“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดๆ”
มันเป็นคำถามเรียบง่ายธรรมดาสามัญอย่างที่สุด แต่กลับทำให้คนฟังชะงักไปชั่วขณะ พร้อมสะเก็ดอารมณ์ขุ่นมัวประสมกระดากด้วยอับจนท่าที นานมากแล้วที่ไม่มีใครถามเขาเช่นนี้จนกระทั่งเด็กหนุ่มไม่รู้วิธีตอบ เกินครึ่งของสิ่งที่กวินได้รับตลอดชีวิตคือคำสั่ง ไม่ใช่คำถาม หนำซ้ำมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอด้วยซ้ำหากจะว่าไป ไหนจะเรื่องเมื่อตอนบ่ายนั่นอีก วุ่นวายน่ารำคาญเสียทุกอย่าง ยายผู้หญิงจุ้นจ้าน
“อย่ามายุ่ง” น้ำเสียงยามตอบของเด็กหนุ่มค่อนข้างกระด้าง
“หิวข้าวมั้ย กินอะไรรึยัง”
มาลารินเพิกเฉยต่อท่าทีต่อต้านนั้น เธอผละจากการก้มหน้าจ้องอีกฝ่ายมาเท้าสะเอวเพื่อครุ่นคิดครู่สั้นๆ ก่อนจะเดินเข้าไปมะงุมมะงาหราหาของในครัวพลางส่งเสียงบอกทั้งที่มือยังค้นไม่หยุด
“ไม่มีของสดเลย กินมาม่าไปก่อนแล้วกันนะ”
“บอกว่าอย่ามายุ่ง! รำคาญ!”
กวินตะเบ็งเสียงตอบกลับอย่างหมดความอดทน เขาไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดวงตาสีเทาราวควันบุหรี่เบนไปจับจ้องเงาแม็กโนเลียที่โอนเอนตามลมฝนด้านนอก ก่อนจะตกลงไปในช่องว่างของการครุ่นคิดเมื่อตระหนักได้ว่าพายุเบื้องหน้ายังคงกระหน่ำซัดท่ามกลางความมืดเหมือนเมื่อครู่ ทว่าตอนนี้กลับมีบางอย่างแตกต่างออกไป…บ้านของเขาสว่างด้วยแสงไฟ ไร้ซึ่งความเงียบงันดังก่อนหน้า และหยดเหงื่อก็ค่อยๆ ระเหยหายไปบ้างแล้ว หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหลงเหลือก็คงจะเป็นตะกอนขุ่นคลั่กของความทรงจำเก่าๆ นั่นกระมัง แต่ความจริงมันก็ลอบหมุนอุตลุดในหัวอย่างไม่หยุดพักเช่นนี้มาเนิ่นนาน…นานเสียจนเขาหาจุดเริ่มต้นไม่เจอเสียแล้ว
แล้วในจังหวะเดินทางของความคิด พลันกลิ่นต้มยำกุ้งหอมฉุยก็อวลอบไปทั่วบ้าน ดึงสติของเด็กหนุ่มกลับคืนเมื่อเจ้าของร่างระหงยกชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง มาลารินวางมันอย่างระมัดระวังบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาพลางแจกแจงโดยไม่สนใจสีหน้าขมึงทึงของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ร้อนนะ อย่าลืมเป่าด้วย”
“ก็บอกว่าไม่กิน”
ราวกับคาดเดาคำตอบเอาไว้แล้วล่วงหน้า หญิงสาวจึงเพียงพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีเปิดรับ ก่อนเสนอเงื่อนไขแสนง่ายดายอย่างที่คงจะคิดมาตั้งแต่แรก
“ถ้านายยอมกิน ฉันก็จะกลับเข้าไปอยู่เงียบๆ ในห้องและไม่มาจ้ำจี้จ้ำไชอะไรอีกคืนนี้ แต่ถ้ายังดื้อแพ่งก็คงต้องทนลูกตื๊อน่ารำคาญอีกนานเพราะฉันจะเกาะนายไม่ปล่อยเลย”
กวินเบนสายตาไปยังร่างที่ยังเปียกปอนของเธอครู่สั้นๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่คิดว่าลูกแก้วสีดำสนิททั้งสองข้างจะกำลังจับจ้องตนอย่างตรงไปตรงมาและนำพาภาพเมื่อครั้งที่เธอช่วยเขาจากการถูกรุมทำร้ายให้ผุดขึ้นในความทรงจำ แล้วสะเก็ดความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่เขาเองยังไม่เข้าใจก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่หันมองคู่สนทนาอีก ร่างสูงเพียงปรายสายตาออกไปยังสายฝนด้านนอกพลางเอ่ยราบเรียบ
“จะไปไหนก็ไป”
มาลารินกะพริบตาปริบ เธอเข้าใจความหมายโดยทันทีแต่ก็ยังมิวายกำชับว่า “อย่าลืมกินนะ” แล้วจึงค่อยทิ้งอีกฝ่ายไว้ตามลำพัง
…กระทั่งหญิงสาวเข้าห้องแล้วนั่นแหละที่เสียงตะเกียบกระทบชามค่อยดังก๊อกแก๊กขึ้น เจ้าของร่างระหงชะงัก เอียงคอฟังพร้อมส่ายหน้าระอา ก่อนที่ดวงตาซึ่งถูกมองว่าธรรมดานักหนาจะพลันทอประกายครุ่นคิดจางราง…เมื่อนึกย้อนไปถึงท่าทางสั่นเทาราวสัตว์บาดเจ็บ เสียงสะอื้นแผ่วเบาท่ามกลางสายฝนและความมืด กับถ้อยกระซิบคำเดิมซ้ำๆ ที่เธอได้ยินเขาเอ่ยโดยไม่รู้ตัว
…แม่…แม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 พ.ย. 64 เวลา 12.00 น.