2
“ดิโอส มิโอ! ฉันน่าจะอยู่กับเธอตอนนั้น แม่จะด่ากลับจนยายป่อยอะไรนั่นหน้าหงายไปเลย!”
เสียงทุ้มต่ำติดสำเนียงละตินรัวผ่านโทรศัพท์เรียกรอยยิ้มขบขันให้มาลารินจนเผลอหัวเราะคิก ความขุ่นข้องเมื่อครู่ถูกพัดหายไปตามถ้อยคำเป็นห่วงที่ไม่มีประโยคใดอ่อนหวานนั่น หญิงสาวค่อยๆ พิงกำแพงชื้นแฉะของซอกตึกเมืองใหญ่อย่างผ่อนคลาย เอียงคอฟังจังหวะดนตรีที่กำลังเหวี่ยงหมุนโลกอีกฝั่งด้านในอาคารอย่างบ้าคลั่งพลางอธิบายตอบ
“เค้าชื่อพลอยย่ะ ไม่ใช่ป่อย”
“โอ๊ย เรียกยาก ไม่สนใจ” ปลายสายพ่นคำบ่นรัวเร็วดังเดิม “แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน มานอนห้องฉันก่อนสิ”
เพียงเท่านั้นคนฟังก็ยิ้มกว้างอย่างปลอดโปร่งราวยกภูเขาออกจากอกทันที
“ขอบใจนะฮวน ที่จริงก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นแหละ ตอนนี้เลยรอตรงซอกตึกข้างคลับ”
“แสนรู้ เข้ามารอห้องสตาฟฟ์สิ อีกสักพักนู่นกว่าฉันจะเลิกงาน”
“ไม่เป็นไร เสื้อผ้าฉันไม่ค่อยเหมาะกับร้านเท่าไหร่ เดี๋ยวเดินเตร่รอข้างนอกนี่แหละ” มาลารินอธิบายง่ายๆ ก่อนวางสาย อย่างน้อยวันนี้เธอก็มีที่ไปแล้ว ซ้ำยังเป็นที่ที่ชวนสบายใจอย่างยิ่ง
ฮวนเป็นโคลอมเบียนร่างใหญ่หัวใจนางพญาผู้ทำงานร่ายมนตร์ผสมน้ำเมาด้วยลีลาราวเริงระบำประจำคลับหรูชื่อสไปรซ์ มาร์เก็ต ขณะเดียวกันเวลากลางวันก็ยังเป็นเพื่อนร่วมชั้นระดับหัวกะทิของมาลารินในมหาวิทยาลัยด้วย เธอถูกชะตากับอีกฝ่ายตั้งแต่แรกพบ คุยถูกคอในสิ่งสนใจเดียวกัน สนิทสนมโดยไร้เรื่องบาดหมางเรื่อยมา กล่าวได้ว่าคนสองคนเดินทางจากอีกฟากฝั่งของโลกมาพานพบ เพื่อคอยช่วยเหลือกันและกันท่ามกลางดินแดนแปลกหน้าเป็นเวลาเกือบจะสองปีแล้ว
หญิงสาวขจัดความรู้สึกมืดครึ้มอันคอยก่อกวนอารมณ์มาตลอดคืนเงียบๆ ขณะนั่งลงหลบสายลมอวลกลิ่นฝนอยู่หลังถังขยะขนาดใหญ่ ซึ่งใหญ่พอที่จะบังได้จนหมดจด เธอเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าพลางชั่งใจไปพลางว่าจะไปรอเพื่อนสนิทตรงเก้าอี้สาธารณะหรือในร้านราเม็งยี่สิบสี่ชั่วโมงดี
ก่อนได้ให้สะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งจะบังเอิญดังขึ้นจากบริเวณใกล้กัน
“คุณอาไม่ต้องแก้ตัวแทนหรอกครับ ผมรู้ว่าพ่อแค่อยากควบคุมชีวิตผม”
เพราะประโยคที่เอ่ยเป็นภาษาไทย มาลารินจึงลอบโผล่หน้าออกไปมองด้วยความอยากรู้อันไม่อาจห้าม ก่อนจะต้องรีบกระถดตัวเองกลับมาซ่อนในมุมเงาของถังขยะมากกว่าเดิม ทันทีที่ประจักษ์ถึงตัวตนของอีกฝ่าย ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้าง ความรู้สึกในอกเพื่อมพยอกจากอารมณ์ขุ่นมัวที่เพิ่งจะดับมอดไปเมื่อไม่นานมานี้
ไอ้เด็กจองหองเมื่อตอนเย็น!
หน็อย…ขณะที่เธอเพิ่งจะถูกกดดันจนต้องลาออกจากงานหยกๆ ตานี่ดันมาเข้าคลับสบายใจเฉิบงั้นเหรอ หญิงสาวได้แต่ทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกล้าหาญอยู่ลับหลัง ซ้ำยังต้องร่นตัวหลบอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายคล้ายจะเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตามน้ำเสียงต่อต้านกึ่งโมโหนั่น
“ในเมื่อเค้าเก่งเรื่องใช้เงินแก้ปัญหาอยู่แล้ว งั้นก็แค่เอาเงินมาฟาดตัวปัญหาอย่างผมเหมือนที่ผ่านๆ มาซะก็สิ้นเรื่อง!”
