บทที่ 6
ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะพูดอย่างมั่นใจต่อหน้าเถ้าแก่ร้านเชียนซิ่ว แต่ผลการขายของงานปักนี้จะเป็นเช่นไร ความจริงนางเองก็ไม่แน่ใจนัก ลวดลายประณีตที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ พวกนั้นก็เป็นแค่ลายที่นางจำมาตอนอยู่บนภูเขาไป๋ลู่ โดยเห็นจากพรมของพ่อค้าลักลอบขายสินค้าระหว่างซีอวี้ กับปอซือ หลังจากดัดแปลงรูปแบบและคู่สีเล็กน้อยก็นำลวดลายออกมาใช้งาน
วิธีนี้คล้ายการจับเสือมือเปล่าอยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้นางเคยตั้งใจเฝ้าสังเกตการแข่งขันระหว่างร้านเชียนซิ่วกับร้านวั่นชู่มาโดยตลอด แล้วอาศัยปมในใจของเถ้าแก่ร้านมาใช้หาผลประโยชน์ก็เท่านั้น
แต่คิดไม่ถึงว่าตอนบ่ายวันถัดมาเถ้าแก่ร้านจะมาขอซื้องานปักที่เหลือของนางด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังนัดหมายว่าอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ให้ส่งมอบลวดลายใหม่ให้เขาอีกชุดหนึ่ง อวี้ฉือเฟยเยี่ยนฉงนใจว่าเหตุใดจึงขายออกได้รวดเร็วเพียงนี้
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนไม่รู้ว่าเมื่อวานหลังจากแยกกับหลงเจิน อีกฝ่ายมีใจอยากช่วยสนับสนุนนาง จึงตัดใจจากร้านวั่นชู่ หันไปซื้อของที่ร้านเชียนซิ่วแทน หลังจากดูลวดลายแล้วก็จงใจขอลวดลายใหม่ๆ เมื่อเห็นเถ้าแก่หยิบออกมาแสดงสามแบบ บอกว่าเพิ่งรับมาเมื่อเช้านี้ก็รู้ว่าเป็นผลงานปักของอวี้ฉือเฟยเยี่ยน หลงเจินไม่ถามราคาก็สั่งลวดลายเช่นนี้ทีเดียวสิบชุดในคราวเดียว เถ้าแก่ร้านย่อมยินดีจนหน้าระรื่น รีบลอกลายส่งให้บรรดาหญิงเย็บปักที่โรงเย็บปักทันที
ไฉนเลยจะรู้ว่ามีเงินก้อนใหญ่กว่านี้รออยู่ในเวลาต่อมา ช่วงเย็นมีบุรุษมาระบุขอซื้องานปักสามลายที่เพิ่งส่งมาเมื่อเช้าวันนี้อีก เถ้าแก่ร้านดวงตากลอกไปรอบหนึ่ง อ้าปากเรียกราคายี่สิบตำลึง นึกไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นจะไม่ต่อรองราคาด้วยซ้ำ จ่ายเงินให้ในทันที
ผลลัพธ์หลังจากคำนวณรวมๆ แล้ว ผลกำไรของเถ้าแก่ร้านล้นเหลือ ย่อมต้องยินดีที่จะรับงานปักเพิ่มอีก
ถึงแม้อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจะสงสัย แต่ในเมื่อเถ้าแก่ร้านยอมรับซื้อ นางย่อมไม่มีทางปฏิเสธเช่นกัน จึงห่องานปักที่เหลือขายให้กับเถ้าแก่ร้านไปทั้งหมด
คราวนี้เงินที่ได้จากการขายงานปักรวมกับที่หลงเจินยัดเยียดให้นางก่อนหน้านี้ก็มีมากถึงยี่สิบตำลึง ทว่านางไม่ได้มอบเงินก้อนนี้ให้กับท่านลุง มิฉะนั้นเงินพวกนี้จะหมดลงในไม่กี่วันอีกครั้ง สถานการณ์ยามนี้นางไม่อาจออกจากเมืองหลวงในเวลาอันใกล้ ถึงอย่างไรก็ต้องอดทนต่ออีกสักระยะ รอจนเซียวอ๋องผู้นั้นหาเบาะแสอื่นใดของกองทัพกบฏจากนางไม่ได้แน่แล้ว อีกฝ่ายถึงจะยอมคลายที่คีบเหล็กของเขาออกให้
