“ฉันยึดรถนายได้แล้ว”
“เฮ้ย! ออกมานะ”
เห็นชัดว่าการกระทำของเธอไม่ได้อยู่ในความคาดคิดของอีกฝ่าย คราวนี้กวินตกใจจริงๆ แบบที่ไม่ทันได้ตั้งรับสักนิด โดยเฉพาะคำพูดประโยคต่อมาของเธอ
“ขึ้นรถเร็ว พี่สาวคนนี้จะพาไปส่งถึงหน้าห้องเรียนเอง” คนยึดพวงมาลัยว่าพลางยักคิ้ว ซ้ำยังยื่นข้อต่อรองที่ง่ายดายอย่างยิ่ง หากกลับน่ารำคาญใจอยู่มากโข “ถ้าอยากได้กุญแจรถคืนก็ต้องรอจนจบคลาส”
“น่ารำคาญว่ะ”
“เออ รู้ตัว”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นพ้องและทำให้ความบาดหมางชะงักไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น เมื่อสุดท้ายเด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในฐานะไร้ข้อต่อรองก็ยอมขึ้นรถด้วยท่าทีอันปราศจากความยินยอมอย่างสุดแสน ดวงตาสีเทาเบนมาทางมาลารินแวบสั้นๆ สาดประกายแข็งกร้าวพร้อมถ้อยคำสบถมากมายไหลวน สุดท้ายก็มีบทสรุปท่ามกลางความคิดขบถนับร้อยพันนั้นว่าจนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ยังสามารถขับรถมาส่งเขา ประกบเดินขึ้นตึก ยืนรอกระทั่งก้าวเข้าห้องเรียน หรือแม้แต่ยามที่ลอบผินหน้าออกไปมองผ่านช่องกระจกเล็กๆ ตรงประตู ก็ยังเห็นยายบ้าน่ารำคาญนั่นนั่งยิ้มแฉ่งรออยู่ข้างนอกอย่างไม่มีทีท่าจะลุกไปไหน
…และมันทำให้เขานึกถึงสตรีผู้หนึ่งในอดีตซึ่งเคยจูงมือเดินไปส่งโรงเรียนอนุบาลเมื่อนานมาแล้ว เป็นภาพผาดผ่าน กะปลกกะเปลี้ยเลือนรางเข้ามาในความทรงจำ แบบนี้เลย ยืนยิ้มมองเขาเดินเข้าโรงเรียนจนลับตา ตั้งแต่ครั้งที่กวินยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ จิตใจดี และหวาดกลัวต่อโลกบ้าๆ นี่
…ใช่ บ้า บ้ากันให้หมด ทั้งยายนั่น โลกใบนี้ และตัวเขาเอง
โพล้เพล้สุดท้ายเริ่มทอไอแดดอ่อนตอนที่คาบเรียนเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มเพิ่งเดินออกจากห้องก่อนต้องชะงักทั้งที่ไม่ได้คาดหวังเมื่อเห็นว่ามาลารินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตรงนั้น ก้มหัวสับเงาโงนเงนอยู่ในนิทราจนผมประบ่าลุ่ยลงแทบไม่เหลือทรง หลับโดยไม่รับรู้ถึงสายตาของเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นๆ ซึ่งทยอยเดินออกมาจนหมด บางคนหลุดขำ บางคนสลับมองระหว่างเขาและเธอราวสนใจใคร่รู้ก่อนจะรีบจากไปเมื่อเห็นดวงตาคู่คมจ้องกลับ สุดท้ายนั้นก็เป็นเด็กหนุ่มเองนั่นแหละที่หันกลับมาพินิจคนตรงหน้า นิ่งชั่วขณะ ปราศจากเหตุผล
แล้วก็เป็นอีกครั้ง โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ภาพผุดของทิวสนฤดูใบไม้ผลิกับเนินหญ้ากว้างไกลในความทรงจำกระเว้ากระแหว่งวัยเยาว์ก็ปรากฏอย่างไร้สาเหตุ รื้นๆ ขึ้นกับกลิ่นกำเนิดใหม่ของดินชื้นหอมนั่น เป็นอายไอสงบเย็นพร้อมลมระลอกหนึ่งวูบผ่าน แล้วกวินก็พลันนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งอีกครั้ง กับคลื่นผมสีทองราวรวงข้าว และวงหน้าเลือนรางซึ่งเหลือไว้เพียงรอยยิ้มอ่อนหวาน เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่วจาง
‘…วินซ์…วินเซนต์…เด็กดีของแม่…’
ไอหมอกสลักสลัวเคลื่อนเข้าโอบล้อม พร้อมแว่วเสียงหัวเราะตกค้าง ค่อยๆ ห่างไกลออกไป…ออกไปสุดสายตา
กวินชะงัก มองเห็นครึ้มเมฆขยับบังแสงอัสดงจนกลายเป็นท้องฟ้าสีหม่นเศร้าด้านนอก และตระหนักขึ้นตอนนั้นเองว่าเขาเพิ่งจะถูกความทรงจำกัดกินอย่างที่เคยเป็นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…ความทรงจำแสนสุขวัยเยาว์ ก่อนจะถูกคนพวกนั้นกระชากทิ้งไม่เหลือดี
เด็กหนุ่มหันกลับมาพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง ภาพทุ่งหญ้าปลิดคว้างจางหาย เหลือแต่ตะกอนขุ่นข้องอวลอล ก่อนที่รอยยิ้มจะเหยียดแสยะ
รู้จักกวิน ตันติณรงค์น้อยไปแล้ว…
และท่ามกลางความเงียบจนได้ยินแต่อากาศผิวแผ่วด้านนอก ร่างสูงก็ค่อยๆ ยื่นมือไปค้นกระเป๋าผ้ายู่ยี่ราคาถูกของคนหลับอย่างระมัดระวัง หยิบเอาทั้งกุญแจรถของตนกับกุญแจบ้านที่เธอภูมิใจนักหนาว่ามีทุกดอกออกมา เหลือบตากลับไปก็เห็นว่ามาลารินยังไม่รู้สึกตัวจนได้ให้กระตุกยิ้มขึ้นอีกครั้งก่อนกระซิบแผ่ว
“ช่วยไม่ได้ เธอเริ่มก่อนเองนะ”
กวินมองออกไปยังเงาเมฆครึ้มด้านนอก สายลมตื่นๆ หอบหนึ่งสะบัดแมกไม้ของฤดูกาลให้ระริกไหว พัดพาไอฝนหนักๆ ในอากาศราวร้องเตือน เมื่อเด็กหนุ่มมองกุญแจในมือตนอีกครั้ง ชั่งใจครู่สั้นๆ โดยไม่รู้ว่าความลังเลนั้นมาจากไหน ก่อนสุดท้ายจะกำแน่นพร้อมเดินจากไป
…ทิ้งร่างระหงให้หลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราวไว้เพียงลำพัง