…แหม เอามาฟาดฉันด้วยสิ คนแอบฟังลอบเบะปากกับตัวเอง นินทาอยู่ในใจอย่างแสบร้อน
“ผมดูแลตัวเองได้! ฝากบอกเค้าด้วยว่าไม่ต้องมาแกล้งเป็นห่วงเป็นใยกันตอนนี้ ผมไม่ชิน!!”
อา…แล้วเงินนั่นล่ะ ถ้าไม่อยากได้จะเอาให้ฉันก็ได้นะ…มาลารินยังลอบครวญครางทีเล่นทีจริงอยู่ในใจไม่หยุด อาลัยอาวรณ์กับเงินของคนอื่นอย่างแสนเสียดาย และคงจะโศกเศร้าเกินจริงอยู่เช่นนั้นหากไม่ได้ให้สะดุ้งโหยง เมื่อร่างสูงอีกด้านพลันเตะถังขยะที่เธอใช้กำบังอย่างแรงพร้อมถ้อยสบถอันดัง
“แม่งเอ๊ย!!”
แกสิ ไอ้เด็กบ้า!
คนในเงาค้อนขวับปะหลับปะเหลือก และเพียงชั่วขณะที่ความเงียบใบ้โรยตัวลงมาจนหญิงสาวคิดว่าเขาจากไปแล้ว กลิ่นควันจากบุหรี่ราคาแพงก็ขดม้วนผ่านอากาศแล้วสยายม่านอ่อนจางเข้ามากระทบจมูก…อันที่จริงก็ไม่ยังไงนักหรอก ปกติแล้วการสูบบุหรี่ในเมลเบิร์นไม่ว่าจะชายหรือหญิงล้วนไม่ใช่เรื่องแปลกและมาลารินก็ไม่เคยคิดวิพากษ์สิทธิ์ของใคร แต่เมื่อดูจากวุฒิภาวะทางอารมณ์อันน้อยนิดของเด็กหนุ่มตัวปัญหา เธอก็ชักไม่แน่ใจว่าอายุของเขาผ่านเกณฑ์กฎหมายกำหนดหรือยัง…ความจริงไอ้เรื่องที่มาเตร็ดเตร่แถวคลับนี่ก็ด้วย นี่มันพฤติกรรมของตัวปัญหาขนานแท้เลยนี่นา
ขณะกำลังสับสนระหว่างแสร้งเดินหน้านิ่งออกไปฉะกันสักตั้งหรือนั่งหลบดมกลิ่นควันอยู่นั้น เสียงอึกทึกด้านนอกก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จับคำได้ว่าเป็นกลุ่มวัยรุ่นชาวออสซี่สามสี่คนพร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นฉึ่ง ดันให้หญิงสาวต้องตัดสินใจซ่อนอยู่หลังถังขยะเพื่อสังเกตการณ์ต่อไปแต่โดยดี
“เฮ้ย นึกว่ากลับไปแล้ว มาหลบอยู่ตรงนี้นี่เองว่ะ”
“ฉันไม่รู้จักพวกแก” เด็กจองหองเอ่ยกลับเสียงเย็น
“พวกฉันก็ไม่รู้จักแกเหมือนกันแหละน่า!” หนึ่งในนั้นว่าพลางย่างสามขุมเข้าใกล้ร่างสูง “แต่หน้าแกในคลับเมื่อกี้แม่งโคตรกวนตีนเลย”
“เหรอ แต่ฉันไม่เห็นจะจำพวกแกได้สักคน แม่งไม่ได้อยู่ในสายตาเลยว่ะ”
“ไอ้เวรนี่…”
พลั่ก!
บทสนทนาถูกตัดลงเพียงเท่านั้น เมื่อถังขยะของมาลารินถูกกระแทกอย่างแรงจนหญิงสาวสะดุ้งโหยง ลอบโผล่หน้าออกไปก็เห็นเพียงร่างเมาๆ แปลกหน้าที่ถูกชกจนล้ม ขณะที่เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีประหลาดยืนแค่นยิ้มครู่สั้นๆ ก่อนหันกลับไปรับหมัดจากคนที่เหลือต่อทันที เหมือนใช้สัญชาตญาณนำทางโดยไม่ลังเลสักนิด
ทว่าสถานการณ์ซึ่งดูคล้ายบทพระเอกหนังนักสู้กลับต้องกลับตาลปัตรเมื่อชายคนแรกที่ถูกชกพลันถลาเข้าไปล็อกตัวร่างสูงไว้ ต่อด้วยการรุมเตะต่อยจากคนที่เหลือเท่าที่สมองมึนเมาจะสั่งการได้ กลายเป็นภาพชุลมุนสุดแสนทันที
มาลารินพลันตื่นตะลึงกับการอยู่ในสถานการณ์วิวาทแบบ ‘แค่มองหน้าก็กะฆ่าให้ตาย’ ตรงหน้า หากก็ไม่อาจตัดใจเอาตัวรอดในมุมเงาลับซ่อนเช่นนี้ได้ อาจเป็นจิตใต้สำนึกรักความถูกต้อง…อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง ที่ผลักดันให้หญิงสาวกระถดตัวเร้นเข้าไปข้างหลัง หลับตาปี๋ สูดลมเข้าปอดจนอัดแน่น ก่อนจะตะเบ็งเสียงทั้งหมดที่มีกรีดร้องจนก้องตรอก โหยหวนเสียจนตัวเองยังขนลุกพรึบ
“กรี๊ด!!!”
