หลิ่วมู่ชิงพยักหน้า น้องสาวของเขาคนนี้ถูกเลี้ยงดูที่เป่ยจิงอย่างดีจนสัมผัสเรื่องการกินว่องไวมาก หากพ่อครัวแอบอู้ข้ามขั้นตอนไปแม้แต่ขั้นตอนเดียวนางก็ยังจับได้
“เมื่อครู่ข้ากับเป๋าเป่าสั่งกับข้าวสามอย่างที่เหมือนกับที่เรากินตอนเที่ยงที่นี่ หากพูดถึงฝีมือการปรุง ทั้งสองร้านก็พอสูสีกัน แต่เรื่องวัตถุดิบมีข้อแตกต่างเล็กน้อย”
หลิ่วอันเหอเห็นทั้งสองคนจ้องมองตนเป็นตาเดียวก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ยืดตัวนั่งตรงขึ้นมาแล้วอธิบายอย่างละเอียด “อย่างเช่นปูนึ่งลอกกระดอง ปูของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงคุณภาพด้อยกว่า มันปูก็อยู่ได้ไม่ทันถึงเที่ยง ส่วนไข่แดงที่ราดนึ่งพร้อมกับปูก็น้อยกว่าที่นี่หนึ่งหรือสองฟอง จากนั้นก็เป็นขาหมูรมควันตุ๋น ขาหมูของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงถึงแม้จะใช้ขาหมูจินหวาชั้นดีเหมือนกัน แต่ปริมาณน้อยกว่าที่นี่อย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นจึงทำให้กลิ่นหอมไม่เพียงพอ แล้วก็ข้าวผัดจานนั้นอีก ทั้งเนื้อหอยกาบกับเอ็นหอยตากแห้งใส่น้อยมาก กลับเอาเต้าหู้แห้งหั่นเต๋าใส่แทน ก็เลยกินไม่ได้รสชาติเลย”
“ราคาของอาหารสามจานนี้เท่ากันทั้งสองร้าน ก็หมายความว่าโรงเตี๊ยมเม่าเหลียง…” เฟิ่งเป๋าเป่ากลอกตาไปมา แล้วกลอกกลับมามองสองพี่น้องหลิ่วมู่ชิงและหลิ่วอันเหอ
กลับเห็นหลิ่วมู่ชิงยื่นนิ้วชี้เรียวยาวมาวางบนปาก ส่ายหัวเบาๆ พลางพูดเสียงต่ำว่า “ข้อสรุปต่อจากนี้อย่าพูดต่อไปอีกเลย ถือเสียว่าเห็นแก่หน้าข้า”
เฟิ่งเป๋าเป่ากับหลิ่วอันเหอสบตากัน ทั้งสองเป็นเด็กหญิงที่เฉลียวฉลาดหัวไว เข้าใจในทันใดว่าถึงอย่างไรโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงก็เป็นของสำนักหลิ่วเยวี่ย ไม่อาจโพนทะนาเสียงดังว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ‘โกงวัตถุดิบ’ ต้องระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง!
พวกนางหัวเราะอย่างมีเลศนัย เฟิ่งเป๋าเป่าลดเสียงลงต่ำเลียนแบบหลิ่วมู่ชิง ดวงตากลอกไปมาครู่หนึ่งก็กระซิบว่า “ข้ารู้แล้ว พูดไม่ได้”
หลิ่วมู่ชิงหัวเราะออกมา อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเขกหน้าผากเฟิ่งเป๋าเป่าทีหนึ่งแล้วว่าอย่างเอ็นดู “คุณหนูน้อยตัวร้าย”
“คุณหนูน้อย?” หลิ่วอันเหอปิดปากหัวเราะ
เฟิ่งเป๋าเป่าหน้าแดงหูร้อนทันที โต้อย่างโมโห “เจ้าเองก็เหมือนกันนั่นแหละ!”
