร้ายหยาบคายจากฮูหยินใหญ่ผู้นั้นมาอยู่บ้าง นางยัดถุงเงินเข้าไปในอ้อมอกของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนย่อมต้องเข้าใจเจตนาของหลงเจิน ถ้าหากนางยังปฏิเสธอีกจะดูยโสโอหังแทนแล้ว จึงยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นข้าก็ได้แต่รับน้ำใจจากท่านแล้ว”
ตอนที่ออกมาจากโรงน้ำชา หลงเจินมอบป้ายแผ่นหนึ่งให้กับอวี้ฉือเฟยเยี่ยน พร้อมบอกที่อยู่ของเรือนตนเองกับนาง “ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรก็บอกให้ท่านลุงเจ้าพกป้ายนี้มาหาข้า แต่เจ้าอย่ามาด้วยตนเองเป็นอันขาด หากถูกโต้วหย่งผู้นั้นพบเห็นเข้า บุรุษป่าเถื่อนเช่นนั้นสามารถทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามออกมาได้ทุกอย่าง”
หลังจากบอกลากับหลงเจิน อวี้ฉือเฟยเยี่ยนก็กลับบ้านพร้อมกับยวนยาง คนชุดครามสองคนนั้นตามอวี้ฉือเฟยเยี่ยนมาทั้งวัน พอถึงตอนเย็นก็มีหนึ่งคนแยกตัวกลับไปรายงานที่จวนอ๋อง
เซียวอ๋องฟังการเดินทางตลอดทั้งวันนี้ของอวี้ฉือเฟยเยี่ยนแล้วก็จิบชาในมือช้าๆ จากนั้นเอ่ยว่า “ไปที่ร้านนั้นแล้วซื้องานปักสามแบบที่นางปักด้วยตนเองกลับมา”
คนผู้นั้นได้ยินคำสั่งของเซียวอ๋องแล้วรับคำสั่งออกไป
เซียวอ๋องวางถ้วยชาลง ลุกเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องนอน สาวใช้เลิกม่านของห้องด้านในให้ ที่ข้างเตียงแขวนภาพวาดโฉมงามซึ่งฉีกขาดไม่สมประกอบภาพหนึ่งเอาไว้
เซียวอ๋องหยุดยืนชื่นชมตรงหน้าภาพวาด นัยน์ตาลึกล้ำตั้งใจมองคนในภาพ โฉมงามในภาพนี้กลับอยู่ในชุดบุรุษ เพียงแต่เรือนผมไม่ได้เกล้าเป็นมวยของบุรุษ กลับถักเป็นเปียยาวสีดำสนิทพาดไว้ตรงทรวงอก ในมือนางถือแผนที่นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ ทิวเขาห่างไกลและเมฆคล้อยต่างช่วยขับเน้นให้นางโดดเด่นงามจับตา นัยน์ตาหงส์ของสตรีผู้นั้นทอดมองไกลออกไป แววตาดุจเมฆที่เลื่อนลอย ดูท่าผู้ที่วาดภาพนี้คงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้ชมภาพ ว่าไม่อาจเข้าใจโฉมงามหมดจดในภาพวาดนี้
ต่อให้ภาพวาดนี้จะได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดีเพียงใดก็มิอาจพ้นถูกไฟแผดเผา เมื่อแรกที่เอาภาพออกมาจากกระถางเพลิง ส่วนขอบถูกเปลวเพลิงลามเลียไหม้เกรียม ต่อให้ภายหลังเซียวอ๋องจะหาช่างมาซ่อมแซมก็ยังคงไม่สมบูรณ์อยู่ดี
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องซ่อมแซมแล้ว เซียวอ๋องยกมือขึ้นปลดภาพวาดลงจากผนัง
ในเมื่อตัวคนมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าแล้ว หากคิดหนีไปจากกำมือข้าอีกก็ยากดุจขึ้นสวรรค์แล้ว!