…เสียงกรี๊ดอย่างกับอยู่ในหนังฆาตกรรม แบบที่ต่อให้รอบกายวุ่นวายแค่ไหนก็ต้องชะงัก
“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นตรงนั้นน่ะ!”
เสียงตะโกนจากที่ไกลๆ ทำให้กลุ่มคนซึ่งทะเลาะกันเมื่อครู่แตกฮืออย่างรวดเร็ว เด็กวัยรุ่นชาวออสซี่กระจายกันออกคนละทิศละทาง ขณะที่คนโดนชกถูกผลักลงกับพื้นตรงหน้ามาลารินพอดีราวการจับวางของโชคชะตา และก็เป็นตอนนั้นเองที่ดวงตาสีเทาสาดสะท้อนแสงไฟบังเอิญสบมองก่อนฉายประกายประหลาดใจชั่วขณะ
เป็นการประสานเนิ่นนานแม้เกิดเพียงเสี้ยววินาที
แล้วเขาก็อาจจะยังจ้องค้างอยู่เช่นนั้นด้วยนึกกังขาหากการ์ดร่างใหญ่จากสไปรซ์ มาร์เก็ตไม่วิ่งเข้ามาเสียก่อน เด็กหนุ่มรีบพยุงตัว เหลือบมายังเธออีกครั้งเพียงแวบสั้นๆ คล้ายยังสงสัย คล้ายเริ่มจดจำ กับคล้าย…บางอย่างซึ่งอ่านไม่ทันเมื่อร่างสูงตัดสินใจวิ่งทะลุออกตรอกอีกฝั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะถูกจับได้ ทิ้งมาลารินไว้ตรงนั้น ให้จ้องมองเบื้องหน้าซึ่งเหลือเพียงสลัวรางของความว่างเปล่า ก่อนรีบซุกตัวในมุมเงาอีกครั้งกระทั่งทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบดังเดิม
…ทุกอย่าง ยกเว้นประกายตาสีประหลาดที่เหมือนถูกรอยเลือนอ้างว้างของคนหลงทางแผ่คลุม แข็งกร้าวราวสัตว์บาดเจ็บนั่น…ซึ่งค่อยๆ ซึมลงในความทรงจำของเธอโดยไม่รู้ตัว
…ความทรงจำที่มีแต่เปียกชื้น หน่วงหนัก กับเอาแต่จะร้าวรานซ้ำๆ อีกเนิ่นนานหลังจากนั้น…
“สรุปว่าเมื่อคืนลีเลยไปนอนบ้านเพื่อนเหรอ”
คำถามคล้ายชวนคุยเรียกให้มาลารินผินหน้าจากเครื่องทำกาแฟครู่สั้นๆ มองหาก็เห็นเจ้าของร่างสูงยืนยิ้มอยู่เยื้องกัน ใต้ไอแดดเรื่อเรืองยามสาย ท่ามกลางขดลายซ้อนซับของไม้เลื้อยที่เงาบังมาจากริมหน้าต่าง แล้วหญิงสาวก็พลันผลุบหายลงไปในความคิดชั่วขณะหนึ่งตอนนั้นเองว่าพี่ประณตคนดีของเธอช่างเป็นผู้ชายที่เหมาะสมกับฤดูใบไม้ร่วงอย่างยิ่ง อะไรบางอย่างซึ่งดูอบอุ่น มั่นคง ชวนให้ไว้วางใจ กลายเป็นบรรยากาศรายรอบเขาโดยไร้ที่มา ไหนจะการเป็นเจ้าของคาเฟ่ตั้งแต่อายุที่พ้นเบญจเพสมาไม่กี่ปี ซ้ำยังดำเนินกิจการมาอย่างดีนี่อีก…
“เรื่องรูมเมตว่าแย่แล้ว เรื่องร้านเย็นของมันแย่กว่าอีกพี่”
เสียงร่วมบ่นจากชายร่างยักษ์อีกคนซึ่งยืนล้างแก้วกาแฟอยู่ด้านหลังเรียกให้มาลารินหันไปย่นจมูกใส่ทันที ช่วงสายเช่นนี้ถือเป็นเวลาที่พนักงานในร้านพอจะผ่อนคลายได้บ้าง การพูดคุยหยอกหัวค่อนข้างเป็นไปอย่างสะดวก หลังต้องวิ่งวุ่นกับกองทัพผู้เสพติดกาเฟอีนในชั่วโมงเร่งด่วนยามเช้า
หญิงสาวคนเดียวในวงสนทนาบ่นกระปอดกระแปดทันที
“อย่าซ้ำเติมกันซี่พี่ภพ คนยิ่งเครียดๆ อยู่”
“แบบนี้ลีไม่ขาดรายได้แย่เหรอ” เจ้าของคาเฟ่หนุ่มฉีดน้ำใส่กระถางต้นไม้ก่อนหันมาสบตาหญิงสาวอย่างเห็นใจ “พี่อยากเพิ่มวันให้นะ ถ้ามันไม่ชนตารางเรียนของลี”