การขายงานปักเช่นนี้ไม่ใช่แผนการระยะยาวอะไร อวี้ฉือเฟยเยี่ยนเล็งร้านโจ๊กตรงหัวมุมถนนไว้ เดิมทีกิจการของร้านโจ๊กร้านนั้นไม่เลวเลย ถึงเป็นแค่กิจการเล็กๆ แต่ก็มากพอให้เลี้ยงดูคนในครอบครัวไม่กี่คนได้โดยไร้ปัญหา ทว่าท่านลุงโจวเจ้าของร้านโจ๊กล้มป่วยกะทันหัน ตายไปเมื่อเดือนก่อน ส่วนบุตรสาวคนเดียวของเขาก็แต่งงานแล้ว ร้านโจ๊กไม่มีคนดูแลจึงตั้งใจจะขายต่อ
ดังนั้นอวี้ฉือเฟยเยี่ยนจึงพายวนยางไปเจรจาราคากับบุตรสาวของท่านลุงโจว รับช่วงต่อร้านโจ๊กเล็กๆ แห่งนั้นมาด้วยเงินสิบตำลึง สามีของบุตรสาวท่านลุงโจวทำงานอยู่ที่จวนผู้ว่าการเมืองหลวง เนื่องจากตอนที่ซื้อร้านต่ออวี้ฉือเฟยเยี่ยนเสนอราคาไม่ต่ำ บุตรสาวของท่านลุงโจวจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนี้เมื่ออวี้ฉือเฟยเยี่ยนเปิดร้าน สามีของนางจะช่วยดูแลทางด้านนั้นให้มาก ไม่มีทางปล่อยให้มีเจ้าหน้าที่มารบกวนอย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว ทางท่านลุงกลับให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยอวี้ฉือเฟยเยี่ยนออกไปยืนขายโจ๊ก ถึงครอบครัวจะตกอับ ทว่าศักดิ์ศรีในชีวิตบั้นปลายของขุนนางสูงศักดิ์ยังคงอยู่ การจำนำทรัพย์สมบัติในบ้านถือว่าบรรพบุรุษช่วยปกปักรักษา แต่จะให้ตกต่ำถึงกับลดขั้นไปเป็นพ่อค้าแม่ค้านั้นไม่ได้เด็ดขาด! ไม่มีวัน! ไม่มีทาง!
ท่านลุงได้ยินข่าวเรื่องอวี้ฉือเฟยเยี่ยนซื้อต่อร้านโจ๊กจากปากของอวี้ฉือจิ้งโหรว เวลานั้นในบ้านยังมีแขกอีกหนึ่งคนคือใต้เท้าหลี่นามว่าหลี่ฉยง ขุนนางเก่าตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน เป็นสหายสนิทของท่านลุง เดิมทีเขาเป็นขุนนางตรวจสอบลำดับรองขั้นสี่ในกรมอากรของต้าเหลียง น่าเสียดายที่พอฮ่องเต้ผลัดเปลี่ยน ตำแหน่งขุนนางก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
อวี้ฉือเฟยเยี่ยนจดจำได้ว่าท่านลุงเคยพูดด้วยความภาคภูมิใจว่าใต้เท้าหลี่ยังคงรับราชการอย่างมั่นคง เป็นขุนนางในราชสำนัก อยากจะรบกวนเขาให้ช่วยหาคนหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉมให้กับนาง รอใต้เท้าหลี่ว่างมาหาท่านลุงร่วมดื่มสุรากันในลานเรือน ฟังพวกเขาสนทนาเรื่อยเปื่อยกันแล้วถึงได้เข้าใจ ในเวลานี้ใต้เท้าหลี่ไม่ได้ทำงานในกรมอากรแล้ว แต่มารับตำแหน่งขุนนางอยู่ที่ประตูเมืองตะวันตกแทน…เปิดเช้าปิดเย็น หน้าที่การงานไม่มีอะไร มั่นคงมากจริงๆ!