“เมื่อครู่พี่ใหญ่พูดถึงเจ้าคนเดียว แสดงว่าเจ้าเหมือนคุณหนูน้อยมากกว่า คุณหนูน้อยเป็นเด็กดีนะ เดี๋ยวพี่สาวจะซื้อน้ำตาลให้กิน” หลิ่วอันเหอพูดพลางเลียนแบบอากัปกิริยาของหลิ่วมู่ชิงเมื่อครู่ ยื่นมือไปเขกหน้าผากเฟิ่งเป๋าเป่าเช่นกัน
เฟิ่งเป๋าเป่าหน้าแดงก่ำ ทั้งอายทั้งโกรธ “เราอายุเท่ากัน เจ้ากล้าเอาเปรียบข้า นิสัยไม่ดี!”
หลิ่วมู่ชิงเห็นทั้งสองคนเริ่มตีกันอีกครั้ง อีกทั้งสาเหตุยังมาจากการที่เขาเรียกเฟิ่งเป๋าเป่าว่าคุณหนูน้อยด้วย ชั่วขณะนั้นก็เกิดความรู้สึกกระดากใจขึ้นมา อันที่จริงเมื่อครู่นี้เขาก็แค่รู้สึกว่าท่าทางที่เฟิ่งเป๋าเป่ากลอกตาหลุกหลิกอย่างซุกซนดูน่าเอ็นดูจนอยากจะเขกหัวนางสักที ส่วนที่เรียกว่าคุณหนูน้อยนั้นก็ได้ยินมาจากมารดาของเขา เขาก็แค่พูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่รู้เลยว่าจะทำให้นางอับอายถึงเพียงนี้
เด็กหญิงสองคนโต้เถียงกันเสร็จก็เริ่มจักจี้กันและกัน หลิ่วมู่ชิงรีบสั่งให้คนรินน้ำชายกขนมมาให้ จึงทำให้พวกนางทั้งสองสงบลงได้ในที่สุด
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปเวจ” หลิ่วอันเหอแลบลิ้นพูดอย่างอายๆ
“ให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เฟิ่งเป๋าเป่าถาม
“ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่นี่แหละ” หลิ่วอันเหอหน้าแดงเรื่อรีบเดินออกไปอย่างเร็ว
หลิ่วมู่ชิงสั่งให้สาวใช้สูงอายุคนหนึ่งตามไปด้วย จากนั้นก็กลับมานั่งที่ รินน้ำชาให้เฟิ่งเป๋าเป่า
“อิจฉาอันเหอนัก มีพี่ชายนี่ดีจริงๆ” เฟิ่งเป๋าเป่าเห็นหลิ่วมู่ชิงดูแลเอาใจใส่น้องสาวอย่างใกล้ชิดก็โพล่งออกมาอย่างยั้งไม่อยู่
หลิ่วมู่ชิงกำลังรินชาอยู่ พอได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้ “เป่าเปาไม่มีพี่ชายพี่สาวหรือ”
“ข้าเป็นคนโตสุด นอกนั้นยังมีน้องชายอีกสองคน เอ้อ แต่ข้ามีศิษย์พี่เยอะแยะ” ทว่าบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายก็ไม่มีใครเหมือนกับหลิ่วมู่ชิง นางมองดูเขาเปิดฝาครอบกาน้ำชา บรรจงเปลี่ยนใบชาแล้วเติมน้ำร้อนอย่างพิถีพิถัน ที่แท้การชงชาก็งดงามน่ามองถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าชาที่ต้มออกมาถึงได้หอมเป็นพิเศษ ไม่เพียงเท่านั้น พี่มู่ชิงยังใช้ระดับเสียงน่าฟังเรียกนางว่าเป่าเปาด้วย โดยเฉพาะคำว่าเปานั้นแผ่วเบาหางเสียงยกขึ้นเล็กน้อย ฟังแล้วยิ่งเสนาะหูเข้าไปใหญ่