พี่ประณตแตกต่างจากเจ้าของร้านอาหารตอนเย็นของเธออย่างสิ้นเชิง เขาไม่เคยตระหนี่ ขี้บ่น หรือเอารัดเอาเปรียบลูกน้องสักกระผีกริ้น ในทางตรงกันข้ามกลับคอยหยิบยื่นความช่วยเหลือแทบทุกครั้งอีกต่างหาก และแม้คาเฟ่ของเขาจะมีลูกค้าเข้าไม่ขาด ทว่าชายหนุ่มกลับไม่เคยมีทีท่าเต็มตื้นต่อรายรับหรือกระสับกระส่ายต่อรายจ่ายเลยสักครั้ง ราวกับว่าร้านแห่งนี้เป็นเพียงรวงรังแห่งความสุขที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อโอบล้อมแต่ความต้องการของเขาเท่านั้น ถือเป็นเจ้านายในฝันโดยแท้…
“ลีก็อยากทำแค่ที่นี่ที่เดียวค่ะพี่ณต แต่ตารางเรียนไม่อำนวยจริงๆ” เธอหันไปโอดครวญ “เนี่ย เลยต้องมาเริ่มหางานใหม่อีกครั้งแล้ว”
ประณตระบายยิ้มจนใจกับคำกล่าวนั้นก่อนหันไปรดน้ำต้นไม้ที่เหลืออย่างเงียบเชียบอีกครั้ง ปล่อยให้มาลารินเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มเป็นระยะขณะติดค้างอยู่กับบทวิวาทในหัว เธอไม่ได้เล่าเพิ่มลงไปว่าหนึ่งในลูกค้าเจ้าปัญหาที่ทำให้ตนต้องออกจากงานคือเกวรา…เด็กสาวผู้เข้ามาเป็นเงาผุดผาดในคาเฟ่ก่อนจะหายไปกับสายลมต้นฤดูร้อน แล้วปล่อยให้รสชาติกาแฟที่ประณตทำพลันปร่าแปร่งไปอีกสองเดือนกว่าจะกลับมาเป็นดังเดิม…
ขณะเลื่อนลอยในความคิดนั้น จู่ๆ ร่างสูงก็พลันหันกลับมาหาจนเธอเผลอสะดุ้งโหยง และทำได้เพียงคลี่ยิ้มกลบเกลื่อนเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้
“ที่จริงถ้าพูดถึงงาน…ตอนนี้ที่บ้านพี่กำลังหาพี่เลี้ยงเด็กพอดี”
มาลารินกะพริบตาปริบ ทวนคำคู่สนทนาอย่างฉงน
“พี่เลี้ยง…เด็กเหรอคะ”
“อื้อ หลานพี่เอง เป็นญาติห่างๆ น่ะ พ่อเค้าส่งมาเรียนที่นี่คนเดียวกลัวจะไปทำตัวเหลวไหลเลยอยากจ้างคนไปช่วยดูแล เงินดีนะ แถมที่พักฟรีด้วย”
คนที่ถูกอำนาจเงินกัดกินมาแต่ไหนแต่ไรเริ่มตาวาว กระนั้นก็ยังอ้อมแอ้มเอ่ยอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“แต่ลีไม่มีใบรับรองการดูแลเด็กนะคะ”
“ไม่ใช่เด็กแบบนั้นหรอก” ชายหนุ่มหัวเราะพลางเบนสายตาออกไปมองเงาไม้เลื้อยจากนอกหน้าต่าง คล้ายพินิจภาพผู้ถูกกล่าวถึงจากความทรงจำ “น้องเค้าโตแล้วล่ะ กำลังจะเข้ามหา’ลัย”
“จ้างผมมั้ยพี่”
พี่ภพพาร่างกำยำของตนทะลุกลางปล้องเข้ามาในบทสนทนาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะถูกมาลารินผลักออกไปด้วยความรวดเร็ว หญิงสาวเข่นเขี้ยวอย่างหมายมาดแบบที่รู้กันดีว่าไม่จริงจัง
“อย่ามากันซีนกันซี่พี่ภพ”
เจ้าของร้านมองบทวิวาทเล็กๆ ของพนักงานทั้งสองอย่างขบขันและไม่คิดห้ามปราม ด้วยเข้าใจดีว่าการต่อล้อต่อเถียงเหมือนพี่น้องเป็นเรื่องปกติระหว่างมาลารินกับภพอยู่แล้ว “พี่ก็อยากชวนภพนะ แต่พ่อเค้าอยากได้คนที่เรียนมหา’ลัยเดียวกัน แล้วก็เป็นคนที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกคนอื่นมากๆ ด้วย จะได้ช่วยแนะนำน้องแต่ในทางที่ดี”
เพียงเท่านั้น หญิงสาวคนเดียวก็หัวเราะคิกพลางลอบยักคิ้วหลิ่วตาใส่พนักงานรุ่นพี่เป็นนัยว่า ‘ทางที่ดีน่ะ เข้าใจไหม แนะนำแต่ในทางที่ดี’ ก่อนจะโดนมะเหงกโป๊กใหญ่เป็นคำตอบกลับให้ได้หน้ามุ่ยไปหนึ่งรอบ
