เสิ่นหลินก็ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ยอมแพ้ “คนบางคนแม้แต่คำว่าศิษย์พี่ยังไม่ยอมเรียก ยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องความสัมพันธ์ดีแค่ไหนอีก เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“ให้เรียกน่ะง่ายนิดเดียว ถ้าทำตัวเหมือนคนเป็นศิษย์พี่สักนิดข้าก็จะเรียก”
“หยุด!” เฟิ่งเป๋าเป่าหยุดเดินกะทันหัน มองพวกเขาอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “พวกท่านเป็นอะไรกันเนี่ย ก่อนหน้านี้ก็ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ เหตุใดพักนี้ชอบค่อนแคะอีกฝ่ายเสียจริง”
เสิ่นหลินกับอู๋จื่อเฉียวสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ชักสีหน้าพร้อมกัน
พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรหรอก ก็แค่คนสองคนอยากจะเอาใจคนคนเดียวกัน ต่างก็อยากจะได้รับความสนใจมากกว่าอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่านับวันความขัดแย้งก็ยิ่งมากขึ้น
ไข่มุกในอุ้งมือของสกุลเฟิ่งอย่างเฟิ่งเป๋าเป่าเป็นศิษย์น้องคนเล็กสุดที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเขาตั้งแต่เล็ก แต่ไหนแต่ไรมาเสิ่นหลินก็ชอบเล่นอยู่ข้างกายนางเสมอ ส่วนอู๋จื่อเฉียวเดิมทีไม่แสดงออกมากนัก แต่พักหลังๆ ก็เริ่มคอยตามเฟิ่งเป๋าเป่าเช่นกัน คอยหาทางแทรกเท้าเข้ามาทุกเรื่อง ทำให้พี่ใหญ่เสิ่นหลินไม่พอใจเอาเสียเลย
“พวกข้าไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดถึงว่าศิษย์น้องเดินทางไปคราวนี้ก็ตั้งอีกสองเดือนกว่าถึงจะกลับ ช่วงนี้ในบ้านคงอึดอัดแย่ ก็เลยอดต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายไม่ได้” อู๋จื่อเฉียวฝีปากว่องไวกว่าเสิ่นหลิน รีบตอบอย่างรวดเร็ว หวังจะปลอบใจเฟิ่งเป๋าเป่า
“ไม่สนพวกท่านแล้ว ข้าไปทำงานดีกว่า“ พูดจบนางก็เลิกสนใจคนทั้งสองแล้วเดินตรงไปด้านหน้า
อันที่จริงเฟิ่งเป๋าเป่าย่อมรู้ว่าคนทั้งสองเป็นอะไร ศิษย์พี่แปดแสดงออกชัดเจนว่าชอบนางมาตั้งนานแล้ว ส่วนศิษย์พี่เก้าอู๋จื่อเฉียวนั้นไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย คราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ วันๆ ทะเลาะกันจนนางไม่ได้อยู่เป็นสุข โชคดีที่ทั้งสองคนไม่กล้าบุ่มบ่ามต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่นาง ไม่อย่างนั้นท่านแม่อย่างมากก็ด่าแค่ประโยคสองประโยค แต่ถ้าไปถึงท่านพ่อต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นหลินหรืออู๋จื่อเฉียวก็ต้องถูกถลกหนังเป็นแน่แท้
อีกอย่างนางก็ไม่มีเวลาจะหาเรื่องคนทั้งสองแล้ว นางยังต้องทำเครื่องประดับอีก! กว่าจะรวบรวมขนนกล้ำค่ามาได้เป็นถุง อยากจะทำปิ่นปักผมให้หลิ่วอันเหอสักหน่อย
หลิ่วอันเหอเห็นแล้วต้องชอบแน่ เมื่อปีก่อนนางทำกระบี่สั้นอัญมณีเล่มหนึ่งให้ หลิ่วอันเหอชอบใจจนถึงขั้นวางไว้ข้างหมอนตอนนอน
เฟิ่งเป๋าเป่าอมยิ้มมุมปาก วิ่งกลับไปที่ห้องตัวเองอย่างอารมณ์ดีแล้วหยิบกล่องเครื่องมือมาเริ่มต้นทำงาน
คิดถึงหลิ่วอันเหอขึ้นมาก็อดที่จะคิดถึงพี่ชายของนางไม่ได้ พอคิดถึงพี่ชายของนางก็จะพานคิดถึงเรื่องนั้น…
ปีนั้นนางร้องไห้โฮทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานหลิ่วอันเหอก็ดึงออกไปข้างนอก ได้ยินว่าเขาจมอยู่ใต้น้ำนานจนเกือบจะเกิดเรื่องใหญ่ โชคดีที่ถูกพวกบ่าวรับใช้ลากออกมาจากน้ำได้ในที่สุด ส่วนที่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นบ้างนางก็ไม่รู้ เพราะวันถัดมานางก็หนีหน้าไปไกลแล้ว
ปีที่แล้วท่านพ่อก็พานางไปค้างที่สำนักหลิ่วเยวี่ยอีก หลิ่วอันเหอไม่พูดถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่คำเดียว ส่วนพี่มู่ชิงก็คล้ายจะงานยุ่งเหลือเกิน ร่วมกินข้าวด้วยกันครั้งเดียวในคืนที่นางกับท่านพ่อมาถึง หลังจากนั้นก็หายไปไม่เห็นเงา ได้ยินมาว่าเขาเดินทางไปกับกิจการคุ้มภัยของสำนักบ่อยครั้ง ทำงานยุ่งจนไม่ได้อยู่บ้านเกือบครึ่งปี ก็คงจริงดังว่า เพราะใบหน้าที่เคยขาวผ่องนั้นดูคล้ำลงไปเล็กน้อย
ดูอย่างนี้แล้วเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้เขาก็คงยุ่งอีกตามเคย อันที่จริงเขาไม่ต้องอยู่บ้านจะดีที่สุด เพราะถึงแม้เรื่องจะผ่านมาสองปีแล้ว แต่ทุกวันนี้นางคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาทีไรหน้าก็ยังแดงทุกที ช่วยไม่ได้ ภาพนั้นช่างมีอานุภาพโจมตีล้นเหลือ นางพยายามจะลืมแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที
ขอโทษนะพี่มู่ชิง ปีนี้ท่านอย่าอยู่บ้านเลยดีกว่า!