ประณตส่ายหน้าระอาให้ลูกจ้างทั้งสองอย่างไม่เห็นจริงจัง เขาอธิบายค่าจ้างคร่าวๆ รวมไปถึงข้อเสนออื่นๆ ที่หญิงสาวจะได้รับแล้วจึงค่อยทวนถามขึ้นอีกครั้ง
“ว่าไง สนใจมั้ย”
มาลารินเริ่มจมลงไปในการคำนวณรายได้กับผลประโยชน์มากมายทันที บ้านพักใกล้มหาวิทยาลัยที่มีห้องนอนเดี่ยวและไม่ต้องเสียค่าเช่าสักดอลลาร์ เงินค่าจ้างซึ่งเพียงพอให้ถมหลุมล่มจากค่าเทอมได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ และอาจมากพอ…หากเป็นไปได้ อาจมากพอให้เธอเก็บเป็นก้อนส่งให้ครอบครัวที่ประเทศไทยด้วยซ้ำ…
ครั้นเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นระบายรอยยิ้มจากพี่ประณตผู้รอฟังคำตอบอย่างเงียบเชียบอยู่ พร้อมกลิ่นอุ่นจางของกาแฟอวลผ่านริ้วแดดบางใส ซึ่งทำให้หญิงสาวเผลอนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่ได้เข้ามาทำงานในคาเฟ่แห่งนี้ครั้งแรก ตอนนั้นมาลารินผู้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทำกาแฟก็ได้รับรอยยิ้มดุจเดียวกันเช่นนี้จากชายคนเดิม และอีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น ยามหัดเป่าฟองนม ยามฝึกเทลาย หรือกระทั่งยามจำแนกรสชาติเมล็ด พี่ประณตมีรอยยิ้มให้เธออยู่เสมอ แล้วหญิงสาวก็พลันตระหนักได้ประเดี๋ยวนั้นเองว่าต่อให้ไม่มีอะไรมาล่อลวงเธอก็จะยังตอบตกลงด้วยความสมัครใจอยู่ดี…หากเป็นคำขอของเขา
หญิงสาวเผลอยกยิ้มตามคนตรงหน้า หัวเราะแหะๆ พลางเอ่ยถาม
“…ลีย้ายเข้าไปได้วันไหนคะ”
“ย้ายไปไหนลี”
น้ำเสียงนุ่มนวลติดจะกังวลทอดผ่านสายโทรศัพท์ บ่งบอกชัดเจนว่าผู้พูดเริ่มผูกภวังค์เอาไว้กับถ้อยคำเมื่อครู่ที่มาลารินเพิ่งจะบอกกล่าว กระนั้นมันก็คงยังไม่กระจ่างมากพอ ประสมกับสัญชาตญาณความเป็นห่วงของผู้เป็นมารดาด้วยหากจะว่าไป
ดวงตาสีเข้มเผลอเบนไปสบกับริ้วแสงของเส้นขอบฟ้า วาดวงเป็นรอยระเรื่อส้มนวลยามเย็น ดูอบอุ่นอ่อนจาง พร้อมๆ กับความคิดที่ว่านานเท่าใดแล้วที่เธอและคู่สนทนาต้องเชื่อมโยงกันผ่านเครื่องมือสื่อสารทางไกล ซึ่งไกลขนาดข้ามน้ำทะเลมาคนละทวีป ทั้งที่ตอนเล็กๆ หญิงสาวเคยเป็นเด็กติดแม่ถึงเพียงนั้นแท้ๆ
“เป็นบ้านใกล้มหา’ลัยค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงนะ”
มาลารินตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็น ซ้ำยังหัวเราะด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ขำ มันเป็นการหัวเราะเพื่อสร้างความปลอดโปร่งอย่างที่ทำอยู่เสมอยามต้องการเปลี่ยนเรื่องชวนคุย หญิงสาวได้รับมรดกนี้มาจากบิดา ซึมซับพร้อมเสียงเปิดเผยก้องกังวาน ท่าทีเป็นมิตรเข้าถึงง่าย และความเชื่อมั่นต่อจิตใจดีงามของทั้งตนเองและผู้อื่น
“แล้วนี่พ่อไปไหนคะ แม่อยู่บ้านคนเดียวเหรอ”
“ออกไปข้างนอกจ้ะ เห็นว่าเย็นๆ นู่นแน่ะถึงจะกลับ ช่วงนี้พ่อดูยุ่งๆ เรื่องงาน”
คุณสุมาลีผู้เป็นมารดาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายขณะที่คนฟังก็ไม่คิดจะซักถามสิ่งใดต่อ ครอบครัวของเธอมีสมาชิกเพียงสามคน สมบูรณ์และพรั่งพร้อมด้วยความรักแทบล้ำล้น ฐานะของที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยระดับเหลือกินเหลือใช้อย่างเศรษฐี กระนั้นผู้เป็นบิดาก็สนับสนุนเต็มที่ยามบุตรสาวคนเดียวตัดสินใจเลือกศึกษาต่อไกลถึงต่างประเทศ พ่อบอกว่ามันเป็นการจ่ายเพื่อซื้อโอกาสในอนาคต และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้มาลารินต้องทำงานหาเงินเพื่อลดภาระอันเกินเหตุของครอบครัว หญิงสาวรู้ดีว่าบิดาจะไม่ปล่อยให้ตนร่วงหล่นระหว่างทางเพราะความอัตคัด แต่เธอก็ยังต้องก้าวเดินด้วยตัวเองบนถนนทอดยาวจนกว่าจะถึงปลายฝั่งที่ตั้งใจไว้
“บอกพ่อพักบ้างสิคะ ไม่ต้องห่วงลีหรอก ลีเอาตัวรอดได้”
“แม่รู้ว่าลีเก่ง” อีกฝ่ายกระซิบตอบ “แต่พ่อเราเค้าขยัน”
“ช่าย ลีนะ ได้พ่อมาเต็มๆ เลยค่ะแม่”
ระอุไอของความฮึดสู้กรุ่นกำจายอย่างเงียบงัน ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มอีกครั้งและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีแววมุ่งมั่นมากเพียงใดในดวงตา มันฉายเพียงแวบสั้นๆ ในตอนที่มาลารินพูดคุยเรื่องสัพเพเหระต่ออีกชั่วครู่ ก่อนที่หญิงสาวจะกล่าวคำลาซึ่งยืนยันหนักแน่นอีกครั้ง อย่างที่หาสาเหตุไม่ได้เช่นกันว่าเอาความมั่นใจมากมายเพียงใดมาพูด
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องบ้านนั่น…ลีดูแลตัวเองได้ค่ะ”
ตั้งแต่ครั้งแรกจวบจนหลังจากนั้นอีกเนิ่นนานในความทรงจำของมาลาริน ไม่มีส่วนไหนเลยที่จะปล่อยให้ภาพของบ้านหลังนั้นซีดจางลงได้
มันเป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งอย่างน่าประหลาดตั้งแต่มองจากระยะไกลทั้งๆ ที่เพิ่งจะทาสีเทาใหม่เอี่ยมทั้งหลังด้วยซ้ำ ขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก ตั้งอย่างเป็นเอกเทศด้วยรั้วล้อมรอบ มีเถากุหลาบแห้งตายกลางสวนหน้าบ้านแคบๆ นั่น และยังมีซากของต้นอะไรต่อมิอะไรง่อนแง่นไร้คนสนใจจนแทบกล่าวได้ว่าเหมือนบ้านไม่มีคนอยู่อย่างไรอย่างนั้น เธอยังจำได้ด้วยว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อผ่านฤดูหนาวอย่างอดทน กว่าที่สีเขียวของยอดหญ้าอ่อนจะยอมแทงระแหงดินออกมาแต้มชีวิตชีวาให้ดูสดชื่นอย่างที่ควร…
“บ้านหลังไม่ใหญ่มากหรอกเพราะอยู่กันแค่สองคน ห้องนอนของลีอยู่ด้านล่าง ตรงข้ามกับบันไดขึ้นชั้นสอง ส่วนข้างบนนั่นมีห้องใหญ่อยู่ห้องเดียว เป็นของน้องเค้า”
พี่ประณตอธิบายตอนที่ช่วยเธอยกกระเป๋าเข้าไปด้านใน ขณะที่มาลารินพยักหน้ารับรู้พลางกวาดตามองเครื่องเรือนเปลือยเปล่าซึ่งแทบจะไม่มีของประดับจนดูเหมือนบ้านโล่งๆ ที่เอาไว้โชว์ในหมู่บ้านจัดสรร ซ้ำยังคิดไปเองว่าเจ้าของบ้านคงยังไม่มีเวลาได้ดูแลเท่าใดนักเพราะเพิ่งจะย้ายเข้ามา
…เธอไม่รู้ว่าอันที่จริงมันถูกปล่อยให้เป็นเช่นนั้นมานานแล้ว ทั้งตัวเรือนและผู้อยู่อาศัย…ทับถมไปด้วยความว่างเปล่า ไร้การเหลียวแล กับปล่อยทิ้งท่ามกลางความเดียวดาย
“งานของลีไม่มีอะไรมากหรอก แค่ช่วยดูแลความเป็นอยู่ แนะนำแนวทางที่ถูกที่ควร กลายๆ ว่าเป็นเฮ้าส์เมตที่ดีคนนึง…เป็นไง พอไหวมั้ย”
มาลารินผินหน้าไปก็เห็นคนถามยืนยิ้มรอคำตอบอยู่ ละอองแดดเหงาๆ ส่องผ่านทั้งคู่ท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนที่หญิงสาวจะยิ้มรับพลางกำชับหนักแน่น
“พี่ณตพูดอย่างกับไม่รู้จักลีไปได้ แค่นี้สบายมากค่ะ”
ร่างสูงส่ายหน้าระอาปนขบขันพร้อมยกมือขึ้นขยี้เรือนผมหนาอย่างมันเขี้ยว กับเพียงเท่านั้น แค่เสี้ยวขณะยามมือของเขาสัมผัสลงมา ปลายเท้าของเธอก็คล้ายจะไม่ติดพื้น ยื้อยุดอยู่กับจังหวะหัวใจแกว่งไหวโดยไม่อาจห้าม…
“พี่รู้ว่าลีเก่งอยู่แล้ว แต่…”
“ทำอะไรกันน่ะ”
ยังไม่ทันจบคำ เสียงทุ้มติดจะกระด้างก็ดึงความสนใจของทั้งสองไปยังผู้มาใหม่ทันที
…น่าประหลาดที่เราจะจดจำคนคนหนึ่งได้เนิ่นนานจากการเจอกันเพียงครั้งเดียว และมาลารินก็ไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มจองหองที่เธอนึกว่าได้ลบออกจากความทรงจำหลังวิ่งหายไปในสลัวเงาเปียกชื้นของตรอกแคบๆ คืนก่อนจะกลับมายืนเด่นชัดต่อหน้าเธออีกครั้งยามนี้ เย่อหยิ่ง อวดดี พร้อมเสื้อผ้าราคาแพงระยับกับกุญแจรถสปอร์ตในมือ และดวงตานั่น…ดวงตาสีเทาที่แข็งกร้าวราวโลกทั้งใบเป็นศัตรูกับเขา กึ่งๆ ว่าเกือบจะว่างเปล่าจนน่าใจหาย
ท่ามกลางภาพรางรื้นของคืนฝนตกในความทรงจำ ผู้มาใหม่ก็สำรวจมาลารินตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนแค่นเสียงเยาะทันที
“คุณอาเอาขอทานเข้ามาในบ้านของผมทำไม”
“ไอ้…!”
เพราะคำพูดไม่ไว้หน้า โทสะจึงพลันเดือดพุ่งจนหญิงสาวเกือบย้อนกลับด้วยถ้อยคำรุนแรงหากไม่ติดว่าพี่ประณตอยู่ด้วย เธออ้าปากไว้แล้วด้วยซ้ำ แต่ได้ให้ชะงักค้างกับความคิดบางอย่างซึ่งจู่โจมเข้ามาในห้วงความคิด ก่อนที่มาลารินจะเหลือบมองเจ้านายตนสลับกับอีกฝ่ายทันที
“บ้าน?…หรือว่า”
คู่กรณีไม่ได้ชี้แจงแต่อย่างใด หากแต่เป็นพี่ประณตผู้ยังรักษาท่าทีใจดีของเขาเอาไว้ได้แม้ยามเอ่ยติง
“อย่าเสียมารยาทนะวิน นี่พี่ลี ต่อไปนี้เค้าจะมาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยดูแลเรา”
“หา!/หา!”
เสียงอุทานโดยไม่ได้นัดหมายเรียกให้ดวงตาสองคู่บังเอิญเบนไปสบกันพอดี มาลารินสะบัดหน้าพรืดเพื่อให้ความคิดสะโหลสะเหลได้พอเข้ารูปเข้ารอยดังเดิม พร้อมๆ กับคืบคลานบางอย่าง เหมือนจะเป็นสัญชาตญาณ…เธอไม่แน่ใจนัก ที่เอาแต่หูดครวญให้หญิงสาวรีบถอยห่างจากสถานการณ์ตรงหน้าก่อนจะสายเกินไป…เด็กนี่คือปัญหาอย่างไม่อาจเป็นอื่นไปได้ เป็นบาดแผลในอนาคตที่จะกินพื้นที่เกินครึ่งของแผ่นภาพความทรงจำ ที่มาของรอยยิ้มและหยาดน้ำตานับพันซึ่งรอคอยอยู่ข้างหน้า หากก็นั่นปะไร ยามนั้นเธอทึ่มทื่อเกินกว่าจะฉุกคิดอะไรได้ แม้ในยามที่อีกฝ่ายประท้วงเสียงแข็ง
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เอา! ไม่ต้องมายุ่ง!” ดวงตาสีเทาแข็งกร้าว ดุจจะเป็นอริต่อโลกทั้งใบ “หรือพ่อผมเอาเงินจ้างคุณอาอีกคน ถึงได้เป็นไปกับเค้าด้วย”
“กวิน ตันติณรงค์!”
นี่คือครั้งแรกที่พี่ประณตแสดงความไม่พอใจต่อหน้ามาลาริน เขาเอ่ยปรามอย่างสะกดกลั้นด้วยชื่อเต็มของอีกฝ่าย ขณะที่เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านกลับแค่นยิ้มโดยไม่สนใจพร้อมกับเดือดดาลอย่างไม่ยิ่งหย่อนกัน กวินย่างสามขุมเข้ามาใกล้เธอ ท่าทางคุกคามพลางชี้หน้าอย่างถือดี
“อ๋อ หรือแค้นที่ต้องออกจากงานก็เลยคิดจะมาเอาคืนฉัน นี่อย่าบอกนะว่าตามตั้งแต่สไปรซ์ มาร์เก็ตจนมาถึงที่นี่ ทำไม หา คิดจะทำตัวเป็นกาฝากบ้านคนอื่นเพราะข้างถังขยะมันหนาวเกินไปแล้วรึไง”
การถูกดูแคลนด้วยถ้อยคำเจ็บแสบทำให้มาลารินอ้าปากหวออีกครั้งพลางกอดอก เชิดหน้าเถียงด้วยทิฐิและโทสะทั้งหมดที่มีทันที
“ก็ถ้าฉันไม่บังเอิญอยู่ตรงนั้น ใครบางคนคงโดนซ้อมจนตายอยู่ข้างถังขยะไปแล้วย่ะ!”
“เดี๋ยวนะ ทั้งสองคนเคยเจอกันแล้วเหรอ” ผู้อาวุโสที่สุดในเหตุการณ์เอ่ยขัดด้วยสีหน้าประหลาดใจชัดเจน
“ตาคนนี้นี่แหละค่ะพี่ณตที่มีเรื่องกับลีในร้านเพราะยาย…”
หญิงสาวชะงักค้าง รีบกลืนน้ำลายลงคอทันทีพร้อมความร้อนรนที่ผุดพล่าน…ตายล่ะหวา ตายล่ะหวา ถ้าความสัมพันธ์ซับซ้อนแบบนี้ก็แสดงว่าแฟนเก่าของฝ่ายอาคือผู้หญิงคนเดียวกับที่ฝ่ายหลานกำลังคั่วอยู่น่ะสิ
มาลารินเหลือบมองเจ้าของร้านกาแฟหนุ่ม แล้วภาพเก่าๆ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็ค่อยๆ ซ้อนทับในทรงจำ รอยยิ้มอวลอารมณ์ขมขื่นกับท่าทีหลุดลอยลงในความเศร้าจนไม่อาจทำอะไรหรือจับต้องสิ่งใดได้ดีดังเดิม และฤดูร้อนที่ถูกทำให้กลายเป็นบทเพลงเลือนรางสีหม่น…ความเจ็บปวดบ้าๆ พวกนั้นที่พี่ประณตคนดีของเธอไม่ควรได้สัมผัสสักนิด
กับเพียงเท่านี้เอง ทุกอย่างเริ่มมาจากความปรารถนาดีที่อยากปกป้องความรู้สึกของประณต มาลารินในวัยยี่สิบปีคิดแค่ว่าถ้าเธอคอยจับตากวินเอาไว้ก็อาจจะกีดกันไม่ให้เรื่องของเกวราบานปลายจนทำร้ายผู้มีพระคุณของเธอ และหากเป็นไปได้…ถ้าได้ช่วยให้ไอ้เด็กจองหองนี่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบ้างก็คงเป็นเรื่องดีสมค่าจ้างไม่น้อย ใช่ เพื่อพี่ประณต และเพื่อเงินด้วย
…ความคิดของเธอตื้นเขินเพียงเท่านั้นเอง
หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น สบตาเด็กหนุ่มแวบสั้นๆ สูดลมหายใจเข้าปอดราวจะประกาศกร้าวว่าเขาไม่อาจสร้างความหวั่นเกรงใดๆ แก่เธอได้ ก่อนหันไปยิ้มให้ผู้เป็นเจ้านายจากร้านกาแฟอย่างมั่นคง
“พี่ประณตไม่ต้องห่วงนะคะ ลีจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเลยค่ะ”
และไม่…มาลารินไม่รู้หรอกว่าคำพูดของตนมีน้ำหนักมากเพียงใด และไม่รู้ด้วยว่าผลของการรับปากต่อจากนั้น คนที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้มีแค่กวิน หากรวมถึงเธออีกคน…อย่างสิ้นเชิงทีเดียว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 พ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.